Skip to content

พลิกปฐพี 343

ตอนที่ 343

ผ่านไปสองปี เข้าสู่ภาคเหนือ

เมืองจิ่วยาง ภาคเหนือ

กลุ่มคนหนึ่งร้อยคนดึงดูดความสนใจของผู้คนภายในเมืองทันทีที่พวกเขาเข้ามาในเมือง

พวกเขาขี่อยู่บนหลังของสัตว์อสูรวิญญาณอย่างม้าเขากระดูก เกราะรบสีดำที่คลุมอยู่บนหลังม้าเขากระดูกเผยให้เห็นเพียงแค่เขากระดูกที่แทงขึ้นมาบนหัวของมัน

กระดูกที่แทงขึ้นมานี้นั้นใช้แทนที่แผงคอของม้าธรรมดา

บนกีบของพวกมันมีหนามกระดูกที่ชัดเจนแทงออกมา บนม้าเขากระดูกเหล่านี้ มีขนสีขาวสว่างตัดกันกับเกราะสีดำด้านบนอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ได้ดูขัดกันแต่อย่างใด

ภายในนั้น ม้าเขากระดูกที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้นดูพิเศษที่สุด มันไม่ใช่ม้าเขากระดูกที่มีขนสีขาวแต่เป็นสีแดงเลือด แม้แต่กระดูกที่แทงออกมาก็ยังเป็นสีแดงสดใสดุจดั่งผลึกแก้ว

ส่วนคนที่นิ่งอยู่บนนั้นก็ดูโดดเด่น สวมชุดยาวสีแดง เกราะหนังทั้งร่าง เรือนร่างเหยียดตรงดุจกระบี่ ใบหน้าดูองอาจงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหว่างคิ้วที่เผยกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่งและสงบนิ่งนั้นของเขา เห็นได้ชัดว่า เป็นสองสิ่งที่ไม่น่าเข้ากันได้แต่กับถูกเขาหลอมรวมเอาไว้อย่างลงตัว

ผมยาวของเขาถูกม้วนขึ้นไป มีเพียงปิ่นงดงามประณีตอันหนึ่งปักผมเอาไว้ ผมที่ตกลงมากวัดแกว่งเบาๆ เพิ่มความปราดเปรียวอีกหลายส่วน

ด้านหลังของเขามีกลุ่มคนติดตามมาด้วย เกราะสีดำแดงองอาจ ใบหน้าเคร่งขรึมมาพร้อมกับกลิ่นอายนักรบ

กลุ่มคนร้อยคนเป็นระเบียบเรียบร้อย มีคนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจ ทุกๆ ครั้งที่ม้าเขากระดูกยกเท้า ก้าวไปข้างหน้า เมื่อเท้าตกลงพื้นก็จะลงพร้อมกันเสมอ เสียงเกือกม้าเขากระดูกทั้งร้อยตัวผสานกันเป็นหนึ่งเดียว เสียงดุจดั่งฟ้าผ่าเคาะเข้าไปในหัวใจของประชาชนเมืองจิ่วยางทั้งสองข้างทาง

ในตอนที่กลุ่มคนกลุ่มนี้เดินออกมาจากประตูมิติมาถึงถนนใหญ่นั้น ถนนที่แต่เดิมเคยคึกคักนั้น ผู้คนก็แยกออกหลบไปอยู่ใต้ชายคาเพื่อเปิดเส้นทางให้

กลุ่มคนล้วนแต่กลั้นลมหายใจมองไปยังกลุ่มคนนั้นอย่างสงสัย

“คนเหล่านี้เป็นใครกัน? ดูสง่างามจริงๆ!”

“น่าจะมาจากฐานกำลังใหญ่ที่ไหนสักที่”

“พวกเจ้าดูคุณชายชุดแดงที่อยู่หน้าสุดนั้นสิ ช่างดูโดดเด่นทำให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!”

“ใครว่าไม่ใช่ละ? ตัวข้านั้นอยู่มาครึ่งชีวิตแล้วยังไม่เคยเห็นคุณชายที่ไหนมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้มาก่อน คุณชายผู้นี้เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดาจะต้องเป็นหงส์มังกรอย่างแน่นอน!”

“รอเดี๋ยว พวกเจ้าดูตราสัญลักษณ์บนร่างของพวกเขา!”

“ตราสัญลักษณ์? ตราสัญลักษณ์อะไร?”

“ก็ตราสัญลักษณ์บนเกราะหนังม้าเขากระดูก แล้วก็ยังมีสัญลักษณ์สลักที่สลักไว้ตรงหน้าอกของพวกเขาอย่างไรกัน!”

“เห็นแล้ว คือตราอะไรรึ?”

“สมกับที่เป็นชาวบ้านของเมืองเล็กๆ จริงๆ ความรู้สักนิดก็ไม่มี! นั่นก็คือตราสัญลักษณ์ของเขี้ยวมังกร”

“เขี้ยวมังกร?”

“ไม่ผิด! เป็นเขี้ยวมังกร!”

“เขี้ยวมังกรที่เจ้าพูดถึงนั้นใช้กองกำลังหลิวเค่อระดับนภาที่ตั้งแต่รับภารกิจมายังไม่เคยไม่สำเร็จเลยนั้นน่ะหรือ?”

“ก็เขี้ยวมังกรนั่นแหละ!

“พูดกันว่า สองปีก่อนเมืองของเขี้ยวมังกร ลั่วซิงเฉิงจัดตั้งขึ้นได้ดึงดูดคนทั้งโลกแห่งยุคกลางให้มาสนใจ อีกทั้งยังทำให้เกิดคลื่นลมขึ้นมากมาย”

“พูดไม่ผิด! ปีนั้นข้าโชคดีได้ไปลั่วซิงเฉิง แต่กลับไร้วาสนาไม่ได้เข้าไปในจวนเจ้าเมืองเห็นทุกอย่าง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ความประทับใจที่ลั่วซิงเฉิงมอบให้ข้าก็ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตามากเลยทีเดียว”

“เช่นนั้น…”

“นี่จะต้องเป็นเขี้ยวมังกรอย่างแน่นอน! เขี้ยวมังกรของลั่วซิงเฉิง! ”

“คุณชายชุดแดงที่อยู่หน้าสุดจะต้องเป็นเจ้านายของเขี้ยวมังกร เจ้าเมืองลั่วซิงเฉิง! เจ้าเมืองมู่แน่นอน!”

“เป็นเจ้าเมืองทั้งที่ยังอายน้อยขนาดนี้งั้นหรือ?”

“อายุน้อยเช่นนี้กลับเป็นถึงเจ้าเมืองเมืองหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขามีระดับฝึกปรือขั้นไหนหรือ?

“พลังฝึกปรือ?” คนที่รู้จักลั่วซิงเฉิงและมู่ชิงเกอผู้นั้นยิ้มแห้งๆ ออกมา “ระดับพลังเท่าไหร่นั้นข้าไม่ชัดเจน เพียงแต่รู้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาเผยพลังฝึกปรือนั้นเป็นเมื่อหลายปีก่อนในงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ที่ทุ่งหญ้าอัสดง ประลองกับประมุขน้อยตระกูลจีตามลำพัง แล้วก็ทะลวงระดับระหว่างการต่อสู้ทะลวงไปอยู่ระดับสีเงินขั้นสาม นี่ก็สองสามปีผ่านมาแล้ว ใครจะรู้ว่าระดับพลังของเขา ในตอนนี้อยู่ระดับไหนแล้ว? แต่ทว่า คนเขาไม่ได้อาศัย เพียงแค่พลังฝึกปรืออย่างเดียวนา”

“ไม่ได้อาศัยเพียงแค่พลังฝึกปรือแล้วจะยังสามารถ อาศัยอะไรได้อีกงั้นหรือ?”

“เหอ เหอ พวกเจ้าไม่รู้ใช่ไหมเล่า เขานั้นเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของโลกแห่งยุคกลาง อีกทั้งเบื้องหลังของเขายังมีตระกูลซางของตระกูลบรรพกาลหนุนอยู่ด้วย”

“ตระกูลซาง? ตระกูลซางแห่งภาคตะวันตกงั้นหรือ? ทั้งเขายังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพอีกด้วย!”

“ใช่แล้ว! ก็ในตระกูลซางแห่งภาคตะวันตก มีข่าวลือมาว่าเขานั้นเป็นหลานนอกแซ่ของตระกูลซาง อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการหลอมศาสตราเป็นอันดับหนึ่งในพันปีมานี้ ตอนนี้ได้ทำให้ตระกูลซางที่ตกต่ำกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ภายในสองปี อีกอย่าง พวกเจ้าลองคิดดูนะ เขานั้นเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ ทั้งยังมีแค่คนเดียวเท่านั้น มีฐานกำลังมากมายที่อยากประจบ ใครจะไปล่วงเกินได้? ล้วนแต่คิดเอาใจเขาเพื่อแลกเอายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพทั้งนั้นแหละ”

“ร้ายกาจขนาดนี้เชียว! เช่นนั้นสองปีมานี้เขาได้หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาอีกหรือไม่?”

“เจ้าคิดว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเป็นผักกาดขาวงั้นหรือ? ข้าเพียงแต่ได้ยินมาว่า…ได้ยินมาว่า…ภายในสองปีมานี้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ภายในลั่วซิงเฉิงเกิดลมฟ้าเปลี่ยนสี ฟ้าแลบฟ้าร้อง จากนั้นก็มีฟ้าผ่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นใหม่ออกมาหรือไม่”

“ครูฝึก พวกเขาล้วนแต่กำลังมองพวกเรา” ชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะสีดำขี่หลังม้าเขากระดูกกระตุ้นม้ามาข้างกายมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

เวลาสองปี วันเวลาไม่อาจหยุดการเคี่ยวกรำตนเอง จิงไห่ไม่ใช่เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านชาวประมงที่ไร้เดียงสาคนนั้นอีกแล้ว แต่เติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่สุขุมสง่างามคนหนึ่ง

ม้าเขากระดูกที่มู่ชิงเกอกับเขี้ยวมังกรขี่นั้นก็ใช้พรสวรรค์ของเขาหามา

มู่ชิงเกอคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยกับจิงไห่ว่า “ให้พวกเขามองไปก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ กลัวอะไร?”

“ไม่ใช่กลัว ข้า…ข้าไม่ค่อยคุ้นเคย” จิงไห่อธิบายเสียงเบา

แม้ว่าเขาในตอนนี้จะสามารถฆ่าคนอย่างไร้เมตตาในสนานรบได้ แต่ส่วนลึกในใจก็ยังคงมีความไร้เดียงสา และขี้อายของหนุ่มน้อยแห่งหมู่บ้านชาวประมงหลง เหลืออยู่

มู่ชิงเกอหันมองเขา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สองปีมานี้ หากว่าเจ้าไม่ฝึกฝนฝีมือในลั่วซิงเฉิงก็ออกไปทำภารกิจกับเขี้ยวมังกร เจ้าอายุเพียงเท่านี้แต่กลับมีนิสัยไม่ชอบความครึกครื้น ดูแล้วต่อไปควรจะให้เจ้าออกมาภายนอกดูบ้าง”

“ข้า…” จิงไห่คิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับนัยน์ตาสดใสคู่นั้นของมู่ชิงเกอแล้ว ก็ได้แต่หลุบตาลงอย่างจำยอม เอ่ยว่า “ขอรับ ครูฝึก”

ท่าทางของเขาทำให้มู่ชิงเกอถอนหายใจยาวในใจ แล้วนางก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เสี่ยวไห่ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงหยวนหยวน ในใจก็ยากที่จะปล่อยวางมาตลอด แต่ว่า หยวนหยวนนั้นมีนิสัยชอบความครึกครื้น และก็ไม่ชอบที่จะเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่บังคับอะไรเจ้า เพียงแค่หวังให้เจ้าสามารถเดินออกมาจากเงามืดนั้นได้ ข้ากับเจ้าจะต้องมีความมั่นใจว่าหยวนหยวนจะฟื้นกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราอีกครั้ง”

พูดคำพูดเช่นนี้ออกไป ดูไม่ค่อยเหมือนกับนางสักเท่าไหร่เลย

หลังจากพูดจบแล้ว มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเล็กน้อย

แต่ใครใช้ให้เขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของนางและปมในใจของเขาก็คือหยวนหยวนที่ยอมสละร่างกลายเป็นชุดเกราะให้กับนางกันเล่า?

“เป็นเขี้ยวมังกรจริงๆ! เหตุใดพวกเขาถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ที่ภาคเหนือได้?”

“ใครจะรู้ละ? อาจจะมารับภารกิจของภาคเหนือก็ได้?”

“แต่ว่า เป็นภารกิจอะไรกัน ถึงได้มีเจ้าเมืองมู่ออกมาเคลื่อนไหวเอง?”

“นั่นน่ะสิ ภารกิจของเขี้ยวมังกรหลายปีมานี้ เจ้าเมืองมู่ก็ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ล้วนแต่เป็นหัวหน้ามั่วหยางเป็นผู้ออกหน้า”

“ดูเช่นนี้แล้ว ภาคเหนือของเราคงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขี้นแล้ว!”

“สนใจไปทำไม ถึงอย่างไรเรื่องใหญ่เหล่านั้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราเหล่าชาวบ้านอยู่แล้ว พวกเราก็เพียงแค่ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีก็พอแล้ว”

ภายใต้เสียงพูดคุยวิเคราะห์กัน กลุ่มคนก็มาหยุดอยู่ที่ทางเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

มั่วหยางที่มาด้วยพลิกตัวลงจากม้า มาถึงด้านหน้ามู่ชิงเกอแล้วก็เอ่ยกับนางว่า “คุณชาย โรงเตี๊ยมแห่งนี้พวกเรา ได้จองเอาไว้ทั้งหลังแล้ว จะไม่มีคนนอกเข้ามารบกวน พวกเราพักผ่อนที่นี่หนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยมุ่งหน้าเดินทางไปเมืองเทียนผิง”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยกับเขาว่า “เรื่องเหล่านี้ เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

ตอนนี้เองเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ยิ้มแย้มวิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม ด้านหลังเขายังมีบ่าวในร้านตามมาด้วย

มู่ชิงเกอพลิกตัวลงจากม้า การกระทำนี้ช่างสง่างามดุจเมฆาเคลื่อนคล้อยสายนํ้าเลื่อนไหล ชั่วขณะนั้นก็ดึงดูดเสียงร้องอุทานจากหญิงสาวจำนวนไม่น้อยในกลุ่มคน

นางลงจากม้าแล้ว องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ตามมาด้านหลัง ก็ค่อยลงจากม้าอย่างพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ การเคลื่อนไหวที่เรียบร้อยนี้ เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดและแตกต่างจากกองกำลังหลิวเค่อทั่วไปหรือองครักษ์ตามตระกูลต่างๆ

มู่ชิงเกอไพล่มือไว้ด้านหลัง ก้าวขึ้นบันไดโรงเตี๊ยมเข้าไปด้านใน

องครักษ์เขี้ยวมังกรร้อยคนทยอยตามนางเข้าไป สุดท้ายสองคนยืนอยู่หน้าประตูสองด้าน ใบหน้าที่เย็นชาและเด็ดเดี่ยวหยุดทุกการสอดรู้สอดเห็นเอาไว้

ท่าทีที่เปลี่ยนจากลูกค้ากลายเป็นเจ้าของเช่นนี้ ทำให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมห้ามเหงื่อเย็นที่ซึมออกมาจากหน้าผากของตนเองไม่ได้

มองไปยังม้าเขากระดูกนับร้อยที่อยู่บนถนนแล้ว เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็รีบสั่งการให้บ่าวด้านหลังไปจูงม้าเข้าไปหลังโรงเตี๊ยม

แต่ว่าเพียงแค่พวกเขาเข้าไปใกล้ ม้าเขากระดูกขยับ แสดงท่าทีคุกคาม ดวงตาหลายคู่ดูเย็นชาทำให้ผู้คนหวาดกลัว

บ่าวของโรงเตี๊ยมล้วนแต่หวาดกลัวถอยออกมาด้วยสี หน้าที่ซีดขาว

สัตว์อสูรวิญญาณนั้นพวกเขาเคยพบเห็นมาไม่น้อย แต่ว่า ม้าเขากระดูกนับร้อยที่อยู่เบื้องหน้านั้นเห็นได้ชัดว่า ยังไม่ทันได้ถูกทำให้เชื่อง ยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน

จิงไห่เห็นสถานการณ์แล้วก็หันกายไปสั่งการม้าเขากระดูกว่า “ไป”

ชั่วขณะนั้น ม้าเขากระดูกนับร้อยก็ล้วนแต่เงียบสงบลง จากนั้นจิงไห่ถึงได้ก้าวออกมาเอ่ยกับบ่าวคนหนึ่งที่นั่งกองลงไปกับพื้นว่า “รบกวนนำทางด้วย”

บ่าวคนนั้นรีบลนลานขึ้นมานำทางให้จิงไห่อย่างหวาดกลัว

ส่วนจิงไห่ก็นำม้าเขากระดูกนับร้อยเข้าไปด้านหลังของโรงเตี๊ยม

เมื่อคนและม้าจากไปแล้ว กลุ่มคนเมืองจิ่วยางถึงได้แยกย้ายกันไปอย่างอาลัยอาวรณ์

เพียงแต่ว่า วันนี้ประเด็นที่เล่าลือกันไปในเมืองจิ่วยางก็คือเขี้ยวมังกรและเจ้าเมืองลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

ภายในโรงเตี๊ยม เขี้ยวมังกรนำนํ้าร้อนมาวางอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

นางจุ่มสองมือลงไปล้างครู่หนึ่งแล้วถึงได้ใช้ผ้าสะอาดเช็ด

มั่วหยางมาถึงห้องของนางรายงานเกี่ยวกับเวรยามในคืนนี้เพื่อขออนุญาต นี่เป็นความคุ้นเคยของเขี้ยวมังกร แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ในค่ายทหาร แต่ก็ยังคงใช้ความคุ้นเคยในค่ายทหาร

หลังจากมู่ชิงเกอฟังเขารายงานจบ ก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับเขาว่า “มั่วหยาง ตอนนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ล้วนแต่ขี้นสู่ระดับสีเงินแล้ว จุดนี้ทำให้ช้าพอใจมาก เห็นได้ชั ว่าพวกเจ้าไม่ได้แอบอู้ แต่ว่า เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าจุดมุ่งหมายของพวกเราไม่ใช่โลกแห่งยุคกลาง คิดอยากจะปกป้องสิ่งที่ตนเองต้องการปกป้องก็ต้องแข็งแกร่งมากยิ่ง

“คุณชาย มั่วหยางเข้าใจแล้ว” มั่วหยางพยักหน้า ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็มีองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามารายงาน

“คุณชาย หัวหน้ามั่ว ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีคนมาก่อเรื่องขอรับ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version