ตอนที่ 344
ตระกูลหานแห่งเมืองเฟิงหยุน
“คุณชาย หัวหน้ามั่ว ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีคนมาก่อเรื่องขอรับ”
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่กำลังรับหน้าที่เฝ้ายามเข้ามารายงานอย่างกะทันหัน
ประโยคนี้ขัดการสนทนาที่มู่ชิงเกอและมั่วหยางกำลังพูดคุยกันอยู่ และก็ทำให้ในใจของทั้งสองคนบังเกิดความแปลกใจขึ้นมา
พวกเขาเพิ่งจะมาถึงก็มีคนมาก่อเรื่องแล้วหรือ?
สีหน้าของมั่วหยางมืดครึ้มขึ้นมา เขาหันกายไปมององครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วเอ่ยถามว่า “เป็นใครมาก่อเรื่องกัน? แล้วก่อเรื่องอะไร?”
องครักษ์เขี้ยวมังกรตอบว่า “ด้านนอกมีกลุ่มคนสิบกว่าคนบอกว่าพวกเขาต้องการเข้าพัก เถ้าแก่โรงเตี๊ยมได้บอกไปแล้วว่าโรงเตี๊ยมถูกจองเต็มแล้ว แต่พวกเขากลับ ไม่ยอมจากไป ซํ้ายังทุบตีทำร้ายเถ้าแก่ ท่าทางดูหยิ่งผยองมาก หญิงสาวที่เป็นหัวหน้านั้นยังพูดว่า…พูดว่า…”
“ยังพูดว่าอะไร?” อยู่ดีๆ องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ลังเล ทำให้มั่วหยางขมวดคิ้วขึ้น
นัยน์ตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง
องครักษ์เขี้ยวมังกรเงยหน้าขึ้นลอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง แล้วก็รีบหลุบตาลง กัดฟันเอ่ยว่า “นางมองเห็นพวกเราที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแล้วก็รู้ว่าพวกเราคือเขี้ยว มังกร แต่กลับเอ่ยอย่างหยิ่งยโสว่า แม้ว่าจะเป็นเจ้านายของพวกเราเขี้ยวมังกรคุณชายมู่มาพบนาง ก็ยังต้องไว้หน้านางสามส่วน พวกเรานับว่าเป็นตัวอะไรกัน”
เมื่อเขาพูดจบแล้วก็รีบชันเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นเหมือนว่าทำผิดอะไรมาก็ไม่ปาน
มํ่วหยางหันไปมองมู่ชิงเกอ
ส่วนคิ้วของมู่ชิงเกอกลับไม่ได้ขมวดมุ่นเพราะเรื่องที่เขาพูด
นัยน์ตาของนางฉายแววเยาะเย้ยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ากลับไม่รู้ว่าเป็นคนใหญ่โตมาจากที่ไหนที่ข้าเห็นแล้วยังต้องไว้หน้าสามส่วน”
“บางทีนางอาจจะไม่รู้ว่าคุณชายอยู่ที่นี่ถึงได้กล้าพูดออกมา” องครักษ์เขี้ยวมังกรที่คุกเข่าอยู่รีบเอ่ย
มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มเยาะและดูคลุมเครือ นางเอ่ยกับองครักษ์เขี้ยวมังกรคนนั้นว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
องครักษ์เขี้ยวมังกรลุกขึ้นจากพื้นในทันที แต่กลับไม่ได้ จากไป เขายืนรอมู่ชิงเกอตัดสินใจ
“ไป ไปดูคนที่จะทำให้ข้าเกรงใจสามส่วนคนนี้กันว่าเป็นท่านเทพมาจากไหน” มู่ชิงเกอพูดขึ้น
“คุณชาย” มั่วหยางรั้งเอาไว้ “เป็นแค่พวกแอบอ้าง ไยต้องรบกวนเวลาพักของท่านด้วย? ให้ข้าน้อยไล่นางไปเองเถิด”
มู่ชิงเกอกดรอยยิ้มลึกขึ้น “นางยกชื่อข้าขึ้นมา แล้วไยต้องให้เจ้าไปขายหน้าด้วยเล่า?”
“พูดไม่รู้เรื่องก็ต่อยตี” มั่วหยางพูดตรงๆ
มู่ชิงเกอกวาดตามองเขา ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “มั่วหยาง เจ้าจัดการเรื่องราวอยู่ภายนอกนั้นคงไม่ใช่ว่าล้วนแต่จัดการอย่างอหังการเช่นนี้ตลอดหรอกนะ?”
มั่วหยางร่างกายสะท้านวูบ ชันเข่าเดียวลงกับพื้นขอรับโทษ
“ลุกขึ้นมาเถอะ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักหน่อย เขี้ยวมังกรของพวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใคร” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยขึ้น
พูดแล้วนางก็เดินออกไปจากห้องมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่โรงเตี๊ยม มั่วหยางรีบลุกขึ้นรีบตามมู่ชิงเกอไปพร้อมกับองครักษ์เขี้ยวมังกรคนนั้น
เมื่อใกล้บริเวณแล้วมู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงร้องแหลมสูงของผู้หญิงคนหนึ่ง
นางค่อยๆ ขมวดคิ้ว เสียงนี้ดูคุ้นเคยอยู่บ้างแต่นางก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน เพียงแต่รู้สึกว่าเสียงนี้ดูแสบแก้วหูทำให้นางไม่ค่อยชอบใจนัก คนที่แม้แต่เสียงก็ทำให้นางเกิดความไม่ชอบขึ้นมา แล้วจะมีหน้าอะไรมาทำให้นางยอมลงให้สามส่วน?
ร่องรอยของความเยาะเย้ยในนัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอยิ่งเข้มขึ้นไปอีก
นางเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นร้องตะโกน “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร? ข้าเป็นถึงคุณหนูของตระกูลหาน! ที่นี่เป็นภาคเหนือไม่ใช่ภาคตะวันตก แต่ พวกเจ้ากลับกล้ามาสร้างความลำบากให้ข้าในเขตภาคเหนืองั้นหรือ?”
ที่แท้ก็เป็นนาง!
พูดถึงตระกูลหานในใจของมู่ชิงเกอก็พลันกระจ่าง
เงาร่างที่ถูกนางลืมไปอย่างสะอาดหมดจด กลับเข้ามาอยู่ในความทรงจำของนางใหม่อีกครั้ง
มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้าไม่ได้ก้าวเข้าไปในทันที
มั่วหยางตามเข้ามา เห็นนางหยุดอย่างกะทันหันแล้วก็เอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณชาย…”
“เป็นน้องสาวของหานฉายไฉ่” มู่ชิงเกอพูดขึ้นเรียบๆ
“น้องสาวของประมุขน้อยหาน?” มั่วหยางขมวดคิ้ว แต่เดิมเขาก็ไม่ค่อยประทับใจในตัวหายฉายไฉ่สักเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องสาวของเขาเลย
นิ่งไปครู่หนึ่ง มั่วหยางก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เช่นนั้นบ่าวจะให้คนเลือกห้องว่างออกมา…”
“หานอี้เหริน เจ้ากำลังทำอะไร?”
คำพูดของมั่วหยางยังไม่ทันได้จบ เสียงที่ทำให้มู่ชิงเกอคุ้นเคยมากยิ่งขึ้นก็ดังขึ้นขัดจังหวะเขา
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยนํ้าเสียงสนุกสนานว่า “หานฉายไฉ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เทียบกับหานอี้เหรินแล้ว แน่นอนว่านางจะต้องคุ้นเคยกับเสียงหลังเสียงนี้มากกว่า
“พี่รอง!” เสียงของหานอี้เหรินดังขึ้นมาอีกครั้ง นํ้าเสียงแฝงความยินดี
จากนั้นมู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงนางอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่รอง ข้ารู้ว่าไม่กี่วันนี้ท่านจะกลับมาเลยคิดจะมารอท่านที่นี่เพื่อสร้างความประหลาดใจให้ท่าน คิดไม่ถึงว่า วันนี้ท่านก็มาถึงแล้ว”
‘ที่แท้ก็มาคนละทาง’ มู่ชิงเกอเข้าใจมากขึ้นอีกหน่อย เสียงของหานฉายไฉ่ดังขึ้นอย่างรำคาญใจ “เจ้าไม่รออยู่ที่บ้านดีๆ วิ่งมาวุ่นวายที่นี่ทำไม”
“พี่รอง ข้าไม่ใช่ว่าทำเพื่อท่านหรือ” หานอี้เหรินพูดอย่างน้อยใจ “ท่านมาก็ดีแล้ว ท่านดูพวกเขาถึงกลับกล้าจองโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองเอาไว้ทั้งหลัง พวกเขามีกี่คนกัน พักห้องมากมายถึงขนาดนั้นเลยหรือ? ท่านไม่ใช่ว่ารู้จักกับเจ้านายของพวกเขามิใช่หรือ ท่านพูดกับพวกเขาดูเถอะ”
พูดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแวววาววาบ ก้าวเท้าออกไป
ตอนที่นางมองเห็นหายฉายไฉ่นั้น ก็พอดีกับที่เขากำลังสังเกตองครักษ์เขี้ยวมังกรเพราะคำพูดของหานอี้เหรินพอดี อีกทั้งยังจดจำสถานะขององครักษ์เขี้ยวมังกรได้
“พวกเจ้าคือเขี้ยวมังกร!” นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่เบิกกว้าง
ความตะลึงของเขายังไม่สิ้นสุด ก็มองเห็นเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ชั่วขณะนั้นเขาก็หลุดเสียงออกไปว่า “ชิงเกอ!”
ท่าทางเสียกริยาของเขาทำให้หานอี้เหรินขมวดคิ้วขึ้น
มองตามสายตาของเขาไปก็เห็นมู่ชิงเกอเดินออกมา คิ้วที่ขมวดอยู่ก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม พูดจากใจจริง นางไม่คาดหวังให้พี่รองของตนเองใกล้ชิดกับมู่ชิงเกอมากนักเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พี่รองทำพลาด แต่ว่านางกลับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้ หรือว่ามาเพราะพี่รอง?
การคาดเดานี้ทำให้หานอี้เหรินระแวงขึ้นมา
มู่ชิงเกอเดินเข้าไป กวาดตามองไปยังร่างของหานฉายไฉ่และหานอี้เหริน ด้านหลังของพวกเขาต่างก็มีผู้ติดตามมาบางส่วน ดูแล้วล้วนแต่เป็นคนของตระกูลหาน
“ชิงเกอ นับตั้งแต่ที่ออกจากลั่วซิงเฉิง พวกเราก็ไม่ได้เจอกันมาสองปีแล้ว” หานฉายไฉ่มองมู่ชิงเกอและพึมพำขึ้นมา
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร เจอหรือไม่เจอมีอะไรแตกต่าง?”
“เช่นนั้นที่เจ้ามาภาคเหนือในครั้งนี้…” หานฉายไฉ่พูดออกไป แต่ก็เข้าใจและพยักหน้าในทันที “ก่อนหน้านี้ได้รับข่าวว่าคนของกลืนจันทร์ร้อยอัคคีและยักษวิถีก็ล้วนมาภาคเหนือ เจ้าก็มาเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”
รู้ดีว่ามู่ชิงเกอมาภาคเหนือนั้นไม่อาจจะมาเพราะเขาอย่างแน่นอน แต่ท่าทีผิดหวังก็ยังยากที่จะแอบซ่อน
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบ
สายตาของนางกวาดมองไปบนร่างของหานอี้เหริน หัวเราะและเอ่ยกับนางว่า “คุณหนูหาน ไม่ทราบว่าท่านคิดจะทำให้ข้าไว้หน้าท่านสามส่วนได้อย่างไรหรือ?”
ประโยคหลังนั้นนางเน้นหนักและแฝงความรู้สึกสนุกสนาน
ไม่รอให้หานอี้เหรินเอ่ยปาก นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ก็ฉายแววแข็งกระด้างในทันที มองไปยังหานอี้เหริน “อี้เหริน เจ้าพูดเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”
“ข้า…” หานอี้เหรินรู้สึกหวาดกลัวท่าทางที่พี่รองของตนเองแสดงออกมา ที่นางพูดไปเช่นนั้นก็เพราะไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอก็อย่ที่นี่ด้วย
“ยังไม่รีบขออภัยเจ้าเมืองมู่อีก!” หานฉายไฉ่ตะคอกใส่
แต่เดิมหานอี้เหรินก็รู้แล้วว่าตนเองพลาดพลั้งไป แต่ว่าเมื่อถูกหานฉายไฉ่ตวาดใส่เช่นนี้ในใจก็เกิดความรู้สึกอดสูขึ้นชั่วขณะ ตะโกนกลับไปในทันทีว่า “เหตุใดต้องขออภัยด้วย? เขาเป็นใครกัน คู่ควรที่ข้าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหานจะต้องขอโทษด้วยงั้นหรือ?”
“เจ้าบังอาจนัก!” หานฉายไฉ่คำรามด้วยความโมโห ยกมือขึ้นฟาดไปที่ใบหน้านางทันที
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือดังขึ้น ทั้งหานฉายไฉ่และหานอี้เหรินล้วนแต่ชะงักไป
“ท่านตบข้าหรือ? หรือว่าท่านลืมไปแล้วว่าตอนที่ท่านกลับมารับตำแหน่งประมุขน้อยแห่งตระกูลหานนั้น ข้าช่วยท่านอย่างไรบ้าง?” หานอี้เหรินกุมแก้มที่แดงกํ่า ของตนเอง มองหานฉายไฉ่อย่างตกตะลึง
หานฉายไฉ่เองก็ตะลึง เขาหันคอที่แข็งทื่อไปมองมู่ชิงเกอ กลับเห็นเพียงท่าทางสนุกสนานของนางเท่านั้น
เดิมเขาคิดว่าสุดท้ายแล้วมู่ชิงเกอจะร้องเรียกให้เขาหยุด เช่นนั้นเขาก็จะผลักเรือตามนํ้าวางมือลง แล้วก็คลายปัญหาเรื่องนี้ไป แต่คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะไม่ออกปาก
และฝ่ามือของเขาก็ตบลงไปเช่นนั้น
สีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง เขามองไปยังหานอี้เหรินแล้วพูดว่า “พอแล้ว! ที่เจ้าช่วยข้าก็ไม่ใช่ว่าบริสุทธ์ใจ เรื่องบางเรื่องพวกเราล้วนแต่รู้ดีแก่ใจ”
“ท่าน!” หานอี้เหรินทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด จ้องมองหานฉายไฉ่ ไม่พูดอะไรอีก
มู่ชิงเกอไม่คิดจะฟังสองพี่น้องคู่นี้ถกเถียงกันต่อ นางหันไปสั่งการมั่วหยางว่า “มอบห้องว่างให้พวกเขา”
พูดแล้วนางก็ย้อนกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม ที่ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะเห็นแก่หน้าของหานฉายไฉ่
มองดูหานอี้เหริน นางถึงนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้เคยคิดคะนึงถึงผู้ชายของนางมาก่อน
อืม ถ้าหากว่านางได้สติแล้ว นางก็จะไม่ใส่ใจ แต่หากยังกล้าคิดต่อ นางจะไม่สนใจว่าจะเป็นน้องสาวของหานฉายไฉ่หรือไม่
การจากไปของมู่ชิงเกอ ทำให้หานฉายไฉ่หยุดทะเลาะกับหานอี้เหรินในทันที เขารีบก้าวเข้าไป เอ่ยกับนางว่า “ชิงเกอ ข้ารู้ว่าเจ้าจะไปเมืองเทียนผิง พวกเราไปด้วยกันดีไหม”
มู่ชิงเกอหยุดลง หันไปมองเขา
หานฉายไฉ่เอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด จากที่นี่ไปเมืองเทียนผิงนั้นผ่านเมืองเฟิงหยุนที่ตระกูลหานอยู่ พวกเราถือว่าไปทางเดียวกัน อีกอย่าง ตอนนี้พวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน ตอนนี้เจ้ามาถึงภาคเหนือไม่มีเหตุผลที่จะผ่านไปโดยไม่เข้าตระกูลหานนี่? ไม่ว่าจะอย่างไรก็ให้ข้าได้เป็นเจ้าภาพที่ดีหน่อยเถอะ”
มู่ชิงเกอมองตาคู่นั้นของหานฉายไฉ่ นัยน์ตาเรียวยาวคู่ นั้นของเขาฉายแววคาดหวังและดื้อดึง
คิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าถึงนางจะปฏิเสธ พวกเขาก็ต้องไปทางเดียวกันชั่วระยะหนึ่งอยู่ดี อย่างนั้นยังไม่สู้ใจกว้างเสียหน่อย
“ได้” มู่ชิงเกอเอ่ยคำตอบของตนเองออกไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีหานฉายไฉ่ยังกังวล แต่เมื่อได้ยินคำตอบของนาง นั้นก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมาในทันที
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สนใจเขา เดินไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า “คนของข้าออกเดินทางพรุ่งนี้”
วันที่สอง คนของมู่ชิงเกอก็ออกไปจากเมืองจิ่งยางไป พร้อมกันกับหานฉายไฉ่
การที่คนและม้าทั้งสองกลุ่มเดินทางไปด้วยกันถือว่านอกเหนือไปจากแผนการที่วางเอาไว้
หานอี้เหรินตามอยู่ด้านหลัง มองเงาแผ่นหลังของมู่ชิงเกอกับหานฉายไฉ่ด้วยท่าทางอึมครึมน่ากลัว
ถึงแม้เมื่อวานนางกับหานฉายไฉ่จะขัดแย้งกันบ้าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ผลประโยชน์ของทั้งสองคนได้ผูกเอาไว้ด้วยกันนานแล้ว ยากที่จะแยกออก
ดังนั้น นางจำเป็นต้องขัดขวางไม่ให้หานฉายไฉ่ทำพลาด!
‘ไม่ได้ จะต้องทำให้พี่รองตัดใจให้ได้’ หานอี้เหรินเอ่ยขึ้นในใจ นางมองไปยังมู่ชิงเกออีกครั้ง ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีมู่ชิงเกอเป็นต้นเหตุ