Skip to content

พลิกปฐพี 547

ตอนที่ 547

ความชั่วเยอะจนเขียนบรรยายไม่หมด!

นอกเมืองลั่วซิงเฉิง ปีศาจเฒ่าที่มาเพราะสิทธิ์แห่งเทพขวางทางนอกเมืองไว้เหมือนเกราะปราการที่ไม่ยอมให้อะไรผ่านไปได้

พวกเขาลอบนัดกันว่าจะโอบล้อมลั่วซิงเฉิงไว้ ตัดทุกทางเข้าออก คิดจะกักขังมู่ชิงเกอเอาไว้ด้านใน บีบให้ต้องยอมจำนน

ภายในจวนเจ้าเมือง มั่วหยางก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ประสานสองมือทำความเคารพ “คุณชาย คนเหล่านี้อยู่รอบๆ ลั่วซิงเฉิงและรวมกำลังกัน คิดจะตัดขาดลั่วซิงเฉิงออกจากโลกภายนอก”

มู่ชิงเกอพยักหน้า พลิกอ่านม้วนกระดาษในมือ ใช้นํ้าเสียงที่เรียบเฉยพูดว่า “ตามใจพวกเขาเถอะ”

“แต่คุณชาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีแก้ที่ดี” มั่วหยางขมวดคิ้วเอ่ย

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาจากม้วนกระดาษในมือและมองไปที่มั่วหยาง สายตาอันสดใสทำให้หัวใจที่ร้อนรนของเขาสงบลง

“ลั่วซิงเฉิงอยู่ด้วยตนเองไม่ได้หรือ” มู่ชิงเกอถามออกไปประโยคหนึ่ง

มั่วหยางเม้มปากเล็กน้อย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ ลั่วซิงเฉิงอยู่ด้วยตนเองได้”

มู่ชิงเกอจึงถอนสายตากลับ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เช่นนั้นเจ้ายังจะกังวลใจเรื่องอะไรอีก มีพวกเขาเฝ้าอยู่ที่นั่น ลั่วซิงเฉิงก็เหมือนมีสุนัขมากมายมาเฝ้าประตูให้ฟรีๆ เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง”

“พวกเขาไม่ได้คิดจะช่วยพวกเรา แต่คิดจะบีบบังคับท่าน” มั่วหยางพูดอย่างแค้นใจ “น่าตายนัก ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เอาเรื่องที่คุณชายมีรากวิญญาณห้าชนิดไปป่าว ประกาศ ดึงดูดให้พวกที่มีใจละโมบเหล่านี้เกิดความโลภขึ้นมา”

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นลูบตราประทับดอกบัวบนหว่างคิ้วของตนเอง มุมปากคลี่ออกบางๆ พูดอย่างสงบไร้ซึ่งความโกรธว่า “เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกคนรู้เข้าอยู่แล้ว ตอนนี้เพียงแค่รู้เร็วไปหน่อยก็เท่านั้น”

ความสงบของมู่ชิงเกอทำให้มั่วหยางค่อยๆ สงบลง

ในที่สุดมู่ชิงเกอก็อ่านม้วนกระดาษในมือจบ จึงเอ่ยกับเขาว่า “ก่อนศึกใหญ่ หน่วยงานต่างๆ เตรียมตัวกันเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มั่วหยางก็เก็บความแค้นในใจลง พยักหน้าเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ ลั่วซิงเฉิงเปรียบเสมือนเป็นบ้านของพวกเขา คุณชายดีต่อพวกเขามาก การที่ ตำหนักเทพก่อเรื่องในครั้งนี้ พวกเขาล้วนแต่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างดีและแสดงท่าทีว่ายินดีจะร่วมรบกับคุณชาย”

“ดีมาก ภายในนั้นคนที่แสดงฝีมือได้ดีก็ให้เจ้าเขียนรายชื่อออกมา เมื่อสมควรให้รางวัลก็ต้องให้รางวัล” มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ย

“ขอรับ” มั่วหยางจดจำคำสั่งของมู่ชิงเกอไว้

เขาเงียบลงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ก่อนหน้านี้กู่หยาและกู่เย่พาองครักษ์เขี้ยวมังกรสามร้อยนายกลับไปยังหลินชวน ตอนนี้กำลังจะมีศึกใหญ่ ต้องการเรียกพวกเขาให้กลับมาหรือไม่”

“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอปฏิเสธข้อเสนอของเขา นางมองไปยังสายตาสงสัยของมั่วหยาง แล้วอธิบายว่า “ข้าไม่อยากทำให้พวกท่านปู่กังวลใจกับเรื่องนี้ มีพวกเขาคอย ให้ความคุ้มครองอยู่ในที่ลับ ข้าถึงสามารถตั้งใจต่อกรกับตำหนักเทพอย่างสบายใจได้”

นัยน์ตาของมั่วหยางฉายแวววาววาบ และชั่วขณะนั้นก็เปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา เขาพูดเสียงเข้มว่า “คุณชาย กลัวว่าตำหนักเทพจะลงมือกับตระกูลมู่อย่างนั้นหรือ”

มู่ชิงเกอไม่ได้ปิดบัง นางพยักหน้าเอ่ยว่า “เมื่อกระต่ายถูกบีบให้ร้อนใจแล้วก็ยังกัดคน นับประสาอะไรกับตำหนักเทพเล่า”

ประโยคนี้เอ่ยออกมาอย่างเสียดสี แต่เมื่อมั่วหยางได้ฟังกลับเห็นด้วยเป็นอย่างมาก

องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนาย หากว่ารวมตัวกันแล้ว พละกำลังก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าและก็เป็นไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุดในมือของมู่ชิงเกอ

แต่เพื่อคนในครอบครัว มู่ชิงเกอยินดีหักปีกตนเอง ลดทอนพละกำลังของตนเองลง

“เช่นนั้นกู่หยาและกู่เย่…” มั่วหยางลองถามออกไป ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าหากมีสองคนนั้นอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอก็จะทำให้นางปลอดภัยขึ้นไม่น้อย

เพราะตอนนี้มีปีศาจเฒ่ามากมายจับตาดูอยู่ด้านนอก แต่มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “มีพวกเขาอยู่ที่หลินชวนนั้น ทำให้ข้าสบายใจได้มากกว่า อีกอย่าง เพียงแค่พวกเขารู้ ก็จะไม่สามารถปิดบังทางอามั่วได้อีก เรื่องของตัวเขาเองก็มากพออยู่แล้ว ข้าไม่อยากเอาเรื่องเล็กน้อยของข้าไปรบกวนเขา”

เรื่องเล็กน้อย?

เป็นศัตรูกับตำหนักเทพ เปิดศึกกับตำหนักเทพ ถูกปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านของโลกแห่งยุคกลางจับจ้อง นี่เป็นเรื่องเล็กงั้นหรือ

มั่วหยางถอนหายใจในใจพร้อมหลุบตาลง เขาเข้าใจมู่ชิงเกอ เข้าใจว่าในใจของนางนั้นใส่ใจคนอื่นมากเกินไป ถึงได้แบกรับทุกเรื่องเอาไว้คนเดียว

มั่วหยางถอยออกไป

หลังจากเขาจากไป บนตำแหน่งของเจ้าเมืองด้านหลังของมู่ชิงเกอก็มีงูสีขาวตัวเล็กตัวหนึ่งโผล่ออกมา งูตัวเล็กเลื้อยลงมาตามเก้าอี้ตกลงบนพื้นกลายเป็นสาวงามคนหนึ่ง

ไป๋สี่เบียดอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ นั่งลงเคียงข้างกับนาง สองแขนที่อ่อนนุ่มเหมือนไร้กระดูกพัวพันรอบแขนของมู่ชิงเกอ ซบศีรษะลงบนไหล่ของนาง

“ชิงเกอ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกปีศาจเฒ่าเหล่านั้นถึงโอบล้อมอยู่เฉยๆ ไม่สู้รบ” เสียงเหมือนเด็กน้อยของไป๋สี่นั้นน่ารักมาก แต่มู่ชิงเกอรู้จักนิสัยของนางดีจึงไม่ได้หัวเราะ

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ เอ่ยตอบว่า “เพราะว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาคิดจะเป็นหัวหอกอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่เข้าใจ” ไป๋สี่ยังคงขมวดคิ้วส่ายหน้า

มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันอธิบายให้นางฟังว่า “ดูพวกเขาเหมือนร่วมมือกันโอบล้อมลั่วซิงเฉิงก็จริง แต่ในความเป็นจริงก็ลอบขัดขวางกันและกัน เพราะมีมู่ชิงเกอแค่ เพียงคนเดียว ถึงรากวิญญาณจะเยอะแค่ไหนก็มีแค่เพียงห้าชนิด พวกเขามีคนมากมายขนาดนี้ จะแบ่งกันอย่างไร ทุกคนต่างก็กังวลว่าจะมีคนได้ไปก่อน ดังนั้น พวกเขาถึงลอบขัดขวางกันและกัน หากว่ามีใครกล้าลงมือ ก็จะถูกกลุ่มคนรุมโจมตีทันที”

“เช่นนั้นเหตุใดพวกเขายังต้องทำเช่นนี้อีกไม่เสียเวลาเปล่างั้นหรือ” ไป๋สี่ยิ่งไม่เข้าใจ

มีบางครั้งที่ความคิดของเผ่ามนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่งูตัวหนึ่งจะสามารถเข้าใจได้ แม้ว่างูตัวนี้จะอยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้วก็ตามที

“พวกเขากำลังรอ” มู่ชิงเกอตอบ

“รอหรือ รออะไร” ไป๋สี่ชะงัก

“รอว่าเมื่อไหร่ข้าจะทนไม่ไหว ออกไปจากลั่วซิงเฉิงเอง” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยออกมา

ไป๋สี่จ้องนางอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ นางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด”

ท่าทางขอความกระจ่างของนางทำให้มู่ชิงเกอได้แต่ต้องอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น “พวกเขาคิดว่า มีคนมา มายขนาดนี้ร่วมกันกดดัน จะทำให้ข้าใช้ชีวิตอยู่ท่าม กลางความหวาดกลัว รู้สึกไม่สงบ และจะต้องมีสักวันที่ข้าจะทนไม่ไหว อยากจะหนีออกไปจากลั่วซิงเฉิง ถึงตอนนั้นไม่ว่าข้าจะหนีออกไปทางด้านไหน คนที่เฝ้าอยู่ ด้านที่ข้าหนีออกไปนั้นก็จะมีโอกาสแย่งชิงก่อน พวกเขาต้องการแข่งความอดทนกับข้า”

“เหตุใดพวกเขาไม่รวมตัวกันต่อสู้บุกเข้ามาในลั่วซิงเฉิง แล้วจับเจ้าไปเลยละ”ไป๋สี่พูดอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอหัวเราะเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็พูดแล้วนี่ว่าคนเยอะแต่มีของน้อย ถึงพวกเขาจะรวมตัวกันโจมตีลั่วซิงเฉิงและบุกเข้ามาในจวนเจ้าเมืองได้สำเร็จ จับข้าไปได้ แล้วจะแบ่งกันอย่างไร อีกอย่างหากว่าถูกบีบมากๆ เข้า แล้วข้าลากพวกเขาให้ตายไปด้วยกันล่ะจะทำอย่างไร พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อรากวิญญาณและสิทธิ์แห่งเทพ ไม่ได้มาเพื่อตาย”

มู่ชิงเกออธิบายไปมากมาย ไป๋สี่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

ในที่สุดนางก็ปล่อยวาง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “มนุษย์ช่างเข้าใจได้ยากนัก”

“ใช่แล้ว ดังนั้นจึงมีคำพูดว่า ใจคนยากแท้หยั่งถึงอย่างไรเล่า” มู่ชิงเกอเอ่ย

“คุณชาย”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ ในมือของพวกนางทั้งสองคนหอบม้วนกระดาษเข้ามา ท่าทาง…ดูเหมือนจะค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียว

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น

ไป๋สี่มองหญิงสาวสองคนนี้แล้วก็พึมพำว่า “มีเรื่องอะไร กันถึงทำให้พวกนางตื่นเต้นได้ขนาดนี้”

แต่ครั้งนี้มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ตอบนาง แต่มองไปทางโย่วเหอและฮวาเยวี่ย “ได้มาแล้วหรือ”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนเปล่งประกายวาววาบ

ฮวาเยวี่ยเอ่ยว่า “ได้มาแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งยังได้สิ่งที่เหนือความคาดหมายมาอีกด้วย”

พูดแล้วทั้งสองก็วางม้วนกระดาษในมือลงไปบนโต๊ะด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ม้วนกระดาษเหล่านี้มีถึงสามสิบสี่สิบม้วน วางจนเต็มโต๊ะตรงหน้าของมู่ชิงเกอไปหมด

“คุณชาย ท่านลองดูก่อนเถอะ” โย่วเหอถอยออกไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย หยิบขึ้นมาม้วนหนึ่ง เปิดออกอ่านเนื้อหาด้านในอย่างรวดเร็ว ไป๋สี่สนใจชะโงกหน้าเข้ามาอ่านด้วย

นางค่อยๆ เบิกตากว้าง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

แต่ท่าทีของมู่ชิงเกอกลับสงบมาก เมื่ออ่านจบม้วนหนึ่ง ก็เปลี่ยนม้วน

“ประมุขน้อยหานลงมือกับเรื่องนี้ไปไม่น้อยเลย” โย่วเหอพูดออกมาหนึ่งประโยค

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วถึงถอนสายตากลับ เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “พูดเช่นนี้แสดงว่า รายงานส่วนหนึ่งล้วนแต่มาจากหอสรรพสิ่งงั้นหรือ”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชาย” โย่วเหอพยักหน้าเอ่ยออกมา

เมื่อถามแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ถามอีก นางอ่านม้วนกระดาษเหล่านั้นต่อ

เมื่อมู่ชิงเกออ่านม้วนกระดาษแผ่นสุดท้ายจบแล้ว ไป๋สี่ ถึงเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “ของเหล่านี้…เยอะจนแทบจะเขียนบรรยายออกมาไม่หมดจริงๆ”

“คุณชาย พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี” โย่วเหอเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอเม้มปาก นัยน์ตาหรี่เล็กลง

นางกลับมาถึงลั่วซิงเฉิงได้เพียงห้าวัน คำใส่ร้ายที่ตำหนักเทพใส่ร้ายนางก็ยังเล่าลือกันอยู่ทั้งห้าภาค ได้ยินว่ายังมีกลุ่มคนที่ด่าว่านางจำนวนไม่น้อยที่กำลังมุ่ง หน้ามายังลั่วซิงเฉิง

ด่าว่าหรือ

ชิ มาด่าว่านางงั้นหรือ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเอียบเย็น สั่งการโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า “เอาของที่พวกเจ้ารวบรวมมาได้ เหล่านี้จัดระเบียบแล้วเขียนออกมาไปแขวนอยู่นอกประตูเมืองลั่วซิงเฉิง แล้วก็ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรขี่อสูรเวหาของพวกเขาไปยังเมืองหลวงของทั้งห้าภาค คนที่ไปภาคกลางให้หยินเฉินตามไปด้วย” นางต้องการจะกระจายใบปลิว

หลังจากนั้นหนึ่งวัน กลุ่มคนจากทั่วทุกสารทิศก็มารวมตัวกันและมุ่งหน้ามายังลั่วซิงเฉิง

โครงสร้างเมืองขนาดใหญ่ของลั่วซิงเฉิงปรากฎอยู่ตรง หน้าทำให้พวกเขาตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะ

“เจ้าเมืองมู่ผู้นี้ ข้าเคยคิดว่านางเป็นคนดีเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะข้องเกี่ยวกับผู้ฝึกวิถีมารและวางแผนร้ายต่อพวกเรา ถุ้ย ช่างดูคนผิดไปจริงๆ”

“ข้ายังเคยชื่นชมนาง แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนกินแมลงวันเข้าไป อยากอาเจียน”

“ครั้งนี้จะต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของนางออกมา ให้ทุกคนในใต้หล้ารู้ให้ได้ว่านางเป็นคนอย่างไรกันแน่”

“ชิ! ข้ายังเคยแอบรักนาง ถือเอานางเป็นเทพธิดาในดวงใจ ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นคนชั่วจอมปลอมคนหนึ่ง”

กลุ่มด่าว่าเหล่านี้จะเกิดคำพูดแนวนี้ขึ้นในทุกๆ วัน พวกเขาอาศัยคำพูดเหล่านี้เพิ่มความกล้าหาญเดินมาจนถึงนอกเมืองลั่วซิงเฉิง

ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะถึงนั้น นอกกำแพงเมืองลั่วซิงเฉิงก็มีม้วนกระดาษขนาดใหญ่สองแผ่นห้อยเอาไว้อยู่ บนนั้นเขียนตัวอักษรเต็มไปหมด

“บนนั้นเขียนอะไรกัน”

ชั่วขณะนั้นเนื้อหาบนกระดาษก็ดึงดูดให้กลุ่มคนที่มาด่าว่า รวมถึงพวกปีศาจเฒ่าที่ยังโอบล้อมลั่วซิงเฉิงให้เกิดความสนใจขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version