Skip to content

พลิกปฐพี 546

ตอนที่ 546

มู่ชิงเกอส่งรากวิญญาณออกมา!

“ประกาศข่าวออกไปทั้งห้าภาค บอกว่า…” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วถึงได้ยิ้มเยาะพูดว่า “ตำหนักเทพขาดความชอบธรรม กระทำการชั่วช้าแต่ปกปิดความเลวร้ายของ ตนเอง มองประชาชนทั้งใต้หล้าเป็นสุนัข เห็นแก่ตัวหาเรื่องทำสงคราม ลั่วซิงเฉิงของข้าเองก็ไม่เคยเกรงกลัว! นับตั้งแต่นี้ไปลั่วซิงเฉิงของข้าและตัวข้ามู่ชิงเกอกับ ตำหนักเทพเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เปิดศึกอย่างเป็นทางการ! ตำหนักเทพลบหลู่ข้า! รังแกข้า! ฆ่าข้า! ข้าก็จะสนองกลับ! ตอบโต้กลับ! ฆ่าล้างกลับ!”

ตำหนักเทพลบหลู่ข้า! รังแกข้า! ฆ่าข้า! ข้าก็จะสนองกลับ! ตอบโต้กลับ! ฆ่าล้างกลับ!

ตำหนักเทพลบหลู่ข้า! รังแกข้า! ฆ่าข้า! ข้าก็จะสนองกลับ! ตอบโต้กลับ! ฆ่าล้างกลับ!

ตำหนักเทพลบหลู่ข้า! รังแกข้า! ฆ่าข้า! ข้าก็จะสนองกลับ! ตอบโต้กลับ! ฆ่าล้างกลับ!

คำพูดเหล่านี้เอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม หลังจากที่ได้ยินก็ทำให้เกิดความรู้สึกเลือดเดือดพล่าน ความรู้สึกกล้าหาญพวยพุ่งออกมาจากหัวใจ เกิดความคิดอยากจะพุ่งตัว เข้าชนกับศัตรู

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหลักของจวนเจ้าเมืองต่างพากันเอ่ยออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ตำหนัก เทพลบหลู่ข้า! รังแกข้า! ฆ่าข้า! ข้าก็จะสนองกลับ! ตอบโต้กลับ! ฆ่าล้างกลับ!”

ตำหนักเทพลบหลู่ข้า! รังแกข้า! ฆ่าข้า! ข้าก็จะสนองกลับ! ตอบโต้กลับ! ฆ่าล้างกลับ!

ความรู้สึกเลือดร้อนระอุนั้นกระทั่งพวกมู่เฉิน มู่เผิงรวมทั้งราชครูซึ่งล้วนแต่ผ่านยุคนั้นมานานแล้วก็ยังรู้สึกหนุ่มแน่นขึ้นมาอีกครั้ง

เลือดร้อนระอุไหลผ่านเส้นเลือด อยากจะพุ่งออกไปต่อสู้กับศัตรู

พลังแห่งการชักจูงเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์ของมู่ชิงเกอ

เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของนางก็สามารถควบคุมอารมณ์ของคน ทำให้ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ติดตามนางอย่างจริงใจ เชื่อมั่นในตัวนาง ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

ราชครูกับมู่เฉินล้วนแต่ลอบมองมู่ชิงเกอและเกิดความคิดมากมายขึ้นในใจ

ในตอนนี้พวกเขาสองคนล้วนแต่ลอบเอ่ยในใจว่า ‘หรือว่านี่คือพลังของนายน้อยตามชะตาลิขิตแม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงแต่ก็เป็นผู้นำโดยกำเนิด การคงอยู่ของนาง ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่น ทำให้กองทัพที่นางอยู่แข็งแกร่งไร้เทียมทานขึ้น’

หยินเฉินและมั่วหยางรับคำสั่งถอยออกไป ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของใครของมัน

เวลานี้มีข่าวลืออยู่ทั่วสารทิศ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือทำให้ลั่วซิงเฉิงมีความมั่นคงเตรียมรับศึก

มู่ชิงเกอกลับไปยังห้องพร้อมกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ย สาวใช้คนสนิทสองคนนี้เตรียมนํ้าร้อนเอาไว้ให้นางอย่างรู้ใจ ปรนนิบัตินางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รอจนนางอาบน้ำเสร็จแล้วมานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทั้งสองคนก็เริ่มช่วยนางแต่งหน้าทำผม

ที่จริงการแต่งหน้าทำผมของมู่ชิงเกอนั้นเรียบง่ายมาก

เพียงแค่จัดผมเป็นมวยอย่างเรียบง่ายก็เสร็จแล้ว ฮวาเยวี่ยหวีผมให้มู่ชิงเกอ ส่วนโย่วเหอก็คอยช่วยอยู่ข้างๆ

ไม่นานฮวาเยวี่ยก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ตำหนักเทพช่างเกินไปจริงๆ ถึงกลับใส่ร้ายว่าคุณชายสมรู้ร่วมคิดกับผู้ฝึกวิถีมาร ทั้งยังพูดว่าที่ผู้ฝึกวิถีมารเข่นฆ่าผู้คนไปทั่วสารทิศก็เพราะได้รับคำสั่งจากคุณชายอีก”

มู่ชิงเกอมองตนเองในกระจก และก็มองเห็นท่าทางที่ดูขับข้องใจของฮวาเยวี่ยจึงอดหัวเราะไม่ได้ นางเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ก็ไม่ถือว่าเป็นการใส่ร้ายซะทีเดียว คุณ ชายของพวกเจ้าเป็นคู่หมั้นของเจ้าแห่งมาร ข้ากับผู้ฝึกวิถีมาร รวมทั้งเผ่ามารก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันอยู่แล้ว”

“แต่คุณชายไม่ได้สั่งให้พวกเขาฆ่าคนนี่!” ฮวาเยวี่ยเอ่ย

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ที่เป็น ‘อาวุธ’ ที่ตำหนักเทพใช้โจมตีนาง นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ สั่งการโย่วเหอว่า “เจ้าไปสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดที ว่าเหตุใดจึงมีความ บังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้นได้ ผู้ฝึกวิถีมารไม่ก่อเรื่องก่อนหรือหลัง แต่กลับมาก่อเรื่องในเวลานี้ได้อย่างไร”

“คุณชายสงสัยว่าจะเป็นแผนการร้ายของตำหนักเทพใช่ไหมเจ้าคะ ที่จริงแล้วเป็นคนของตำหนักเทพปลอมตัวเป็นผู้ฝึกวิถีมารไปฆ่าคน” โย่วเหอคาดเดาถึงจุด สำคัญได้

มู่ชิงเกอพยักหน้า เดิมทีเรื่องนี้ก็น่าสงสัยมาก

ที่สำคัญก็คือนางรู้ว่าซือมั่วจัดการดูแลผู้ฝึกวิถีมารอย่างเข้มงวด และจากภายในสุสานเทพก็จะเห็นว่าหวงฝู่ฮ่วน และเฉินปี้เฉิงเป็นผู้นำของพวกเขา พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยให้ผู้ฝึกวิถีมารทำอะไรโดยพลการและยิ่งจะไม่ยอมให้พวกเขามาเพิ่มปัญหาให้นางด้วย

“ที่แท้ทุกอย่างนี้ก็เป็นตำหนักเทพสร้างเรื่องขึ้น” ปฏิกิริยาของฮวาเยวี่ยก็ไม่ได้ช้าไปกว่าโย่วเหอ เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอในทันที นางพูดอย่างไม่พอใจว่า “แต่คนเหล่านี้กลับเชื่อคำพูดของพวกจอมปลอมอย่างตำหนักเทพ”

มู่ชิงเกอมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง “เชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ไม่ได้สำคัญกับพวกเขาหรอก พวกเขาต้องการเพียงแค่เหตุผลในการโจมตีเท่านั้น มิเช่นนั้นตำหนักเทพที่วางตัวเองไว้บนตำแหน่งที่อยู่ในทำนองคลองธรรมแบบนั้นจะส่งกำลังมาโจมตีฐานอำนาจของโลกแห่งยุคกลางได้อย่างไร”

“เจ้าเล่ห่จริงๆ” ฮวาเยวี่ยกัดฟันพูด

“พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่” โย่วเหอขมวดคิ้วแน่น

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “พวกเขาคิดจะใช้ทั้งโลกแห่งยุคกลางมาบีบบังคับข้าให้มอบหม้อผลาญสวรรค์ออกไป เกรงว่าตอนนี้คงมีเป้าหมายเพิ่มอีกอย่าง นั่นก็คือจะบีบให้ข้าอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพวกเขา เป็นสุนัขตัวหนึ่ง ที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ข้างกาย”

“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายองอาจกล้าหาญไม่ยอมจำนนต่อฟ้าดิน จะไปยอมคุกเข่าต่อพวกจอมปลอมเหล่านี้ได้อย่างไร” ฮวาเยวี่ยพูดอย่างไม่ลังเล

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนี่ พวกเขาไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ หากว่าตอนนี้ข้ายังอยู่ในสถานะผู้ชาย ความผิดที่ใส่ร้ายข้าคงจะไม่ได้มีแค่นี้แน่ ข่มขืนปล้นฆ่า ทำแต่ ความชั่ว อะไรที่สามารถดึงดูดให้ผู้คนแค้นเคืองได้มากที่สุด พวกเขาก็จะใช้มันมาบรรยายข้า”

“พวกเขากล้าเหรอ!” ฮวาเยวียถลึงตาเอ่ย

“ทำไมจะไม่กล้าเล่า ตำหนักเทพคงอยู่ในโลกแห่งยุคกลางมาไม่รู้ตั้งกี่ปี คิดว่าคงจะเชี่ยวชาญวิธีทำการชั่วช้าลับหลังคนมานานแล้ว” มู่ชิงเกอพูดเยาะเย้ย

“คุณชาย พวกเราจะต้องไม่ยอมให้พวกจอมปลอมอย่างตำหนักเทพสมหวัง และจะต้องไม่ให้ผู้คนเข้าใจคุณชายผิดได้นะเจ้าคะ” โย่วเหอพูดอย่างจริงจัง

มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา หันมองสาวใช้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยกับพวกนางว่า “เข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกนั้นไม่สำคัญ เรื่องที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คือรีบเก็บรวบรวมหลักฐาน ข้าต้องการตบหน้าของพวกเขาให้หนักๆ ให้คนทั้งใต้หล้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาให้ชัดๆ”

“เจ้าค่ะ คุณชาย”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรับปากพร้อมกัน

สุสานเทพปิดตัวลงอีกครั้ง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับ คืนสู่ความสงบ

แต่ลมพายุอันแปลกประหลาดกลับม้วนพัดไปทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางอย่างรวดเร็ว

ตำหนักเทพต้องการกำจัดลั่วซิงเฉิงหรือ

นี่เป็นสถานการณ์อะไรกัน

มู่ชิงเกอแห่งลั่วซิงเฉิงสมรู้ร่วมคิดกับผู้ฝึกวิถีมารงั้นหรือ วางแผนการชั่วร้ายต่อทุกตระกูลในโลกแห่งยุคกลางหรือ

นี่มันอะไรกัน

ที่สำคัญก็คือเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกภาคพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้ในใจของผู้คนเกิดความแค้นเคืองและขาดซึ่งสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกไม่สงบนี้ทำให้พวกเขารีบหาทางออก ส่วนตำหนักเทพก็มอบโอกาสให้พวกเขา

ไม่สนใจว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ก่อนที่เรื่องราวต่อไปจะเผยออกมา มู่ชิงเกอก็คือแพะรับบาป

แต่พวกเขายังไม่ทันได้ระบายความเกรี้ยวกราดออกไป ลั่วซิงเฉิงก็แสดงท่าทีออกมา

เรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างเป็นแผนการร้ายของตำหนักเทพหรือ

เมื่อข่าวนี้ออกมา คนทั้งห้าภาคก็พากันตกตะลึง

ในสมาคมของเหล่าหลิวเค่อ สามผู้นำใหญ่ของเหล่าหลิวเค่อรวมตัวกันอีกครั้ง ไม่กี่ปีนี้พวกเขายอมรับเขี้ยวมังกรเป็นหลิวเค่อระดับนภากลุ่มใหม่แล้ว แต่ทิศทางของสายลมในตอนนี้กลับทำให้พวกเขาเริ่มลังเล

ที่พวกเขาลังเลนั้นไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นเรื่องที่ควรจะวางตัวอย่างไรดี

“ภาพลักษณ์ภายนอกอันสว่างไสวของตำหนักเทพนั้น พวกเราล้วนแต่รู้ดีแก่ใจ ครั้งนี้มันต่อต้านลั่วซิงเฉิง คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้าเมืองมู่ยังเยาว์วัยเลือดร้อนเป็นวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ไปล่วงเกินตำหนักเทพเข้า ศึกใหญ่ในครั้งนี้เกรงว่าจะไม่จบง่ายๆ พวกเราสามกลุ่มจะทำอย่างไรดี” ผู้นำกลืนจันทร์ถอนหายใจ

ผู้นำยักษ์วิถีและผู้นำร้อยอัคคีสบตากันแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังเอ่ยว่า “ที่ข้ากังวลในตอนนี้คือ มั่วหยางแห่งเขี้ยวมังกรอาจจะมาขอให้พวกเราช่วยเหลือ ถึงตอนนั้นพวกเราจะช่วยหรือไม่ช่วยก็คงลำบากใจแน่”

“ใช่ ไม่ช่วยก็จะเสียชื่อของพวกเราสมาคมหลิวเค่อ หากว่าช่วยแล้วก็จะเป็นศัตรูกับตำหนักเทพ เรื่องนี้…,” ผู้นำยักษ์วิถีเผยสีหน้าลำบากใจออกมา

ปัญหานี้ทำให้คนปวดหัว เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นหลิวเค่อ ไม่มีตระกูลคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ที่โลกของหลิวเค่อสามารถรุ่งเรืองคงอยู่ได้ยาวนานทำให้ตระกูลต่างๆ ไม่กล้าดูเบาก็เพราะการรวมตัวกัน

ไม่ว่าพวกเขาจะรู้จักกันหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะมีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน เพียงแค่มีศัตรูภายนอก พวกเขาก็จะรวมกันเป็นหนึ่งต่อต้านศัตรู

ความสามัคคีและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้ถึงทำให้กองกำลังหลิวเค่อไม่ถูกดูแคลน

หากว่าครั้งนี้พวกเขาทำลายกฎ เกรงว่าการล่มสลายของสมาคมหลิวเค่อคงจะเริ่มขึ้นแล้ว

แต่อีกฝ่ายคือตำหนักเทพ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งสามอดลังเลขึ้นมาไม่ได้ ตำหนักเทพไม่ใช่ใครที่ไหนก็จะล่วงเกินได้

ตอนนี้พวกเขาล้วนแต่ลอบแค้นมู่ชิงเกอในใจ

โทษที่นางจะล่วงเกินใครก็ไม่ไปล่วงเกินกลับไปล่วงเกินตำหนักเทพได้

“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน พวกเราก็อยู่เฉยๆ ไปก่อน ดูว่าก้าวต่อไปของพวกเขาทั้งสองฝั่งจะเดินอย่างไร แต่หวังว่าศึกครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้น พวกเราจะได้ไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้” ผู้นำกลืนจันทร์เอ่ย

บรรดาตระกูลต่างๆ ของทั้งห้าภาคต่างพากันลอบสังเกตการณ์

พวกเขาล้วนแต่รู้ดีว่าเกิดพายุขึ้นแล้ว ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดการนองเลือดมากแค่ไหน

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจับตาดู ในตอนที่ข่าวลือในกลุ่มฝูงชนและความไม่สงบแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องนั้น ก็มีข่าวอีกข่าวหนึ่งปรากฎออกมาอย่างเงียบๆ

‘ว่ากันว่าเจ้าเมืองมู่แห่งลั่วซิงเฉิงครอบครองรากวิญญาณห้าชนิด’

‘พูดกันว่าคนที่แย่งชิงรากวิญญาณได้ หลังจากเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้แล้วพลังฝึกปรือจะพัฒนามากขึ้น’

รากวิญญาณห้าชนิด

รากวิญญาณห้าชนิด ข่าวนี้โด่งดังไปทั่วโลกแห่งยุคกลางอย่างรวดเร็ว ทั้งยังทำให้ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านจำนวนไม่น้อยรู้สึกตื่นตัว

คนเหล่านี้มีบางคนเข้าไปในสุสานเทพแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับมู่ชิงเกอเท่านั้น พวกเขามองเห็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดในสุสานเทพ แต่ไม่รู้ว่าคนคนนั้นก็คือมู่ชิงเกอ

มีบางคนล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในสุสานเทพเพราะไม่มีรากวิญญาณ หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่นทำให้พลาดโอกาสเข้าไปในสุสานเทพ เมื่อข่าวนี้ปรากฎออกมาก็ทำให้พวกเขามีความหวังใหม่ขึ้น

มู่ชิงเกอมีรากวิญญาณถึงห้าชนิด ทั้งยังได้เข้าไปในสุสานเทพ จะต้องได้สิทธิ์แห่งเทพมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นรากวิญญาณหรือสิทธิ์แห่งเทพเพียงแค่แย่งเอามาทั้งหมด พวกเขาก็สามารถเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้แล้ว

ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านนับร้อยมุ่งหน้าไปยังลั่วซิงเฉิงทันที

ก่อนเรื่องนี้จะปรากฎขึ้น เกรงว่าคงไม่มีใครรู้ว่าโลกแห่งยุคกลางจะมีปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านมากมายขนาดนี้

ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านนับร้อยเคลื่อนไหวพร้อมกัน ผู้แข็งแกร่งระดับสีทองชั้นหกขั้นสูงสุดก็ได้แต่เก็บตัวเงียบ ทำตัวสงบเสงียม

ส่วนพวกเขาก็ล้วนแต่มุ่งหน้าไปยังลั่วซิงเฉิง…

จุดมุ่งหมายมีเพียงแค่หนึ่งเดียว นั่นก็คือมู่ชิงเกอ

“มู่ชิงเกอ ส่งรากวิญญาณออกมา!”

“เอารากวิญญาณออกมาพร้อมกับสิทธิ์แห่งเทพแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

“มู่ชิงเกอรีบเอารากวิญญาณกับสิทธิ์แห่งเทพมาให้ข้า แล้วข้าจะยอมทำตามความปรารถนาข้อหนึ่งของเจ้า”

“หากว่าเจ้าเอารากวิญญาณให้ข้า ข้าสามารถช่วยเจ้าต่อต้านตำหนักเทพได้”

“ข้าก็เช่นเดียวกัน!”

“ข้าก็เช่นเดียวกัน!”

“ไม่ผิด ไม่ผิด! เอารากวิญญาณมา ข้าจะช่วยเจ้าทำศึก หากว่าไม่เอาออกมา ข้าจะไปช่วยตำหนักเทพ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version