Skip to content

พลิกปฐพี 545

ตอนที่ 545

ประกาศศึก! รูปแบบต่างๆ

“อะไรนะ! ตายหมดงั้นหรือ!”

ภายในตำหนักเทพเมืองเทียนคง นักบวชเทวะโมโหมาก ดวงตาที่เคยดูเมตตาและศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยความอำมหิต

และสายตาเช่นนี้ก็ดูเหมาะกับตัวเขามาก ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันไม่เข้ากับภายนอกที่ดูศักดิ์สิทธิ์ของเขาเลย เหมือนภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้ของเขานั้นเป็นแค่การแสร้งทำเท่านั้น

ภายในตำหนักเทพมีกลุ่มคนกำลังคุกเข่าอยู่

เมื่อมองจากชุดของพวกเขาก็รู้ว่าเป็นคนของตำหนักเทพทั้งหมด

ภายใต้ความเกรี้ยวกราดของนักบวชเทวะ ไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังและก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา

ไกลออกไปมีเงาร่างเพรียวบางเดินเข้ามา เมื่อได้เห็นบรรยากาศของตำหนักเทพแล้ว หัวใจของนางก็เต้นแรง เข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเสา ไม่ได้เดินไปต่อ เดิมทีนางคิดจะรายงานความคืบหน้าหลังออกมาจากสุสานเทพให้อาจารย์ทราบ

แต่สถานการณ์ตรงหน้านั้นไม่เหมาะให้นางเดินออกไป ดังนั้นนางจึงรอเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง

“เสียข้าวสุก! เสียข้าวสุก! มีแต่พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!” นักบวชเทวะคำรามออกมา พลังบนร่างฟาดลงไปบนร่างของบรรดาคนที่คุกเข่าอยู่อย่างไม่ปรานี

คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นถูกพลังของเขากระแทกแต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา

ซีเซียนเสวี่ยหลบอยู่ในที่ลับ ปิดบังกลิ่นอายของตนเองอย่างระมัดระวัง นางไม่อยากถูกใครพบเห็น แต่ในใจกลับรู้สึกตกใจนัก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ อาจารย์ ของตนถึงได้โมโหขนาดนี้

“ครั้งแล้วครั้งเล่า! ข้าเชื่อพวกเจ้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ผลลัพธ์ละเป็นอย่างไร ตายหมดทุกครั้ง! ตอนนี้อยู่นอกเมืองเทียนคง อยู่บนปลายจมูกของพวกเรา ยอดฝีมือที่ส่งออกไปก็ยังเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้อีก มีใครในพวกเจ้าสามารถบอกข้าได้ไหมว่าเป็นเพราะเหตุใดกัน!” นักบวชเทวะสะบัดมือ เชิงเทียนข้างกายของเขา แตกออกเป็นชิ้นๆ แตกกระจายลงกับพื้น

เสียงดังนี้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสันสะท้าน พากันก้มหัวลงตํ่า พยายามลบการคงอยู่ของตนเองลง

ใบหน้าของนักบวชเทวะดำทะมึนอย่างน่ากลัว นัยน์ตาอันอำมหิตของเขากวาดตามองทุกคนบนพื้น แล้วตะคอกออกไปว่า “พูด! กับอีแค่มดปลวกตัวหนึ่ง เหตุใดถึงฆ่ามันไม่ได้!”

มดปลวก! ใช่แล้ว เป็นมดปลวก!

ในสายตาของพวกเขา ถึงมู่ชิงเกอจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นได้แค่มดปลวกตัวหนึ่ง ไม่มีทางจะต้านทานตำหนักเทพได้เลย

แต่มดปลวกตัวเดียวนี้กลับทำให้พวกเขาถูกต้อนจนจนมุม ต้องทนรับกับความอัปยศที่สุดในชีวิต ภารกิจที่เทพเบื้องบนสั่งลงมาตอนนี้มีความหวังที่จะสำเร็จ และหลังจากสำเร็จเขาก็จะสามารถร้องขอรางวัลได้ แต่หลายปีผ่านมานี้เขาส่งคนออกไปหลายกลุ่ม กลับไม่มีสักกลุ่มที่ทำสำเร็จกลับมา ที่สำคัญคือเขาสูญเสียคนไปมากกับเรื่องนี้

เขาเคยพบมู่ชิงเกอ ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้หญิงเพียงคนเดียวถึงทำให้เขาสูญเสียไพร่พลไปมากมายขนาดนี้ได้

“นักบวชเทวะคลายความโมโหด้วย!”

“นักบวชเทวะคลายความโมโหด้วย!”

“นักบวชเทวะคลายความโมโหด้วย!”

ผู้คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้นพูดพร้อมกัน

ที่พวกเขาใส่ใจไม่ใช่เรื่องที่มู่ชิงเกอฆ่ายาก แต่ใส่ใจว่าวันนี้พวกเขาจะสามารถรักษาชีวิตเล็กๆ ของตนเองเอาไว้ได้หรือไม่

“คลายความโมโหหรือ มีพวกเจ้าพวกไร้ประโยชน์อยู่ที่นี่ แล้วข้าจะคลายความโมโหได้อย่างไร” แต่นักบวชเทวะกลับไม่หายโมโหเพราะเรื่องนี้ แต่กลับยิ่งโมโหมากขึ้นกว่าเดิมพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าล้วนแต่ไร้ประโยชน์!”

เขาชี้ไปที่หนึ่งคนในนั้น เอ่ยถามว่า “เจ้า! ข้าให้เจ้าส่งคนไปหลินชวน แล้วจับคนในครอบครัวของนางมา ตอนนี้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร”

คนที่ถูกเรียกตัวสั่นขึ้นมา พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ราย…รายงานนักบวชเทวะ…นาง…ดูเหมือนนางจะคาดเดาได้ว่าตำหนักเทพจะทำเช่นนี้ ดังนั้นจึงจัดคนไป คุ้มครองครอบครัวและเพื่อนของนาง คนที่พวกเราส่งไปไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลยขอรับ”

“พวกไร้ประโยชน์! ถึงแม้นางจะรู้ว่าข้าจะทำเช่นนั้น แต่อาศัยฝีมือของพวกเจ้ายังไม่สามารถจับคนไม่กี่คนจากดินแดนกันดารอย่างหลินชวนมาได้อีกหรือไร” นัก บวชเทวะเอ่ยด้วยความโมโห

คนคนนั้นเงยหน้าอย่างสั่นสะท้าน นํ้าเสียงแฝงความหวาดกลัวเอ่ยว่า “แต่…แต่ว่า…คนที่เฝ้าคุ้มครองอยู่ข้างกายครอบครัวของนางนั้นร้ายกาจเกินไป หลังจากคนของพวกเราลงไป ขอบเขตก็ถูกกดอยู่ที่ระดับสีม่วงขั้นสูงสุด ไม่ใช่คู่มือของคนเหล่านั้นเลย คนที่พวกเราส่งลงไปนั้น…ตาย…ตายหมด…”

พูดแล้วเขาก็รีบก้มหน้าลงไม่กล้าเผชิญหน้ากับใบหน้าที่เกรี้ยวกราดจนบิดเบี้ยวของนักบวชเทวะ

“เจ้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก! สมควรตาย!” พูดแล้ว นักบวชเทวะก็ยกมือขึ้น ห้านิ้วคว้าที่กลางอากาศเล็งตรงไปที่คนคนนั้น คนคนนั้นถูกดูดขึ้นไปกลางอากาศ พยายามดิ้นรนจากสภาพที่เหมือนกับกำลังถูกบีบคออยู่

“นักบวชเทวะไว้ชีวิตด้วย! นักบวชเทวะไว้ชีวิตด้วย! ให้โอกาสข้าอีกสักครั้งเถอะ! นักบวชเทวะไว้ชีวิตด้วย!” คนคนนั้นพยายามขอร้อง

แต่นักบวชเทวะกลับมีสีหน้าเย็นชาไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

คนคนนั้นไม่ยอมแพ้รีบเอ่ยว่า “นักบวชเทวะ เห็นแก่ที่ข้าน้อยคอยรับใช้ท่านมานาน ถึงไม่มีความชอบแต่ก็มีความดีอยู่บ้าง ให้โอกาสข้าน้อยอีกสักครั้งเถอะ!”

บนใบหน้าที่ดูศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชเทวะเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง นํ้าเสียงของเขาไม่อบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์อีกแล้ว แต่กลับอำมหิตน่ากลัวเหมือนวิญญาณร้าย “โอกาสหรือ เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว”

เมื่อคนที่ถูกเขาบีบคออยู่กลางอากาศได้ยินประโยคนี้แล้วก็เบิกตากว้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่ยินยอม

ปัง!

นักบวชเทวะไม่ให้โอกาสเขาได้ร้องขออีกต่อไป

ร่างกายของเขาระเบิดออกกลางอากาศในห้องโถงใหญ่ เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วดุจดั่งฝนเลือดตกลงมาใส่ร่างกายของผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น กลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่วทั่งช่องว่าง สีตำหนักที่ดูศักดิ์สิทธิ์ดุจหยกขับส่งให้สีเลือดเหล่านั้นโดดเด่นมากขึ้น

ซีเซียนเสวี่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตกตะลึง นางเม้มปากแน่น ไม่อยากจะเชื่อสายตา

คนที่ถูกอาจารย์ของตนฆ่านั้นนางรู้จัก อีกทั้งยังทำงานอยู่ในตำหนักเทพตั้งแต่ครั้งนางยังเล็ก ตั้งใจทำงานและยังจงรักภักดีต่อตำหนักเทพมาก ทั้งยังดีต่อนาง ทุกๆ ครั้งที่พบเจอล้วนแต่ยิ้มแย้มแจ่มใสเคารพนบนอบต่อนาง

แต่คนคนนี้กลับถูกอาจารย์ของนางฆ่าอย่างไม่ลังเล

‘หลินชวนหรือ ไปจับคนที่หลินชวน ต้องการข่มขู่ใครกัน’ ในหัวของซีเซียนเสวี่ยปรากฎข้อมูลที่ได้ยินเมื่อครู่ขึ้นมาเรื่อยๆ หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนนางจะรู้เรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรรู้เข้าเสียแล้ว แต่นางกลับไม่ได้จากไปในทันที ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สองเท้าไม่ขยับ

“เห็นหรือยัง นี่ก็คือจุดจบของคนไร้ประโยชน์!” นักบวชเทวะฆ่าคนแล้วกลับไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด เขาก้มลงมองลูกน้องที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ร่างกายของพวกเขา เปื้อนเลือดแต่กลับไม่มีใครกล้าเช็ดรอยเลือดและเศษเนื้อออกจากใบหน้าและร่างกายเลย

“ตอนนี้พวกเจ้าบอกข้าได้หรือยัง นับตั้งแต่เจ้าคนที่ลงมือโดยพลการคิดจะสร้างผลงานลับหลังข้า แต่กลับต้องตายอยู่ในถํ้าจิ่วเฉวียนคนนั้น พวกเจ้าลงมือกับนางมากี่ครั้งแล้ว” นักบวชเทวะสบถ

สายตาของเขาคมกริบดุจตั้งมีดกวาดมองไปบนแผ่นหลังของทุกคน

ไม่มีใครกล้าต้านทานพลังชนิดนี้ ทำได้เพียงเอ่ยปากว่า “ถํ้าจิ่วเฉวียนหนึ่งครั้ง แม่นํ้ารั่วสองครั้ง ภายในสุสานเทพหนึ่งครั้ง เมืองเทียนคง…เมืองเทียนคงหนึ่งครั้ง…,

“ทั้งหมด…ทั้งหมดห้าครั้ง…,

ทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น มีแค่สองคนที่พอมีสถานะสูงส่งอยู่บางพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เสียงของพวกเขาเบาลงเรื่อยๆ แต่ซีเซียนเสวี่ยก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน นางรู้สึกกลัวมาก อะไรคือถํ้าจิ่วเฉวียนหนึ่งครั้ง แม่นํ้ารั่วสองครั้ง ในสุสานเทพหนึ่งครั้ง เมืองเทียนคงหนึ่งครั้ง…คำพูดเหล่านี้ทำให้ความคิดของนางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา

‘คนที่พวกเขาต้องการฆ่าคือชิงเกอ! คนที่พวกเขาต้องการจับตัวก็คือครอบครัวของชิงเกอ! ชิงเกอมาจากหลินชวน ไม่ใช่โลกแห่งยุคกลาง!’ เพียงพริบตาเดียว ซีเซียนเสวี่ยก็เข้าใจทุกอย่าง

แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ นางคิดไม่ถึงว่าในตอนที่พวกเขาเพิ่งออกจากสุสานเทพ มู่ชิงเกอก็ถูกไล่ฆ่าในเมืองเทียนคงแล้วครั้งหนึ่ง

‘ตอนนี้ชิงเกอเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วหรือยัง กลับไปลั่วซิงเฉิงหรือยัง’ ซี เซียนเสวี่ยเอ่ยถามตัวเองในใจอย่างรวดเร็ว

และในตอนนี้นางก็ได้ยินอาจารย์ของตนเองพูดขึ้นอีกครั้งว่า “พวกเจ้าก็รู้แล้วว่าห้าครั้ง แต่ทั้งห้าครั้งพวกเจ้าก็ยังทำไม่สำเร็จ! วันนี้อยู่บนปลายจมูกของตนเองแท้ๆ ก็ยังให้นางหนีไปได้อีก! พวกเจ้าว่าควรทำอย่างไร”

ควรทำอย่างไรหรือ

ทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

นักบวชเทวะก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับพวกเขา เขายิ้มเยาะ แววตาเจ้าแผนการชัดเจนขึ้นหลายส่วน “ในเมื่อนางไม่รู้จักการวางตัว เช่นนั้นก็ทำให้นางดูว่าหากล่วงเกินตำหนักเทพแล้วจะมีจุดจบเช่นไร ประกาศออกไปว่า เจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงมู่ชิงเกอมีที่มาไม่ชัดเจน ภายในสุสานเทพก็มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับผู้ฝึกวิถีมาร เกรงว่าจะมีแผนการที่ชั่วร้าย เพื่อความสงบสุขของโลกแห่งยุคกลาง ตำหนักเทพตัดสินใจที่จะโจมตีลั่วซิงเฉิง จับตัวมู่ชิงเกอ!”

ซีเซียนเสวี่ย เบิกตากว้างมองดูอาจารย์ตนเองอย่างไม่ เชื่อสายตา อาจารย์ในตอนนี้สำหรับนางแล้วดูแปลกหน้าเกินไป

คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ เงยหน้าขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว ๆ พูดอย่างระมัดระวังว่า “นัก…นักบวชเทวะ ความผิดเช่นนี้เกรงว่า…เกรงว่าจะยังไม่สม…”

ไม่สมจริงพอ

นักบวชเทวะหรี่ตาลง ยิ้มเย็นออกมา “ควรทำอย่างไร ยังต้องให้ข้าสอนพวกเจ้าอีกหรือ”

การเตือนนี้ของเขาทำให้ทุกคนที่คุกเข่าอยู่เข้าใจในทันที ใช่แล้วยังต้องให้พูดชัดเจนขึ้นอีกงั้นหรือ เรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่มีประสบการณ์มามากมายแล้วต่างหาก

“หากว่าครั้งนี้ยังผิดพลาดอีก พวกเจ้าก็หิ้วศีรษะมาพบข้า!” นักบวชเทวะสั่งอย่างโหดเหี้ยม

“ขอรับ!”

ซีเซียนเสวี่ยที่แอบได้ยินความจริงเหล่านี้ก็รู้สึกตกตะลึงมาก นางลอบถอยออกไป แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ในตอนที่นางจากไปนั้น ดูเหมือนสายตาของนักบวชเทวะจะหันมายังบริเวณที่นางซ่อนตัวอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง

คืนนั้นในเมืองเทียนคง มีผู้ฝึกวิถีมารลอบบุกเข้าตำหนักเทพ เหมือนมีแผนการชั่วร้าย แต่ถูกผู้คุ้มกันเทพพบเข้าจึงโดนฆ่าตายจนหมดสิ้น

คืนนั้นในเมืองเทียนคง มีร่องรอยของผู้ฝึกวิถีมารภายในหลายตระกูลแต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าตายจนหมด

คืนนั้น ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคเหนือและภาคตะวันตกล้วนแต่มีเงาร่างของผู้ฝึกวิถีมารปรากฎตัวปล้น ฆ่าแย่งชิง ก่อกรรมทำชั่ว ทำให้ผู้คนเกิดความโกรธแค้นยากที่จะสงบใจลงได้

ชั่วเวลานั้นก็มีผู้ฝึกวิถีมารปรากฎตัวขึ้นมากมาย ซึ่งปลายหอกความผิดก็เล็งไปที่ลั่วซิงเฉิง

ลมพายุก่อตัวขึ้นแล้ว

ในขณะที่ตำหนักเทพกำลังเคลื่อนไหวนั้น ในที่สุดมู่ชิงเกอไป๋สี่ และโห่วก็กลับไปถึงลั่วซิงเฉิง นางเพิ่งถึงจวนเจ้าเมืองก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศกำลังตึงเครียด ทั้งสีหน้าคนก็ยังดูเคร่งขรึม

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เลิกคิ้วเอ่ยถาม

“ชิงเกอ เจ้ากลับมาแล้ว เจ้ามาดูของเหล่านี้ นี่เป็นรายงานที่พวกเราเพิ่งรวบรวมมาจากทั้งห้าภาค ดูแล้วครั้งนี้ ตำหนักเทพคงจะเปลี่ยนแผน ไม่ลอบลงมืออีกแล้ว” หยินเฉินเอาข้อมูลที่เตรียมไว้ยื่นให้มู่ชิงเกอดู

มู่ชิงเกอรับมาแล้วก็ก้มลงอ่านอย่างรวดเร็ว

ทักษะการอ่านของนางดีมากทำให้อ่านได้อย่างรวดเร็ว

เพียงไม่กี่อึดใจ นางก็จดจำข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว นางคืนข้อมูลให้หยินเฉิน มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น นัยน์ตาสดใสกวาดมองมั่วหยาง โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เส วี่ยหยา เซวี่ยนหย่า ราชครู เซวี่ยนขุย มู่เฉิน มู่เผิงและลูกน้องคนอื่นๆ แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “ตำหนักเทพนั่งไม่ติดแล้ว พวกเจ้ากลัวหรือไม่”

“ไม่กลัว!” มั่วหยางตอบอย่างมั่นใจ

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยสบตากันยิ้ม พูดพร้อมกันว่า “มีคุณชายอยู่ พวกเราไม่กลัวเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าก็พูดพร้อมกันว่า “เราขอสาบานจะร่วมศึกกับนายน้อย!”

“นายน้อย เซวี่ยนขุยก็พร้อมเป็นแนวหน้า ตะลุยกับนายน้อยไปทั่วทุกทิศ!” เซวี่ยนขุยแสดงจุดยืนออกมา ด้านหลังของเขาแบกปืนไรเฟิล คนกับปืนคู่เคียงกันเพิ่มความดุดันขึ้นหลายส่วน

ทุกๆ คนล้วนแต่แสดงท่าทีของตนเอง ไม่มีใครลังเล ไม่มีใครฝืนตนเอง ไม่มีใครหวาดกลัว

แม้แต่ไป๋สี่และโห่วที่ตามนางมา รวมไปถึงหยินเฉินก็ใช้สายตาบอกนางว่าพวกเขาจะอยู่ข้างกายนางไม่จากไปไหน

ราชครูพูดเป็นคนสุดท้ายว่า “ข้าก็จะส่งสาส์นไปเกาะตูเล่อให้ส่งทหารเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางเพื่อช่วยนายน้อย”

“ข้าก็จะรีบส่งสาส์น!” เซวี่ยนหย่าพูดในทันที

มู่ชิงเกอพยักหน้า หรี่ดวงตาลงพึมพำว่า “ถึงเวลาแล้ว ที่เผ่าอี๋ทั้งสองแห่งจะรวมตัวกัน ศึกครั้งนี้ก็ถือเป็นการฝึกต่อสู้ร่วมกันของทุกคน หากว่าผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องหวังจะกลับไปล้างแค้นที่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร”

มีศึกก็ต้องต่อสู้

นางไม่รู้ว่าศึกในครั้งนี้จะใช้เวลาไปมากแค่ไหน บางที่อาจจะเร็ว หรืออาจจะหลายปี หรือนานกว่านั้น นี่เป็นโอกาสร่วมรบที่ดีครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอี๋ที่ทะเลแห่งทุกข์หรือทะเลทรายท่องวิญญาณล้วนแต่ห่างเหินกันมานานเกินไปแล้ว

ต้องการโอกาสที่จะเข้าใจซึ่งกันและกันอีกครั้ง

โอกาสตรงหน้านั้นเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว

“หยินเฉิน มั่วหยาง” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นยะเยือก เอ่ยกับคนทั้งสองคน

หยินเฉินและมั่วหยางก้าวเข้ามาฟังคำสั่งของนางในทันที

“ประกาศข่าวออกไปทั้งห้าภาค บอกว่า…,” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วถึงได้ยิ้มเยาะพูดว่า “ตำหนักเทพขาดความชอบธรรม กระทำการชั่วช้าแต่ปกปิดความเลวร้ายของ ตนเอง มองประชาชนทั้งใต้หล้าเป็นสุนัข เห็นแก่ตัวหาเรื่องทำสงคราม ลั่วซิงเฉิงของข้าเองก็ไม่เคยเกรงกลัว! นับตั้งแต่นี้ไปลั่วซิงเฉิงของข้าและตัวข้ามู่ชิงเกอกับ ตำหนักเทพเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เปิดศึกอย่างเป็นทางการ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version