Skip to content

พลิกปฐพี 544

ตอนที่ 544

จะรบก็รบ! พายุกำลังก่อตัว

“ใครกล้าทำร้ายนาง!” มีเสียงตะคอกดังออกมาจากที่ไกลๆ เสียงนี้เหมือนกับเสียงฟ้าผ่าลงกลางอากาศ สั่นสะเทือนจนหูชา จุดตันเถียนปั่นป่วนไปหมดจนเกือบจะควบคุมพลังจิตในร่างกายไว้ไม่ได้

จากนั้นเงาร่างของคนสองคนก็มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว พวกเขาบุกเข้ามาในการปิดล้อมที่แน่นหนาเช่นนี้ได้อย่างไร

ความเร็วระดับนี้ทำให้คนตะลึงจนอ้าปากค้าง

“พวกเจ้าเป็นใครกัน! อย่าได้ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง!” ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านคนหนึ่งตะคอกออกมา ดูเหมือนเขาคิดจะใช้คำพูดเช่นนี้ขวางไม่ให้ทั้งสองคนที่ โผล่ออกมาสอดมือเข้ายุ่ง

แต่เมื่อคำพูดของเขาจบลง โห่วก็เผยรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมา เพิ่มความน่ากลัวจากรอยสักส่วนริมฝีปากของเขาให้มากขึ้นไปอีก เขาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เด็กน้อย ฆ่า ไหม”

คนที่มาแน่นอนว่าเป็นไป๋สี่และโห่วที่มารอรับมู่ชิงเกอ

ตอนนี้ไป๋สี่คุ้มครองอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสังหารและความเย็นชา

ส่วนโห่วกลับยืนอยู่ด้านหน้าของทั้งสองคน บังตัวมู่ชิงเกอเอาไว้จนมิด นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความดูแคลน ถึงแม้คำพูดจะถามความเห็นของมู่ชิงเกอ แต่ไอสังหารภายในร่างกายกลับโหมกระหนํ่ามานานแล้ว

มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านหลังของโห่ว เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว มุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นบางๆ

นางค่อยๆ เอ่ยว่า “จะฆ่าก็ฆ่าเถอะ” น้ำเสียงที่ดูไม่ใส่ใจนี้เหมือนพูดคุยเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป

“ชิ รุ่นเยาวไม่รู้ความ จองหองพองขน!” เพียงแค่นางพูดออกไป ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านคนหนึ่งก็หัวเราะเยาะออกมา เขาโมโหความสุขุมของมู่ชิงเกอ แค้นนางที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินตํ่า ทั้งยังดูแคลนกับความจองหองพองขนของนาง

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ของเขาพบเจอคนมามากมาย พบเจอรุ่นเยาว์หยิ่งผยองมาก็ไม่น้อยแต่เหตุใดเขาถึงถูกมู่ชิงเกอทำให้โมโหได้ ราวกับคำพูดของนางไม่ได้พูดแต่ปากแต่เป็นเรื่องจริง

มู่ชิงเกอเดินออกมาจากด้านหลังของโห่ว ส่ายหน้ายิ้มบางๆ

การถูกคนนับร้อยโอบล้อมไม่ได้ทำให้นางเกรงกลัวเลยสักนิด ยิ่งไม่ได้ทำให้นางรู้สึกร้อนรน นัยน์ตาอันสดใสของนางมองตรงไปที่ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คน รอบๆ นางแล้วค่อยๆ พูดว่า “จองหองพองขนงั้นหรือ ไม่ไม่ใช่ข้าที่จองหองพองขนแต่เป็นพวกเจ้าที่โง่เขลาเกินไปต่างหาก”

“เจ้าพูดอะไร”

“เจ้าพูดอีกครั้งสิ”

“ชิ! ปากกล้านัก”

“เจ้ารนหาที่ตาย”

ทั้งสี่คนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

พวกเขาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอเลย

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเฉยชา นางหมดความอดทนที่จะเล่นกับพวกเขาต่อแล้วนางเอ่ยกับไป๋สี่และโห่วว่า “ฆ่าเถอะ ลงมือให้หมดจดหน่อย”

เมื่อสองคนที่แทบทนไม่ไหวแล้วได้ยินประโยคนี้ของนางก็ลงมือทันที

แต่ที่พวกเขาพุ่งไปหานั้นไม่ใช่ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คนแต่เป็นนักฆ่าระดับสีทองกลุ่มนั้น สถานการณ์อลวนขึ้นชั่วขณะ

“น่าหัวเราะ เจ้าคิดว่าพวกเจ้าเพียงสามคนจะสามารถต้านทานพวกเราคนเยอะขนาดนี้ได้งั้นหรือ’’หนึ่งคนในนั้นพูดออกมา

แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย ตอบกลับด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายว่า “ใครว่าพวกเรามีแค่สามคนเล่า”

พูดแล้วนางก็ยกมือขึ้นโบก หุ่นเทพมารสองร่างปรากฎตัวที่ข้างซ้ายและขวาของนาง

หุ่นเทพมารสองร่างมีระดับพลังเหนือกว่าทุกคนในโลกแห่งยุคกลาง เพียงแค่พวกเขาปรากฎตัว พลังกดดันก็พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุดในพริบตา ทำให้ในใจของทั้งสี่คนเกิดความหวาดกลัวขึ้นในทันใด

“พวกเขาคือ…”

พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าเสียงของตนเองนั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ออกคำสั่งเสียงเข้ม “ฆ่าพวกเขาสี่คนซะ”

เมื่อหุ่นเทพมารสองร่างได้ยินคำสั่งของนางก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เย็นชาทั้งสองคู่ถูกแทนที่ด้วยไอสังหาร จากนั้นทั้งสองร่างก็แบ่งกันพุ่งเข้าไปหาคนทั้งสี่คนอย่างไม่ลังเล หนึ่งต่อสองมากเกินพอ ส่วนมู่ชิงเกอในตอนนี้ก็เอาทวนหลิงหลงออกมาแล้วเข้าร่วมการต่อสู้

ที่นางยิ้มเยาะว่าทั้งสี่คนโง่เขลาเมื่อครู่นั้นไม่ได้เป็นคำพูดโกหกแต่เป็นความจริง เพราะต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับข้ามผ่านนั้น ระดับสีทองเยอะแค่ไหนก็ไม่จำเป็น ตองกลัว

พวกเขาสี่คนนำคนระดับสีทองเยอะขนาดนี้มาโอบล้อมนางก็เพื่อเอาจำนวนมากมาขู่นางงั้นหรือ เพื่อให้ดูแข็งแกร่งขึ้นหน่อยงั้นหรือ

มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันในใจ

เกรงว่าคนของตำหนักเทพคงยังไม่รู้ว่านางทะลวงขอบเขตจากระดับสีทองเป็นระดับข้ามผ่านตั้งแต่ในสุสานเทพแล้ว อีกทั้งยังผ่านเคราะห์อัสนีมาครั้งหนึ่งอีกด้วย มิเช่นนั้นจะอธิบายความตกตะลึงของพวกเขาหลังจากที่พบตราประทับดอกบัวบนหว่างคิ้วของตนเองได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ามีปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คนพาคนระดับสีทองนับร้อยมาโอบล้อมนางเป็นเรื่องที่ต้อง สำเร็จ แต่เมื่อหนึ่งก้าวผิดก้าวต่อไปก็ต้องผิด

ระดับสีทองที่แข็งแกร่งเมื่ออยู่ภายนอก เมื่อเผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอ ไป๋สี่และโห่วสามคนแล้วกลับอ่อนแอเปราะบางราวกับกระเบื้องเคลือบ

นักฆ่าล้มลงไปทีละคนทำให้ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คนตกตะลึงแต่ก็รู้สึกขมขื่นใจ พวกเขาเองก็เอาตัวไม่รอด ไม่มีปัญญาช่วยอะไรได้

ทวนหลิงหลงของมู่ชิงเกอแทงทะลุเกราะป้องกันของนักฆ่าสองคนแล้วแทงทะลุหัวใจของพวกเขา ปลิดชีวิตของพวกเขาในพริบตา

ฝั่งทางด้านโห่วนั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่า แทบจะไม่เหลือร่างไหนที่สมบูรณ์เลย ส่วนไป๋สี่นั้นฆ่าอย่างมีศิลปะมากที่สุด ไม่เห็นเลือดแม้แต่หยดเดียว แต่กลับไม่มีกระดูกท่อนไหนใต้ผิวหนังที่สมบูรณ์เลย

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เกรงว่าก่อนตายพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าภารกิจที่ดูสำเร็จได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เหตุใดถึงกลับเป็นแพ้พ่ายอย่างยับเยินได้

แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว นางรู้ว่าจะมีการต่อสู้ในครั้งนี้ และคิดถึงผลลัพธ์ของการศึกเอาไว้แล้ว

ถึงแม้ไป๋สี่และโห่วจะไล่ตามมาไม่ทัน อย่างมากนางก็แค่ลำบากขึ้นหน่อยเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม

“ที่นี่เป็นด้านนอกเมืองเทียนคง ห่างจากตำหนักเทพไม่มาก พวกเราต้องเร่งความเร็วหน่อย” มู่ชิงเกอพูดกับโห่วและไป๋สี่

หากว่าความเคลื่อนไหวนี้ถูกส่งไปที่ตำหนักเทพ เกรงว่าพวกเขาอาจจะส่งคนมาสนับสนุนอีก เพิ่มความลำบากให้นาง

ไป๋สี่และโห่วเข้าใจจึงเร่งความเร็วขึ้น ส่วนการต่อสู้อีกด้านหนึ่ง ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านคนนั้นถูกกดเอาไว้อย่างแน่นหนาไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้

“อ๊าก!” คนหนึ่งถูกหุ่นเทพที่ใช้พลังเทพหลอมเป็นลูกศรคมแทงทะลุอกจนตาย

เมื่อเห็นเพื่อนตายและลูกน้องที่พามากลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบไปทีละคน ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านคนหนึ่งก็คิดจะระเบิดตัวเองเพื่อแก้สถานการณ์

แต่เขาเพิ่งจะเคลื่อนไหว หุ่นมารก็สัมผัสได้

หุ่นมารพุ่งตัวมาถึงตรงหน้าของเขาในพริบตา ทำให้เขาตกใจจนต้องกลั้นลมหายใจ ดวงตาเบิกกว้าง พริบตาเดียวหุ่นมารก็ยื่นฝ่ามือทั้งสองออกมาบีบเขาจนระเบิด ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านนั้นเป็นเหมือนของเล่นในมือของหุ่นมาร ถูกทำลายลงไปในพริบตา

ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คนเหลือเพียงสองคนในพริบตา

สองคนนี้เห็นเพื่อนตายอย่างสยดสยอง ส่วนฝ่ายมู่ชิงเกอกลับไม่มีใครบาดเจ็บเลยก็รู้สึกตกตะลึงในใจ พวกเขาสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็แยกกันหนี

แต่ทั้งสองคนเพิ่งจะหนีหุ่นเทพมารก็แยกกันออกไล่ตามไปติดๆ

พวกมู่ชิงเกอสามคนร่วมมือกันฆ่าล้างอย่างสาแก่ใจ จนทำให้เหล่านักฆ่าไม่มีโอกาสจะระเบิดตัวเองเลย

บึ้ม บึ้ม!

เสียงระเบิดสองเสียงดังขึ้นมาจากสองทิศทาง เสียงนี้ทะลุชั้นเมฆดังไปยังเมืองเทียนคง

หัวใจของเมืองเทียนคง ภายในตำหนักเทพ นักบวชเทวะกำลังนั่งสมาธิรอข่าวจากคนที่เขาส่งออกไป

เสียงระเบิดสองเสียงดังมากจากที่ไกลๆ ลอยเข้ามาในหูของเขา ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้น

“เอ” เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็นและคาดคะเน “ใครก็ได้”

มีผู้คุ้มกันเทพรีบเข้ามาตามคำเรียก

“ส่งคนออกไปสืบสิว่าเกิดอะไรขึ้น” นักบวชเทวะสั่ง

ส่งเสียงอึกทึกขนาดนี้เกรงว่าคนที่เขาส่งออกไปคงลงมือแล้ว แต่ก็คงทำให้บรรดาตระกูลต่างๆ ในเมืองเทียนคงตกใจไม่น้อย ในฐานะตำหนักเทพก็ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง

“ขอรับ” ผู้คุ้มกันเทพรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

นอกเมืองเทียนคงทางด้านทิศตะวันตก หลังจากเกิดเสียงดังขึ้นแล้ว พวกมู่ชิงเกอสามคนก็ฆ่านักฆ่าระดับสีทองที่เหลือจนหมด

หุ่นเทพมารกลับมาอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว นางสะบัดมือเก็บพวกเขาเข้าไปในช่องว่าง

เพิ่งจัดการเสร็จพวกเขาก็รับรู้ถึงกลิ่นอายอันน่ากลัวหลายสายกำลังพุ่งจากเมืองเทียนคงเข้ามาใกล้ทางนี เรื่อยๆ

มู่ชิงเกอมองไปทางเมืองเทียนคง แล้วพูดกับไป๋สี่และโห่วว่า “การต่อสู้ที่นี่ดึงดูดความสนใจของเมืองเทียนคงแล้ว พวกเราไม่อาจให้ตำหนักเทพฉวยโอกาสหาข้ออ้างมาจัดการเราได้ พวกเราหลบไปก่อนเถอะ”

พูดแล้วนางก็ปล่อยเสี่ยวไฉ่ออกมากลางอากาศ เสี่ยวไฉ่ขยายตัวใหญ่ขึ้น มู่ชิงเกอ ไป๋สี่และโห่วกระโดดขึ้นไปบนหลังของมัน เสี่ยวไฉ่กระพือปีกพุ่งตัวเข้าไปในก้อนเมฆบินออกไปในทันที

เส้นทางกลับไปลั่วซิงเฉิงที่เร็วที่สุดก็คือใช้ประตูมิติในเมืองเทียนคงจากไป แต่นางกล้าพนันได้เลยว่าภายในเมืองเทียนคงในตอนนี้คงจะเต็มไปด้วยสายตาจับจ้องมองอยู่ เพียงแค่นางปรากฎตัวคงจะถูกตำหนักเทพพบตัวเข้าในทันที

ดังนั้นการจะจากไปก็ต้องไปใช้ประตูมิติที่เมืองอื่น

มู่ชิงเกอยืนอยู่บนหลังของเสี่ยวไฉ่ นางไพล่หลังยืนตรงปะทะเข้ากับสายลม ให้มันพัดหมอกมืดในใจออกไป ระหว่างนางกับตำหนักเทพดูแล้วคงต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

“ชิงเกอ ต่อไปเจ้าจะลงมือครั้งใหญ่แล้วใช่หรือไม่” ไป๋สี่เอ่ยถามอย่างขี้เล่น

นางติดตามมู่ชิงเกอมาหลายปี ตั้งแต่จากหลินชวนมา มองเห็นนางค่อยๆ พัฒนาขึ้นสู่จุดสูงสุดทีละก้าวๆ

ในสายตาของนางนั้น มู่ชิงเกอทำได้ทุกอย่าง ไม่มีใครทำให้นางล้มลงได้ การโจมตีตำหนักเทพจะไม่ใช่การละเล่นได้อย่างไร

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นยิ้มเล็กน้อย ดวงตาหรี่เล็กลง “เมื่อถึงคราวสู้ก็ต้องสู้ ตำหนักเทพแตะขีดจำกัดของข้ามาหลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องของสุสานเทพนั้นสำคัญถึงได้ไม่สนใจพวกเขา แต่ตอนนี้ข้าจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่อยู่ในโลกแห่งยุคกลางต่อสู้กับฐานกำลังที่ไม่รู้ว่าอยู่มาแล้วกี่ปีนี้สักครั้ง คลื่นลมน่ะ เมื่อถึงเวลามันก็จะพัดขึ้นมาเอง!”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ!” โห่วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เขามองมู่ชิงเกอพูดชื่นชมว่า “เด็กน้อย ข้าชอบนิสัยนี้ของเจ้า ต่อสู้ก็ต่อสู้ เพียงแค่สุนัขของพวกเผ่าเทพเท่านั้น กลุ่มทาสที่ยอมคุกเข่าเอาชีวิตรอดไปวันๆ ยังกล้าทำตัวโอหังอีกหรือ หลายปีมานี้ข้าก็รอจนเบื่อ ถึงเวลาที่จะเอาตำหนักเทพมาฆ่าเวลาแล้ว”

คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา

“วี๊ด!” เสี่ยวไฉ่กู่ร้องออกมาพาทั้งสามคนออกจากเมืองเทียนคง

พวกเขาจากไปได้ไม่นาน บรรดาผู้แข็งแกร่งในเมืองเทียนคงก็มาถึง ในตอนที่พวกเขามองเห็นทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยรอยเลือดและซากศพเต็มพื้นนั้นก็พากันตกตะลึง

คนหนึ่งในนั้นถอนหายใจยาวออกมาพูดว่า “โลกแห่งยุคกลางบังเกิดคลื่นลมขึ้นแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version