Skip to content

พลิกปฐพี 543

ตอนที่ 543

ต้านรับ ฉีกหน้า!

หลังจากมู่ชิงเกอถูกส่งออกจากสุสานเทพแล้วลืมตาขึ้น ก็พบว่าตนเองถูกส่งตัวมาด้านนอกเมืองเทียนคงแล้ว

เมืองเทียนคงเหมือนกับก้อนหินขนาดมหึมาที่ลอยตัวอยู่เหนือเมฆ นอกเมืองดูกว้างใหญ่ไพศาลในความเป็นจริง หากเดินไปถึงขอบกลับเป็นหุบเหวลึก หากตกลงไปร่างกายก็จะแหลกเป็นชิ้นๆ

รอบกายของนางไม่มีคนอื่น

นางยืนอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ใต้เท้ามีสายลมพัดผ่าน มองเห็นเมืองเทียนคงที่อยู่ไกลออกไปได้โดยไม่มีอะไรบดบังสายตา

มู่ชิงเกอปัดชุดของตนเองที่มีเศษหญ้าติดแล้วเงยหน้า มองรอบด้าน

ไม่มีเงาคนแม้แต่คนเดียว

‘ชิงเกอ เจ้าอยู่ที่ไหน’ ทันใดนั้นภายในหัวมีเสียงของไป๋สี่ดังขึ้นมา

พวกนางได้ทำพันธสัญญาเอาไว้นานแล้ว มีสถานะเป็นเจ้านายและบ่าว ขอเพียงแค่ห่างกันไม่ไกลก็จะสามารถใช้จิตวิญญาณติดต่อสื่อสารกันได้

‘ไป๋สี่’ มู่ชิงเกอตอบกลับไปทันที

ก่อนที่นางจะเข้าไปในสุสานเทพ ได้สั่งพวกกู่หยาไว้ให้ส่งไป๋สี่และโห่วที่อยู่ในลั่วซิงเฉิงมารับนาง คิดว่าคงจะมาถึงกันแล้ว

นางอยู่ไหนหรือ

มู่ชิงเกอมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยตอบไปว่า “ข้าออกมาจากสุสานเทพแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่นอกเมืองเทียนคง”

ตอนนี้พระอาทิตย์สีแดงกำลังค่อยๆ ตกลง แสงสาดส่องลงบนตัวของนางจนเหมือนมีชั้นสีส้มเคลือบตัวอยู่ นางเงยหน้ามองออกไปก็พบกับพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าพอดี

‘ข้าอยู่ทิศตะวันตก’ มู่ชิงเกอบอกตำแหน่งที่แน่ชัด

‘ดี เจ้ารอพวกข้า อีกไม่นานพวกข้าก็จะไปถึงแล้ว’ ไป๋สี่เอ่ยในทันที

หลังจากจบการสนทนาแล้ว มู่ชิงเกอก็เอามือไพล่หลัง ชื่นชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน การเดินทางไปสุสานเทพจบลงอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเหนือความคาดหมายจริงๆ แต่เป้าหมายของนางก็ถือว่าบรรลุแล้ว เพียงแต่…

‘เหตุใดจึงไม่พบสิทธิ์แห่งเทพของบรรพบุรุษของตระกูลมู่ในสุสานเทพ เป็นเพราะหาไม่เจอหรือว่าไม่มีกันแน่’ มู่ชิงเกอเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ความสงสัยนี้อยู่ได้ไม่นาน นางก็เลิกคิด นางกำลังคิดว่าสุดท้ายแล้วผู้เฒ่าเหนือมังกรหาสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีพบหรือไม่ และพวกหวงฝู่ฮ่วนกลับไปถึงสุสานมารอย่างปลอดภัยหรือไม่และหาจิตมารที่เหมาะสมพบหรือยัง

นางพลัดหลงกับพวกจีเหยาฮั่ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน

หญ้าเขียวขจีใต้เท้าปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นสูงเสมอเข่า เพียงมีลมพัดมาใบหญ้าก็ปลิวลู่ลมเป็นชั้นๆ เหมือนกับคลื่นในทะเลที่ไม่หยุดนิ่ง

พระอาทิตย์ตกสาดแสงสีทองออกมาปกคลุมทุกอย่างที่

นี่ให้เกิดชั้นสีทองขึ้นมาแลดูงดงามมาก

อารมณ์ของมู่ชิงเกอสงบนิ่งลงเรื่อยๆ ตามพื้นหญ้าที่ลู่ลม

ทันใดนั้นเหมือนนางได้เข้าสู่สภาวะจิตว่างที่สามารถสัมผัสได้ถึงสายลมและใบหญ้าที่พลิ้วไหว พระอาทิตย์ตกดินบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่เป็นไปตามกลไกของ มัน…

ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดมาก ทำให้นางลืมตัวตน กลายเป็นเมฆก้อนหนึ่ง กลายเป็นสายลม กลายเป็นใบหญ้า ทั้งยังเหมือนเป็นแสงพระอาทิตย์รวมเป็น หนึ่งเดียวกับบรรยากาศรอบกาย

นางดำดิ่งเข้าไปอารมณ์ที่แปลกประหลาด ลองทำความเข้าวิถีแห่งการเจริญเติบโต วิถีแห่งการเคลื่อนไหว วิถีแห่งการเริ่มต้นของสรรพสิ่ง

ทันใดนั้นสิ่งแปลกปลอมก็ทำลายความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้ลง

เดิมทีหว่างคิ้วของมู่ชิงเกอกำลังผ่อนคลาย มุมปากโค้งเล็กน้อย พาตนเองดำดิ่งลงไปในนั้น แต่เมื่อมีพลังที่ไม่เข้าพวกบุกเข้ามาอย่างกะทันหันก็ทำให้นางขมวดคิ้วขึ้น รอยยิ้มที่มุมปากจางลงไป ใบหน้าที่งดงามค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

ดวงตาที่สดใสค่อยๆ ถอยออกจากสภาวะจิตว่างและถูกความเย็นยะเยือกเข้าครอบงำ

ริมฝีปากสีแดงของนางเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”

เสียงของนางลอยออกไปยังที่ไกลๆ ดุจดั่งคลื่น

หลังจากเสียงของนางหลุดออกไปก็มีเงาร่างหลายสายกระโดดขึ้นมาจากจุดไกลสุดของทุ่งหญ้า

พวกเขาสวมชุดดำ ผ้าคลุมสีดำพลิ้วไปกับสายลม หน้ากากอินทรีปกปิดครึ่งหน้าทำให้ดูค่อนข้างดุดัน พวกเขาถือดาบยาวในมือชี้ขึ้นฟ้า ดาบที่เฉียบคมเปล่งประกายเยียบเย็น แม้จะมีแสงอาทิตย์ตกสาดส่องก็ไม่อาจขจัดความหนาวเย็นไปได้

คนเหล่านี้มีถึงสามสี่ร้อยคน รอบกายของพวกเขาเปล่งประกายสีทองบริสุทธิ์ ทุกคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับสีทอง พวกเขากระจายตัวกันโอบล้อมนางเอาไว้ ปิดกั้นทางหนีของนาง

ส่วนด้านหลังของคนสามสี่ร้อยคนนี้ ทั้งสี่ทิศยังมีคนยืนอยู่ทิศละคน คนสี่คนนี้ยืนนิ่งดุจขุนเขา กลิ่นอายแข็งแกร่งจนเมื่อเทียบกับกลิ่นอายของคนระดับสีทองนับร้อยคนแล้วก็ยังทำให้คนต้องระมัดระวังตัวมากกว่า

ใบหน้าของพวกเขามีหน้ากากปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หน้ากากนั้นไม่เหมือนกับพวกก่อนหน้านี้ บนนั้นวาดลวดลายที่ดูลึกลับงดงามเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความ ละเอียดกว่ามาก

‘ผู้แข็งแกร่งระดับข้ามผ่าน’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็น ตราประทับดอกบัวบนหว่างคิ้วของนางเปล่งประกายงดงามออกมา ทำให้หน้าผากของนางมี เสน่ห์ดึงดูดเพิ่มเข้ามา ระดับสีทองสามสี่ร้อยคนและปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่ คนมาลงมือกดดันเองเลย

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ ‘ตำหนักเทพตามตอแยไม่เลิกทั้ง ยังลงมือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย’

คนสามสี่ร้อยคนโอบล้อมมู่ชิงเกอในพริบตา อยู่ห่างจากนางเพียงแค่ยี่สิบกว่าจั้งเท่านั้น

กลุ่มคนหนาแน่นปิดบังสายตาของนาง แต่นางก็รู้สึกได้ว่าปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คนนั้นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

เงาร่างสี่สายปรากฎตัว แบ่งออกยืนโอบล้อมด้านในทั้งสี่ทิศ เผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอ

“มู่ชิงเกอ ส่งหม้อผลาญสวรรค์ออกมาแล้วเจ้าอาจจะมีโอกาสรอด” หนึ่งในปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านพูดเข้าประเด็นในทันทีที่เอ่ยปาก

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ พูดเย้ยว่า “ตำหนักเทพช่างหน้าไม่อายจริงๆ”

เดิมทีนางก็ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากออกจากสุสานเทพก็จะไปคิดบัญชีกับตำหนักเทพที่ตามไล่ล่านางไม่หยุดหย่อน แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาหาถึงที่เอง นางจะเกรงใจอีกทำไม

“รากวิญญาณห้าชนิด!” ทันใดนั้นก็มีเสียงสายหนึ่งดังมาจากด้านขวามือของนาง

ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่ยืนอยู่ด้านขวามือของนาง สังเกตเห็นตราประทับดอกบัวบนหว่างคิ้วของมู่ชิงเกอแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป

การเอ่ยขึ้นโดยไม่ตั้งใจนี้ของเขาทำให้ทุกๆ คนสังเกตเห็นตราประทับดอกบัวที่งดงามบนหว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ

รากวิญญาณทั้งห้าชนิดที่ผสานตัวกันอย่างสมบูรณ์ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงนัก

บนโลกนี้กลับมีคนที่ครอบครองรากวิญญาณห้าชนิดอยู่ด้วย อีกทั้งรากวิญญาณทั้งห้าชนิดก็ผสานตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้อีก

พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!

ความโลภและความปรารถนาเผยออกมาจากนัยน์ตาด้านหลังหน้ากากหลายคู่

“ฮ่าๆๆๆๆๆ! สวรรค์ส่งเสริมข้าจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าการมาทำภารกิจในครั้งนี้จะได้กำไรอย่างเหนือความคาดหมาย รากวิญญาณห้าชนิดนี้ ข้าไม่หวังมากขอเพียงชนิดเดียวก็พอ!” ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านด้านซ้ายมือของมู่ชิงเกออ้าปากหัวเราะออกมา

เขาเอ่ยความต้องการของตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา

ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว รากวิญญาณห้าชนิดนี้ข้าก็ต้องการชนิดหนึ่ง”

“พวกเจ้าสองคนล้วนแต่ต้องการแล้วข้าจะไม่เอาได้อย่างไร” ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านที่สังเกตเห็นรากวิญญาณทั้งห้าชนิดของนางก่อนใครก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วเอ่ยขึ้นมา

แต่ในระหว่างที่พูดคุยกัน คนเหล่านี้ก็ได้แบ่งรากวิญญาณของมู่ชิงเกอกันเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ มองพวกเขาพูดคุยกันด้วยความดูแคลน ในใจก็กำลังพูดคุยกับไป๋สี่ว่าพวกนางถึงไหนแล้ว

เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว มุมปากของมู่ชิงเกอก็โค้งยิ้มแล้วเอ่ยกับสี่คนนี้ว่า “หุบปากเถอะ หม้อผลาญสวรรค์นั้นข้าไม่เอาให้หรอก ส่วนรากวิญญาณของข้า พวกเจ้าก็ไม่มีวาสนาจะได้ใช้”

คำพูดของนางทำให้ท่าทีของทั้งสี่เปลี่ยนไปในพริบตา และหยุดเสียงหัวเราะลง

ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องมองนางอย่างอำมหิต

“ชิ ปากกล้านัก” หนึ่งคนในนั้นพูดออกมา

“อายุยังน้อยแต่กลับจองหองพองขน โอหังเช่นนี้สุดท้ายแล้วจะพบหายนะแน่” มีอีกคนเยาะเย้ยขึ้นมา

“ไม่รู้จักรับความเมตตา รนหาที่ตาย!” อีกคนหนึ่งเยาะเย้ยออกมา

“เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งก็คิดจะพลิกฟ้างั้นหรือ น่าตลกนัก!”

ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านสี่คนผลัดกันพูดเยาะเย้ยมู่ชิงเกอเหมือนกับนัดแนะกันมาดีแล้ว หากว่าคำพูดเป็นดาบคม เกรงว่าพวกเขาคงอยากจะใช้คำพูดเหล่านี้แทงร่าง ของมู่ชิงเกอให้เป็นรูไปแล้ว

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยังคงรักษาความสงบนิ่ง ภายใต้คำพูดพวกเขาที่ใช้โจมตีนาง

นางค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เดิมข้าคิดว่าตำหนักเทพนั้นเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกแห่งยุคกลางเสียอีก สุดท้ายถึงพบว่าตำหนักเทพนั้นเป็นสถานที่ที่สกปรกที่สุดในโลกแห่งยุคกลางต่างหาก ด้านในนั้นเพาะเลี้ยงพวกหนูที่โลภเห็นแก่ตัว ชั่วช้าและสกปรกเอาไว้ ทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามใต้เงามืดของแสงอาทิตย์ ตำหนักเทพเช่นนั้นไม่คู่ควรแก่การเคารพ! ไม่คู่ควรนับถือ! ไม่คู่ควรให้ยอมสยบ!”

ความไม่คู่ควรสามประการนั้นนางพูดออกมาอย่างหนักแน่นและทรงพลังมาก

ชั่วขณะนั้นรูปร่างขอมู่ชิงเกอก็ดูสูงใหญ่ขึ้นมา นางยืดตัวตรงผงาดสู่ฟ้า ไม่ใส่ใจขอบเขตคิดอยากจะพุ่งออกจากใต้หล้านี้

คนระดับสีทองสามสี่ร้อยคนรู้สึกหวาดกลัวกลิ่นอายของนาง จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ปีศาจเฒ่าทั้งสี่คนก็สบตากันแวบหนึ่ง แล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน ใช้พลังของตนเองข่มกลิ่นอายอันเป็นธรรมชาติของมู่ชิงเกอลง

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับแล้วมองไปยังพวกเขาทั้งสี่คน จากนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา

“เจ้าไม่มอบออกมาแน่ใช่ไหม!” หนึ่งคนในนั้นตะคอกออกมา

“ไม่!” มู่ชิงเกอปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

“ชิ หากว่าเป็นเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าพวกเรารังแกเจ้าก็แล้วกัน” ปีศาจเฒ่าคนนั้นสะบัดมือ ดูเหมือนจะสั่งให้นักฆ่าระดับสีทองรุมโจมตี

“รอเดี๋ยว” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พูดขึ้นมา

คนนับร้อยที่กำลังจะเคลื่อนไหวถูกหยุดเอาไว้ หนึ่งในปีศาจเฒ่ายิ้มเยาะ “อย่างไร รู้จักกลัวแล้วงั้นหรือ”

แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มบางๆ อย่างมีเลศนัย “ในเมื่อฉีกหน้ากันไปแล้ว พวกเจ้าก็ควรบอกชื่อเสียงเรียงนามของพวกเจ้าได้แล้วกระมัง หรือว่าภายในตำหนักเทพนั้น

พวกเจ้าไม่มีแม้แต่ชื่อ”

“อย่าได้ท้าทายพวกข้า!” หนึ่งคนในนั้นตะคอกออกมา

แต่อีกคนหนึ่งกลับพูดขึ้นว่า “เจ้าฉลาดมาก แต่เจ้าน่าจะรู้ว่าผลลัพธ์ของการฉีกหน้าพวกเรานั้นคืออะไร แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตายที่นี่ ชื่อของพวกเราเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้”

“ใครกล้าทำร้ายนาง!” ทันใดนั้น เสียงตะคอกก็ดังมาจากที่ไกลออกไปดุจดั่งเกิดฟ้าผ่าขึ้นกลางอากาศ สะเทือนจนคนรู้สึกหูชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version