ตอนที่ 336
นี่คือเมืองของข้า!
บนเส้นทางไปลั่วซิงเฉิง ไกลออกไปมีกลุ่มคนเดินทางมากลุ่มหนึ่ง
เมื่อใกล้เข้ามาแล้วถึงได้พบว่า นี่น่าจะเป็นสองกลุ่มรวมเข้าด้วยกัน เพราะว่ากลุ่มคนนั้นสวมชุดที่แตกต่างกัน ทั้งบนธงก็มีชื่อของสองตระกูลสลักไว้
อันหนึ่งคืออิ๋ง อันหนึ่งคือจี
ทั้งสองตระกูล ไม่ว่าจะอยู่ในภาคตะวันตกหรือภาคเหนือก็ล้วนแต่เป็นตระกูลบรรพกาลอันมีชื่อเสียง ทำให้คนที่มองเห็นล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะพากันหลีกทางถอยให้ โค้งกายเคารพ
“ลั่วซิงเฉิง? เมืองนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน?” จีเหยาฮั่วขี่อยู่บนหลังสัตว์อสูรวิญญาณ มุมปากมีรอยยิ้มมองไปทางอิ๋งเจ๋อที่อยู่ด้านข้าง
พวกเขาสองคนนั้นมาร่วมงานชุมนุมเป็นตัวแทนของตระกูล
ในอกของพวกเขา มีเทียบเชิญของตระกูลซางและก็เทียบเชิญของลั่วซิงเฉิง อิ๋งเจ๋อมองไปข้างหน้า ท่าทางเรียบสงบ เมื่อได้ยินคำพูดของจีเหยาฮั่วแล้วก็ตอบไปอย่างเรียบๆ ว่า “ข้าเปิดดู ประวัติของภาคตะวันตกดู ลั่วซิงเฉิงนี้คงอยู่มาตั้งแต่ หมื่นปีก่อนแล้ว ต่อมาถูกเจ้าเมืองของมันทำลายลงเองกับมือ จากนั้นก็กลายเป็นดินแดนรกร้าง”
“เมืองร้างเมื่อหมื่นปีก่อน?!” จีเหยาฮั่วตกตะลึง
เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เมืองร้างเมื่อหมื่นปีก่อน สมองของชิงเกอคงไม่ได้ถูกทำลายไปแล้วหรอกใช่ไหม? กลับเลือกสถานที่เช่นนี้ อาศัยกำลังของเขา รวมกับข้า คิดอยากจะครอบครองเมืองไหนก็ได้ทั้งนั้น?”
อิ๋งเจ๋อเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง การตักเตือนในแววตาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
จีเหยาฮั่วรีบยิ้มออกมาทันที “ล้อเล่น”
พูดแล้ว เขาก็ยืดกายตรง พูดกับตัวเองว่า “แต่ว่า ในเมื่อชิงเกอเลือกแล้ว คิดว่าคงจะไม่ด้อยแน่ ข้าซักสนใจในลั่วซิงเฉิงนี้แล้วสิ”
อิ๋งเจ๋อไม่ได้พูดมากอย่างเขา แต่ในนัยน์ตาอันเย็นชาคู่นั้นของเขาก็ฉายแววสนใจขึ้นมาเช่นเดียวกัน
เพราะว่า ในบันทึกโบราณเขียนบรรยายเกี่ยวกับเรื่องลั่วซิงเฉิงเอาไว้น้อยมาก นับไปมาได้ไม่กี่คำ แต่ก็ยังเขียนอย่างคลุมเครือว่าเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่งมาก
เขาก็รู้สึกสงสัยมากว่าเหตุใดมู่ชิงเกอถึงได้รู้จักเมืองที่สูญหายไปนับหมื่นปีนี้ได้ แล้วยังเลือกให้เป็นเมืองของตนเอง
“เอ? นั้นไม่ใช่ธิดาเทพของตระกูลซีมิใช่หรือ?” ทันใดนั้น จีเหยาฮั่วก็ร้องขึ้นมาอย่างแปลกใจ
เขายืดกายขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ มองตรงไปด้านหน้า
อิ๋งเจ๋อมองไปตามสายตาของเขา ก็มองเห็นกลุ่มคนด้านหน้า กลุ่มนั้นก็เป็นเหมือนกับกลุ่มของพวกเขา เป็นการรวมตัวระหว่างสองขุมกำลัง เพียงแต่ว่า คนที่นำมีเพียงแค่เงาร่างเพรียวบางในชุดสีหิมะเพียงร่างเดียว
“เหล่านั้นเป็นคนของตำหนักเทพและตระกูลซี คนที่นำแน่นอนว่าจะต้องเป็นซีเซียนเสวี่ย” อิ๋งเจ๋อเอ่ย
จีเหยาฮั่วหัวเราะอย่างรู้สึกสนุกขึ้นมา “ช่างน่าสนใจจริงๆ วันนี้ลมอะไรพัดมากัน ถึงกลับพัดพาเอาธิดาเทพที่อยู่ส่วนลึกออกมาได้! ดูแล้ว ลั่วซิงเฉิงนี้มีเสน่ห์ไม่น้อยเลยจริงๆ!”
พูดแล้ว เขาก็มองไปยังอิ๋งเจ๋อ เอ่ยกระตุ้นว่า “ห้าอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิง ตอนนี้มาแล้วสาม ก็ไม่รู้ว่าที่เหลืออีกสองคนจะปรากฎตัวขึ้นหรือไม่”
อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบลงไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้พูดออกมาอย่างเรียบๆ ว่า “บางทีลั่วซิงเฉิงนี้อาจจะคึกคักเสียยิ่งกว่าที่เจ้าคาดคิดเอาไว้ก็ได้”
ภายในจวนเจ้าเมือง มู่ชิงเกอมองคนสองคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าของนาง อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นสูง
หานฉายไฉ่ และยังมีใครอีกคน…
มู่ชิงเกอจำผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายของหานฉายไฉ่ได้ว่านางเคยพบเจอที่ทุ่งหญ้าอัสดง และก็ปรากฎตัวอยู่ข้างกายของหานฉายไฉ่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าชื่ออะไรนั้น นางลืมไปแล้ว
“วันนี้มาถึงลั่วซิงเฉิงของเจ้า เจ้าเป็นเจ้าเมือง เชิญแขกมาก็ไม่เชิญนั่งงั้นหรือ?” หานฉายไฉ่มองไปที่นางแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
เพิ่งจะเข้ามาในลั่วซิงเฉิง เขาก็ถูกมันทำให้ตกตะลึงแล้ว
มันเป็นเมืองที่กว้างใหญ่และพร้อมสมบูรณ์กว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่เดิมคิดว่า มู่ชิงเกอเลือกเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก เช่นนั้นขนาดคงไม่ได้ใหญ่โตนัก
ใครจะคาดคิด?
หานฉายไฉ่ส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่นในใจ อิงตามนิสัยของมู่ชิงเกอ จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปได้ถึงไหนกัน?
อีกอย่าง เขาอยู่ในเมืองก็ยังมองเห็นตึกหลังหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดุจดั่งหอคอย บนนั้นถูกปกคลุมไว้ด้วยผ้าไหมสีแดง ยังไม่รู้ว่าคืออะไร และก็ไม่รู้ว่ามีไว้ทำอะไร
แต่ว่า ตามที่เขารู้จักมู่ชิงเกอมา สร้างอาคารอยู่ในสถานที่ๆ โดดเด่นเช่นนั้น ทั้งยังเอาจริงเอาจังในการเตรียมการ น่าจะไม่ใช่สถานที่ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
คำพูดของหานฉายไฉ่นั้น มู่ชิงเกอได้ยินแล้ว
สายตาของนางกวาดไปมาบนร่างกายของเขาและร่างของหร่วนชิงเหลียน เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง ชี้ไปที่นั่งด้านข้างที่ว่างอยู่แล้วเอ่ยกับพวกเขาสองคนว่า “เชิญนั่ง”
หร่วนชิงเหลียนมองหานฉายไฉ่ ดูเหมือนว่าทุกๆ เรื่องจะ ให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ดูเป็นกุลสตรี
หานฉายไฉ่กลับไม่ได้มองนาง เดินไปนั่งลงเลย
หลังจากเขานั่งลงแล้ว หร่วนชิงเหลียนถึงได้เลือกเก้าอี้ ข้างๆ เขาแล้วนั่งลง การตามติดเช่นนี้ทำให้หานฉายไฉ่ ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ ภายในนัยน์ตาเรียวยาวเผย ความรู้สึกรำคาญออกมา
“ท่านนี้คือ …” มู่ชิงเกอมองไปทางหร่วนชิงเหลียนแล้วก็ถามขึ้น
หร่วนชิงเหลียนเห็นมู่ชิงเกอถามถึงนาง ก็ส่งสายตาไปหาหานฉายไฉ่ดูเหมือนว่าคิดอยากจะให้เขาเป็นคนอธิบาย แต่ว่า หานฉายไฉ่กลับทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้มีความคิดที่จะเอ่ยปาก นัยน์ตาของนางเผยความรู้สึกน้อยใจออกมา ทำได้เพียงแต่กัดฟัน เอ่ยปากออกไปด้วยตนเอง “เจ้าเมืองมู่ ข้านั้นมาจากตระกูลหร่วนแห่งภาคเหนือชื่อหร่วนชิงเหลียน ครั้งนี้มาในนามของตระกูลหร่วน และก็เป็น…และก็เป็นคู่หมั้นของพี่ไฉ่”
คู่หมั้น?
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น มองไปยังหานฉายไฉ่ด้วยอารมณ์สนุก ผู้ชายคนนี้มีคู่หมั้นอยู่แล้วยังมาพัวพันกับนางไม่เลิกอีก มันน่านัก!
“คู่หมั้นอะไรกัน เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล!” หานฉายไฉ่รีบกระโดดออกมาแก้ต่างให้ตัวเองในทันที
เขามองไปที่มู่ชิงเกอ รีบเอ่ยว่า “ชิงเกอ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด เพียงแค่ตระกูลหร่วนและตระกูลหานมีความคิดที่จะเกี่ยวดองกัน แต่ว่ายังไม่ได้เลือกคน ข้า…”
“ประมุขน้อยหานไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟัง” มู่ชิงเกอยกมือขึ้นตัดบทพูดของเขา
หร่วนชิงเหลียนเห็นท่าทีอธิบายอย่างสับสนวุ่นวายของหานฉายไฉ่แล้ว ชั่วขณะนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกอดสูขึ้น การเกี่ยวดองระหว่างตระกูลหร่วนและตระกูลหานยังไม่ได้เลือกคนก็จริง แต่ในภาคเหนือมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่านาง หร่วนชิงเหลียนชอบหานฉายไฉ่?
มู่ชิงเกอทำเป็นมองไม่เห็นใบหน้าอันดำทะมึนของหานฉายไฉ่ เอ่ยกับหร่วนชิงเหลียนด้วยสีหน้าที่ดูยินดีว่า “หากว่าเรื่องดีของทั้งสองกำหนดดีแล้ว ตอนนั้นข้าจะไปส่งมอบของขวัญร่วมฉลองงานแต่งอย่างแน่นอน”
คำพูดของนางเช่นนี้ทำให้สีหน้าของหานฉายไฉ่ดำทะมึนด้วยความโมโห แต่หร่วนชิงเหลียนกลับยิ้มอย่างมีความสุข ทำให้ความมืดมนก่อนหน้านี้กระจายหายไป “ขอบคุณเจ้าเมืองมู่ ถึงตอนนั้นจะต้องส่งเทียบเชิญมาให้อย่างแน่นอน”
พูดแล้ว ในใจของนางก็ยังคงรู้สึกหวานชื่น คิดในใจว่า ‘ก่อนจะออกเดินทาง อี้เหรินยังให้ข้าระวังเจ้าเมืองมู่ผู้นี้ แต่ข้ากลับคิดว่าเขาดีมาก ไม่รู้จริงๆ ว่าอี้เหรินเป็นกังวลเรื่องอะไร!’
“มู่ชิงเกอ!” หานฉายไฉ่อดไม่อยู่ตะโกนออกไป
มู่ชิงเกอค่อยๆ หันมา มองไปที่เขา เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาว่า “ประมุขน้อยหานมีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
ท่าทางที่ดูไม่สนใจอะไรนี้ของนางทำให้หานฉายไฉ่โมโห กัดฟันจนเจ็บ นับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าตนเองชอบนางแล้วนั้น ก็เหมือนได้หยั่งรากลึกอยู่ในมือนาง ไม่สามารถเป็นอิสระได้อีก
ถูกสายตาเช่นนั้นของมู่ชิงเกอจับจ้อง ผ่านไปครึ่งวันเขาถึงได้พูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ข้าหิวแล้ว! เจ้าที่เป็นเจ้ามือรับรองอาหารหรือไม่?”
มู่ชิงเกอกำลังคิดจะพูดว่านอกจวนเจ้าเมือง ภายในที่พักที่จัดไว้รับรองแขก ล้วนแต่จัดเตรียมอาหารไว้รองรับแล้ว กลับมีเงาคนเดินเข้ามาอย่างกระทันหัน
คนที่มาชันเข่าลงบนพื้น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย ประมุขน้อยของตระกูลอิ๋งและตระกูลจีมาถึงแล้วขอรับ ยังมีผู้นำกลุ่มหลิวเค่อเลี่ยเกอแม่นางฉินล้วนแต่รออยู่ที่นอกประตูจวน ขอพบคุณชายขอรับ”
ล้วนแต่มาพร้อมกันพอดีเลยหรือ?
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย สั่งการคนที่มารายงานว่า “พาพวกเขาเข้ามา”
จากนั้น นางก็ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็สั่งการซ้ายขวาให้ไปเรียกมู่เสวี่ยอู่ เหมยจื่อจ้งและคนอื่นๆ มา จากนั้นก็สั่งให้คนจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร ในเมื่อคนที่รู้จักล้วนแต่มาพร้อมกันแล้ว ไม่สู้จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้ทุกคนได้สังสรรค์ร่วมกัน ถึงอย่างไรทุกคนก็ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว
ไม่นาน ทั้งสามคนก็เดินตามบ่าวในจวนเข้ามา
พวกเขาทั้งสามคนล้วนแต่มาเพียงลำพัง ข้างกายไม่ได้นำใครมาด้วย ระยะทางที่เดินผ่านมา ล้วนแต่ลอบสังเกตการณ์ดูแล้วก็คงจะมาพบเจอกันที่หน้าประตู
“ชิงเกอ พี่ใหญ่จีของเจ้ามาแล้ว!” เพียงแค่จีเหยาฮั่วเข้ามา ก็ร้องตะโกนเสียงดังเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
“พี่ใหญ่จี? ชิ” เสียงร้องเรียกนี้ ทำให้หายฉายไฉ่สบถเสียงเย็นออกมา
จีเหยาฮั่วรีบหันไปทางเขาในทันทีหลังจากมองเห็นใบหน้าอันงดงงามของหานฉายไฉ่แล้ว ชั่วขณะนั้นก็หัวเราะยั่วยุขึ้นมา “อา ประมุขน้อยตระกูลหานกลับมา ถึงก่อนก้าวหนึ่ง”
“หร่วน…หร่วนชิงเหลียนคารวะประมุขน้อยจี” หร่วนชิงเหลียนไม่รู้จะวางมืออย่างไรดี ยืนขึ้นมาเอ่ยกับจีเหยาฮั่ว
ตระกูลของพวกเขาทั้งสามตระกูลล้วนแต่อยู่ในภาคเหนือ ที่นี่กำลังของตระกูลจีแข็งแกร่งที่สุด ตระกูลหร่วนอ่อนแอที่สุด นางพบจีเหยาฮั่วจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“หร่วนชิงเหลียน? ตระกูลหร่วน” จีเหยาฮั่วมองไปที่นาง ยังคงแสดงท่าทียิ้มแย้ม “ที่นี่ไม่ใช่ตระกูลจีของข้า ไม่ต้องลำบากวุ่นวาย ที่นี่พวกเราล้วนแต่เป็นแขก”
มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา เดินลงมาจากแท่นสูง ยิ้มให้กับทั้งสามคนแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าพบกันแล้ว”
“ใช่แล้ว ชิงเกอเจ้ายังไม่ได้แนะนำสาวงามผู้นี้เลย พวกเราพบปะกันที่หน้าประตูใหญ่ นางก็มาหาเจ้าเช่นเดียวกัน ทั้งยังดูเหมือนว่าจะเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของเจ้าอีก ด้วย” จีเหยาฮั่วสอดคำพูดขึ้นมา
ฉินอี้เหยามองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาซ่อนอารมณ์บางอย่างที่ไม่ง่ายจะสัมผัสได้ออกมาแวบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็มองนางเช่นเดียวกัน ยิ้มให้นางแล้วก็แนะนำให้จีเหยาฮั่วกับอี้งเจ๋อรู้จักว่า “ผู้นี้คือเพื่อนของข้า ฉินอี้เหยา ตอนนี้เป็นผู้นำกองกำลังหลิวเค่อกองหนึ่ง”
ฉินอี้เหยาคารวะอี้งเจ๋อและจีเหยาฮั่วตามธรรมเนียมของคนอายุเท่ากัน ไม่ดูตํ่าด้อย ไม่ดูต่อต้าน นี่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกดีกับนางเล็กน้อย หากว่าฉินอีเหยาแสดงท่าทีเลิ่กลั่กเหมือนกับหร่วนชิงเหลียน เกรงว่าพวกเขาคงไม่สนใจที่จะมองนางแม้แต่แวบเดียว
จากนั้น มู่ชิงเกอก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยกับฉินอี้เหยาว่า “อี้เหยา สองคนนี้ คนหนึ่งคือประมุขน้อยตระกูลอี้ง อีกคนคือประมุขน้อยตระกูลจี คิดว่าเจ้าก็คงเคยพบที่ทุ่งหญ้าอัสดงแล้วพวกเรานั้นถือว่าไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน”
ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน?
การอธิบายนี้ทำให้ฉินอี้เหยารู้สึกสงสัย นางรู้จักสองคนนี้ และก็เป็นเพราะรู้จัก ถึงได้เป็นกังวลมาตลอดทางว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องกับมู่ชิงเกอ
ดีที่เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น
ไม่นาน มู่เสวี่ยอู่กับเหมยจื่อจ้งก็มาถึงแล้ว พวกหยินเฉินนั้นไม่ชอบความครึกครื้นเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มาสักคน สำหรับเรื่องนี้แล้วมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ฝืนใจ
มู่เสวี่ยอู่มาถึงลั่วซิงเฉิงหลายวันแล้ว กลับได้เห็นหน้าเหมยจื่อจ้งเป็นครั้งแรก ทั้งสองคนยิ้มให้กันแล้วพยักหน้า ทั้งสองคนต่างก็มีนิสัยนิ่งสุขุม จึงแยกไม่ออกว่า พวกเขาตื่นเต้นมากเท่าไหร่
ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว งานเลี้ยงของมู่ชิงเกอก็ไม่ได้จัดใหญ่โต
เพียงแต่เตรียมอาหารคาวหวานโต๊ะหนึ่ง ทุกคนนั่งรวมกัน ทั้งพูดคุยและดื่มกินไปด้วย อาหารมื้อนี้กินเวลาไปจนถึงยามคํ่าคืน
มู่ชิงเกอมองออกไปยังสีฟ้าด้านนอกหน้าต่าง วางตะเกียบลง ยืนขึ้นมาแล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเจ้ามาถึงลั่วซิงเฉิงพอดีจะให้พวกเจ้าได้ชมดู ของที่เป็นเอกลักษณ์ของลั่วซิงเฉิงแห่งนี้”
พูดแล้วนางก็พาทุกคนเดินไปที่ข้างหน้าต่างที่มองเห็นไปทั่วทั้งลั่วซิงเฉิง
“ดูอะไรหรือ?” หร่วนชิงเหลียนเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
มู่ชิงเกอยิ้มไม่พูดจา
เวลานี้เอง ก็มีดวงดาวร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า พุ่งมาที่ลั่วซิงเฉิง
“อา!” หร่วนชิงเหลียนร้องขึ้นอย่างตกใจ
ดวงดาวตกลงมาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นภาพบรรยากาศที่แปลกตาของลั่วซิงเฉิง
“งามมาก!”
“สวยงามจริงๆ!”
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่เสวี่ยอู่เห็น แต่ก็ยังคงตะลึงไปกับความงามเช่นเดิม
นัยน์ตาคู่งามของฉินอี้เหยาก็เปล่งประกายออกมา มองไปยังดาวตกเหล่านั้น แล้วก็มองไปยังมู่ชิงเกอด้วยอารมณ์ที่หลากหลายซับซ้อน
“ที่แท้นี่ก็คือที่มาของลั่วซิงเฉิง?” อิ๋งเจ๋อมองดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ตกลงมาและพูดขึ้น
ตอนนี้นี่เอง คนนับไม่ถ้วนในเมืองก็ล้วนแต่ถูกภาพบรรยากาศอันแปลกตาดึงดูด ทยอยเดินออกมา บางทีก็อยู่ข้างหน้าต่าง มองไปยังดาวบนท้องฟ้า ดื่มดํ่าไปกับ บรรยากาศอันงดงามนี้ด้วยกัน
ท่าทางที่ทุกคนต่างตกตะลึงนี้ตกอยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอ ในใจของนางเกิดความภาคภูมิใจขึ้น เพราะว่า ตอนนี้ที่นี่เป็นเมืองของนาง
“ชิงเกอ ที่นี่ของเจ้าช่างงดงามจริงๆ! สถานที่ดีๆ เช่นนี้ กลับถูกเจ้าฉวยไปเสียแล้ว” จีเหยาฮั่วเอ่ยด้วยความยินดี จากนั้นก็ก็กระซิบที่ข้างหูของมู่ชิงเกอว่า “ระหว่างที่เดินทางมา ข้าพบว่าธิดาเทพของตระกูลซีก็มาถึงแล้ว ก็ไม่รู้ว่า ที่เหลืออีกสองคนจะปรากฎตัวออกมาไหม”
ซีเซียนเสวี่ยก็มาแล้ว!
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกแปลกๆ ขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ต่อคำ
ในมุมๆ หนึ่งของลั่วซิงเฉิง ซีเซียนเสวี่ยยืนอยู่หน้าหน้าต่าง เงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวเต็มท้องฟ้า แล้วก็ถูกความงามตรงหน้าทำให้ตกตะลึง
อีกบริเวณหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา ดวงตาส่องสว่างดุจดวงดาว คิ้วพาดตรงดุจกระบี่ ใบหน้าดูหล่อเหลาคมคาย เขาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ใต้ชายคาชมดาวตกอยู่เช่นเดียวกัน ภายในนัยน์ตานั้นนอกจากความตกตะลึงแล้วยังมีความสงบเยือกเย็น
“ประมุขน้อยเหยา!”
ไม่ไกลออกไป มีคนจดจำสถานะของเขาได้
“นั้นไม่ใช่อันดับสามแห่งทำเนียบชิงอิงเหยาชิงไห่มิใช่หรือ? คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วย!”
มู่ชิงเกอยืนอยู่ข้างหน้าต่าง หันกายไปมองหลายคนที่กำลังตกตะลึงกับภาพบรรยากาศอันงดงามแปลกตา เหล่านั้น แล้วกางแขนออก หว่างคิ้วคลายลงเอ่ยว่า “ที่นี่ ก็คือเมืองของข้า ขอต้อนรับพวกเจ้าสู่ลั่วซิงเฉิง!”