ตอนที่ 352
โห่วพูดว่า ลุง!
“ชาดี!” มู่ชิงเกอรับจอกชาที่บินลอยมา จรดที่ริมฝีปาก ดื่มไปคำหนึ่งแล้วก็เอ่ยออกมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่กลับไม่รู้ว่าฉากนี้ทำให้คนกี่คนตกตะลึง
ผู้นำของกลืนจันทร์จ้องมองมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู ดูเหมือนจะคิดไม่ออกว่าเขาสามารถรับจอกชานั้นง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะอยู่ระดับสีเงินชั้นสามมิใช่หรือ? ถึงแม้ว่าภายในสองปีมานี้จะมีการพัฒนา ถึงจะร้ายกาจแค่ไหนพัฒนาสูงขึ้นระดับหนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เหตุใดจึงสามารถรับจอกชาที่เขาใช้พลังระดับสีทองส่งออกไปได้?
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีสองคนก็รู้สึกตกตะลึงไปทั้งใจ
เรื่องที่ผู้นำของกลืนจันทร์ไม่เข้าใจ พวกเขาก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน แต่เดิมคิดจะลงแส้สั่งสอนมู่ชิงเกอครั้งหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขารับไปได้อย่างง่ายดาย ชั่วขณะนั้น ทั้งสามคนก็รู้สึกว่าแก้มของตนเองร้อนฉ่า และแสบคัน ดูเหมือนว่าลงแส้สั่งสอนไม่สำเร็จ ส่วนตนเองกลับเหมือนถูกตบหน้ากลับ
“เอ่อ แค่กแค่ก เจ้าเมืองมู่ ผู้นำมั่ว เชิญประจำที่” ผู้นำของกลืนจันทร์หน้ากระตุก แล้วถึงได้พยายามระงับอารมณ์เอ่ยกับพวกเขา
เขามีความคิดที่จะไม่พูดถึงเรื่องส่งชาเมื่อครู่ แต่ว่ากลับมีคนไม่พอใจ
มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูด โห่วก็ยื่นแขนยาวออกมา แย่งเอาจอกชาในมือของนางมาแล้วแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ชานี้เย็นไปบ้าง เสียมารยาทในการรับแขก ขอใหม่อีกจอกเถอะ”
พูดแล้ว ข้อมือของเขาก็ขยับ สะบัดจอกชากลับคืนไปยังผู้นำของกลืนจันทร์
จอกชาแหวกอากาศลอยกลับคืนไปอย่างรวดเร็ว
ในหูของทุกคนดูเหมือนจะได้ยินเสียง ‘แครก’ ดังขึ้น ขอบจอกปรากฎรอยร้าว
พริบตาเดียว จอกก็ไปถึงตรงหน้าของผู้นำกลืนจันทร์ สายลมที่แทรกมาด้วยนั้นดุดันจนแก้มของเขารู้สึกเจ็บปวด เขาคิดจะยื่นมือออกไปรับจอกชา แต่ว่ายังไม่ทันได้สัมผัสก็ถูกดีดกลับมา ง่ามมือเกิดรอยฉีก เลือดไหลออกมา ส่วนจอกชาก็ไม่ได้ถูกคว้าจับเอาไว้ได้ เพียงแต่พุ่งเข้าไปชนมุมพนักเก้าอี้ด้านหลัง แล้วก็ตกลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ นํ้าชาที่เหลือในจอกก็หกเลอะชุดของผู้นำกลืนจันทร์จนเปียกชื้น
ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนกระทั่งมีเสียงของจอกตกพื้นแตกแล้ว ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองออกมา พวกเขายืนขึ้นในทันที จ้องมองไปยังมู่ชิงเกอและโห่วด้วยนัยน์ตาฉายแวววาววาบ
“เป็นอย่างไร การละเล่นสนุกหรือไม่?” โห่วไม่สนใจสายตาโกรธเกรี้ยวของพวกเขาทั้งสองคน แยกเขี้ยวพูดออกมาด้วยท่าทางที่ดูน่ากลัว รอยสักบนมุมปากของเขานั้ ยิ่งชวนดูน่าขนลุกขึ้นไปอีก
สีหน้าของผู้นำกลืนจันทร์เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ส่วนมู่ชิงเกอกลับยืนอยู่ที่เดิม ท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ
“เจ้า!”
“เจ้า!”
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีตะคอกออกไป
แต่ว่าโห่วกลับกวาดตามองพวกเขาอย่างดูแคลนเพียงแวบเดียว ไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
หยิ่ง! หยิ่งยโสเกินไปแล้ว!
ผู้นำของกลืนจันทร์กุมข้อมือของตนเองแน่น ค่อยๆ ยืนขึ้นมา มองโห่วอย่างละเอียด แล้วก็เอ่ยกับผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีว่า “ทั้งสองท่าน สหายท่านนี้เพียงแค่ล้อเล่นกับข้าเท่านั้น ไม่ต้องแตกตื่นไป”
เขากัดฟันพูดคำว่า ‘ล้อเล่น’ ออกไป แต่รอยฉีกง่ามมือกลับมีเลือดหยดออกมาเรื่อยๆ
สามารถทะลวงพลังป้องกันของระดับสีทองได้อย่างง่ายดายทำร้ายเขาได้ในพริบตา สามารถพูดได้แค่ว่าคนเบื้องหน้านั้นมีพลังฝึกปรือที่สูงกว่าเขามาก
พวกเขาเป็นกองกำลังหลิวเค่อ ไม่ใช่บรรดาตระกูลที่มีภูมิหลังเหล่านั้น ภายในกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตัวพวกเขาเอง หากว่ามีคนที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่ สามารถต่อกรได้แล้ว ทั้งกองกำลังของพวกเขาก็ไม่อาจจะล่วงเกินได้
ในตอนนี้ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็นิ่งเงียบลง สบตาหากันแวบหนึ่ง ล้วนแต่ข่มอารมณ์ เพียงแต่สองตาคู่นั้นจ้องมองโห่วอย่างระมัดระวัง
โห่วดูแคลน มองทั้งสามคนอย่างยั่วยุ
เขาไม่คิดว่าที่ตนเองทำเช่นนี้นั้นผิดตรงไหน หากไม่ใช่ว่าพลังฝึกปรือของมู่ชิงเกอนั้นดี สถานการณ์เมื่อครู่ก็ต้องเป็นดั่งผู้นำของกลืนจันทร์แน่
พวกเขาอยากจะเห็นนางอับอายงั้นหรือ? เช่นนั้นเขาก็จะทำให้พวกเขาอับอายก่อน!
ผู้นำของกลืนจันทร์ค่อยๆ กุมมือที่บาดเจ็บแน่น บนปากแผลนั้นมีสีทองวาบขึ้น หยุดเลือดเอาไว้เหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยสีชมพูจางๆ เวลานี้ เขาถึงได้เผยรอยยิ้มออกมาใหม่ เอ่ยมู่ชิงเกอว่า “เมื่อครู่เป็นข้าที่เสียมารยาทไป เจ้าเมืองมู่ ผู้นำมั่วเชิญ นั่ง ยังมีสองท่าน…”
สายตาของเขาตกไปอยู่ที่ร่างของไป๋สี่และโห่ว ทั้งคำพูดก็ดึงไปถึงพวกเขา แสดงชัดเจนว่าต้องการให้มู่ชิงเกอแนะนำทั้งสองคน แน่นอนว่าที่พวกเขาอยากรู้มากที่สุดก็คือโห่ว สำหรับไป๋สี่นั้นเป็นทางผ่าน
เพียงแต่ว่า มู่ชิงเกอฟังความหมายของเขาออกชัดๆ แต่กลับจงใจไม่ทำตามความต้องการของเขา นางยิ้มบางๆ “เป็นเพียงแต่ผู้ติดตามของข้าเท่านั้น”
พูดแล้ว นางก็หันกายเดินไปยังตำแหน่งว่าง มั่วหยางก็ รีบตามไป ไป๋สี่และโห่วก็เช่นเดียวกัน
ถูกมู่ชิงเกอแนะนำว่าเป็นผู้ติดตาม ไป๋สี่และโห่วก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด กลับส่งสายตาดูแคลนมามองสามคนนั้นอีกแล้วก็ตามไปนั่งอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ
ผู้นำของกลืนจันทร์มุมปากกระตุกแล้วถึงเอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นผู้ติดตามของเจ้าเมืองมู่นี้เอง คิดไม่ถึงว่าผู้ติดตามของเจ้าเมืองมู่จะแข็งแกร่งเช่นนี้ ความสามารถ ระดับนี้จะปกครองตระกูลสักตระกูลก็ยังได้ แต่กลับยอมเป็นผู้ติดตามของเจ้าเมืองมู่ ดูแล้วเสน่ห์ดึงดูดของเจ้าเมืองมู่นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
เขาพูดเช่นนี้ แล้วก็ใช้คำว่า ‘ผู้ติดตาม’ อีกทั้งยังเน้นจนรู้สึกระคายหูเป็นพิเศษ ดูเหมือนคิดจะยั่วยุให้โห่วรู้สึกไม่พอใจมู่ชิงเกอ เขาลำบากครุ่นคิดเช่นนี้ มู่ชิงเกอจะไม่รู้ได้อย่างไร?
แต่ว่าผู้นำของกลืนจันทร์กลับเข้าใจความสัมพันธ์ของนางและโห่วผิดไป ซํ้ายังคาดผิดถึงอารมณ์ของโห่วด้วย!
“นี่ลุง เจ้าสามารถพูดจาดีๆ ได้หรือไม่? ฟังคำพูดของเจ้าแล้วข้ารู้สึกไม่สบายตัวเลย!” โห่วตบโต๊ะตอบกลับไปตามคาด
เขาไม่ใช่มนุษย์เสียหน่อย ยิ่งไม่ชอบธรรมเนียมมารยาท ตรงไปตรงมานั้นดีที่สุดแล้ว คำพูดกระทบกระเทียบเช่นที่ผู้นำของกลืนจันทร์พูดนั้น เขาไม่ชอบมากที่สุด เพียงเขาพูดออกไป ท่าทีของผู้นำทั้งสามก็เปลี่ยนไปในทันที ท่าทางที่ดูโกรธแต่พูดอะไรไม่ได้นั้น ทำให้สีหน้าของพวกเขาแดงก่ำ
โห่วที่เป็นคนไม่สนใจมารยาทธรรมเนียมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาปวดหัวมากที่สุด!
ในเวลานี้มู่ชิงเกอกลับมองไปที่โห่ว เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนโยนว่า “คนเขาก็เพียงแต่อดสูแทนเจ้า รู้สึกว่าสถานะของเจ้าข้างกายข้านั้นเป็นการลบหลู่ความ สามารถของเจ้า เหตุใดต้องโมโหด้วย?”
นางอธิบายเช่นนี้ออกไป ชั่วขณะนั้นผู้นำทั้งสามก็รู้สึกว่า หนังหัวชาดิก!
เหตุใดความหมายในคำพูดที่ดูเหมือนจะแก้ต่างแทนพวกเขาถึงได้ทำให้พวกเขามีความรู้สึกเหมือนเติมเชื้อเพลิงลงไปในเปลวเพลิงเลยเล่า?
“บ้าจริง! ก็ข้าชอบที่จะอยู่กับเจ้า เกี่ยวอะไรกับคนเหล่านี้ด้วย!” โห่วด่าออกไป
เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
ในใจของผู้นำทั้งสามรู้สึกขมขื่น
คุยกันเสียดิบดีแล้วว่าจะลงแส้สั่งสอนมู่ชิงเกอไปแส้หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยล้วงลึกถึงที่มาของชายคนนี้จากนั้นก็ยุยงมิใช่หรือ?
เหตุใดมาตอนนี้คนที่ถูกจัดการถึงเป็นพวกเขาไปได้?
“พวกเขาคิดว่าอาศัยความสามารถของเจ้า ไม่สมควรอยู่ข้างกายของข้าเป็นเพียงแค่ผู้ติดตามเล็กๆ เจ้าควรที่จะยิ่งใหญ่กว่า สามารถสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่ตนเองได้” มู่ชิงเกออธิบาย ‘ด้วยความหวังดี’
“ข้าคิดจะทำอะไร อาศัยแค่พวกไม่กี่คนนี้ก็คิดจะมาจัดการอย่างนั้นหรือ? หากวุ่นวายอีก ข้าจะทำลายห้องผุๆ นี้ซะ! ลุง!” โห่วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูดุร้าย พูดจบแล้วเพื่อแสดงให้เห็นว่าคำพูดของเขามีโอกาสเป็นจริง เขายังคำรามออกไปใส่สาวใช้ที่กำลังเตรียมจะส่งอาหารเข้ามาคำหนึ่งว่า “ไป!”
ชั่วขณะนั้น ลมพายุสายหนึ่งก็พัดไปยังบรรดาสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูจนล้มระเนระนาด ถาดอาหารในมือก็สาดกระจายตกลงพื้น ไม่เพียงแต่เท่านี้ประตูก็ถูกพัดลอยออกไป ตกไปอยู่กลางเรือน ต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้า ภายในเรือนก็ถูกพัดจนใบไม้ลอยพลิ้วเหมือนกับฝนตก
ผู้นำของกลืนจันทร์ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีมองฉากนี้อย่างตกตะลึง
เพียงแค่อ้าปากก็ทำให้เกิดพลังเช่นนี้ได้พวกทั้งสามคนไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำไม่ได้
“คนเขาพูดตามความเป็นจริง เจ้าจะอารมณ์เสียไปทำไม?” มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจว่าเรื่องจะใหญ่ขึ้น พูดต่อไป จากนั้นก็ปั้นใบหน้าที่ดูเสียใจไปให้ทั้งสามคน “ขออภัยด้วยจริงๆ ผู้ติดตามของข้าคนนี้อารมณ์ร้อนไปหน่อย มีบางครั้งที่แม้แต่ข้าก็ยังคุมไม่อยู่”
‘เจ้าเมืองมู่! ใต้เท้ามู่! บรรพบุรุษมู่! ขอร้องละอย่าพูดอีกเลย!’
เพียงแค่ทั้งสามคนได้ยินมู่ชิงเกอเอ่ยปากพูด ในใจก็แตกตื่นเต็มไปด้วยความขมขื่น
“นิสัยของข้าก็เป็นเช่นนี้หากไม่พอใจก็มาดวลกัน!” โห่วเสริมอีกประโยคหนึ่ง
สีหน้าของทั้งสามคนดูขมขื่น โห่วเผยฝีมือออกมาเช่นนี้ ก็ได้แสดงถึงความสามารถของเขาแล้ว พวกเขาทั้งสามคนล้วนแต่รู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา ใครจะกล้าไปดวลกับเขาตัวต่อตัวอีก หาเรื่องตายงั้นหรือ?
ความตั้งใจเดิมของงานเลี้ยงในครั้งนี้จบลงด้วยความตายอย่างสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าทั้งสามคนล้วนแต่หงุดหงิด แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรโง่ๆ ลงไป
ทำได้เพียงแต่พูดว่า โห่วนั้นแข็งกร้าวเกินไป หยิ่งเกินไป แกร่งเกินไป ทำให้พวกเขาไม่กล้าเป็นศัตรูซึ่งๆ หน้า ส่วนการประเมินมู่ชิงเกอ การรับมือเมื่อครู่ก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่ามีพลังระดับสีทอง
อายุหนุ่มแน่นขนาดนี้ภายในสองปีขึ้นจากระดับสีเงินชั้นสามถึงระดับสีทอง ทั้งยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพอีก คนเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่า เพียงให้ เวลาเขาอีกหน่อยก็จะเติบโตสูงส่งขึ้นอีกอย่างแน่นอน
พวกเขาทั้งสามคนในตอนนี้ก็อยู่เพียงแค่ระดับสีทองชั้นสอง ชั้นสามเท่านั้น
ต่อกรกับคนเช่นมู่ชิงเกอ หากไม่ฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่เติบโตกำจัดซะ ก็ต้องไม่ไปล่วงเกิน รักษาความสัมพันธ์ดีๆ ไว้
พวกเขาสามคนเพียงแต่ไม่คาดหวังจะให้ผลประโยชน์ของตนเองมีผลกระทบมากนัก ดังนั้นถึงได้คิดจะมอบความลำบากให้มู่ชิงเกอ ยังไม่ถึงขั้นต่อสู้เป็นตาย ดังนั้น จึงทำได้เพียงแต่สร้างความสัมพันธ์
ความหมายของการสร้างความสัมพันธ์ก็คือสามารถมอบผลประโยชน์ที่แต่เดิมเป็นของตนเองออกไปได้มากเท่าไหร่…
ผู้นำของกลืนจันทร์ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีลอบส่งสายตาหากันเงียบๆ คิดคำนวณในใจ
พวกเขาไม่ใช่คนของตระกูลใหญ่ แต่เป็นคนที่ก้าวขึ้นมาทีละก้าวจนถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ได้ด้วยตนเอง แน่นอนว่าไม่ใช่คนบุ่มบ่าม แม้ว่าวันนี้โห่วจะทำให้พวกเขาเสียหน้าไป แต่ก็ทำให้พวกเขารู้ได้อย่างชัดเจนถึงกำลังในตอนนี้ของเขี้ยวมังกรและลั่วซิงเฉิง
ผู้นำของกลืนจันทร์โบกมือ สั่งการให้เหล่าสาวใช้ที่คลานลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างทุลักทุเลไปจัดเตรียมอาหารมาใหม่
แล้วก็ทำความสะอาดบรรดาอาหารที่ตกพื้นเหล่านั้นให้สะอาดด้วย
“เหอ เหอ เดิมทีวันนี้คิดจะสร้างความสำราญแก่เจ้าเมืองมู่และผู้นำมั่วเป็นอย่างดี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นข้าไม่ดีเอง” ผู้นำของกลืนจันทร์เอ่ยปากออก มา
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีมองไม่ออกว่าผู้นำของกลืนจันทร์คิดจะทำอะไร จึงได้แต่นิ่งเงียบ
มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ผู้นำของกลืนจันทร์เกรงใจไปแล้ว ผู้ติดตามของข้าคนนี้เป็นคนอารมณ์ร้อน รบกวนงานเลี้ยงไปโดยไม่ตั้งใจ ขอให้ผู้นำทั้งสามอย่าได้ถือสาเลย”
ในเมื่อจุดมุ่งหมายในการต่อต้านกลับของนางสำเร็จแล้ว แน่นอนว่ามู่ชิงเกอก็รู้จักหยุดในเวลาที่เหมาะสม ให้ทางลงแก่อีกฝ่าย
ไม่เลว! ปฏิกิริยาของโห่วแม้ว่าจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นนิสัยของตัวเขาเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นล้วนแต่เป็นมู่ชิงเกอลอบสั่งการลับๆ นางคำนวณได้ถึงงานเลี้ยงหงเหมินในครั้งนี้ ดังนั้นถึงได้พูดคุยกับโห่วให้คนหนึ่งแสดงเป็นหน้าแดง อีกคนแสดงเป็นหน้าขาว ตบหน้าทั้งสามคนไปทำให้พวกเขาเก็บความคิดที่ไม่สมควรมีกลับไป