ตอนที่ 351
เหตุใดเขาจึงแข็งแกร่งถึงขนาดนี้!
เพียงแค่เขี้ยวมังกรเข้าไปในเมืองก็ดึงดูดสายตาของทุกคนที่อยู่รอบด้านในทันที
ส่วนมู่ชิงเกอก็มองไปในเมืองที่เป็นของหลิวเค่อนี้อย่างสนใจ
มองอย่างผิวเผิน เมืองนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มีร้านค้าเหมือนๆ กัน โรงนํ้าชา ร้านอาหารรวมถึงตรอกซอกซอยต่างๆ
แต่หากตั้งใจสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าคนที่อยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำธุรกิจหรือว่าคนที่เดินไปเดินมาบนท้องถนน ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ ทั้งยังมีกลิ่นอายของเลือดจางๆ ปะปนอยู่
คนของที่นี่ ทุกๆ คน…
มู่ชิงเกอกล้าพนันได้เลยว่าจะต้องไม่มีใครที่มือไม่เคยเปื้อนเลือด!
‘เมืองแห่งการฆ่าที่ดี!’ มู่ชิงเกอลอบเลิกคิ้ว นางชอบเมืองเช่นนี้ไม่มีธรรมเนียม ทุกอย่างทำตามอารมณ์
“นั่นคือเขี้ยวมังกรงั้นหรือ?”
“เป็นเขี้ยวมังกร วันนี้พวกเขาก็มาถึงแล้ว ตอนนี้ผู้นำหลักทั้งสี่ของโลกแห่งหลิวเค่อก็ถือว่าได้มารวมตัวกันครบแล้วในเมืองเทียนผิง”
“ไม่เลวไม่เลว! แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่เพียงสามฝ่าย ตอนนี้มีเพิ่มมาอีกหนึ่งฝ่ายก็ไม่รู้ว่าต่อไปเมืองเทียนผิงจะเกิดเรื่องน่าตื่นเต้นอะไรขึ้น”
“สรุปแล้ว ถึงอย่างไรผลประโยชน์ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราแค่รอดูความสนุกก็เท่านั้น!”
“พูดไม่ผิด! ฮ่าๆๆ!” “แต่ว่าข้าเคยได้ยินมาว่าเขี้ยวมังกรปฏิบัติตัวได้ไม่เลวมาก อีกทั้งเข้าร่วมแล้วก็มีข้อดีมากมาย รอเรื่องราวในเมืองเทียนผิงเสร็จลงแล้ว พวก เราไปลั่วซิงเฉิงกันดีไหม?”
“ใช่ ใช่ ใช่ ตอนนี้เขี้ยวมังกรกำลังรับสมัครกองทัพเลือดมังกร ในเมื่อมีโอกาส พวกเราก็ไปลองกันถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการคัดเลือกก็ไปดูบรรยากาศอันแปลกตาของลั่วซิงเฉิงก็ไม่ถือว่าไปเสียเปล่า”
“พูดถึงบรรยากาศอันแปลกตาของลั่วซิงเฉิงก็ถือว่างดงามไร้ที่เปรียบจริงๆ สองปีมานี้ คนที่เดินทางเพื่อไปดูบรรยากาศอันงดงามแปลกตาของลั่วซิงเฉิงเกรงว่าคงจะเพิ่มเป็นเท่าตัวแล้ว”
“เจ้าโลกแคบเสียจริง ในโลกของหลิวเค่อในตอนนี้ใครบ้างจะไม่รู้ว่าที่ลั่วซิงเฉิงมีก็คือเงิน และก็ไม่มีใครกล้าความคิดที่จะโจมตี”
“อ้อ? อย่างไรกัน?”
“ธุรกิจของลั่วซิงเฉิงคืออะไรเล่า? นอกจากบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมียุทธภัณฑ์ของตระกูลซาง และโอสถขั้นสมบูรณ์ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของผู้คนที่ถูกดึงดูดเข้าไปในลั่วซิงเฉิงเลยว่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ เพียงแค่การประมูลของชั้นหนึ่งในแต่ละเดือนก็มีคนมากมายที่พยายามจะแย่งกันเข้าไปแล้ว จุ๊ๆ ลั่วซิงเฉิงไม่ใช่แค่รวย แต่เป็นอุดมไปด้วยความรํ่ารวย!”
“มิน่าถึงสามารถเลี้ยงดูคนมากมายขนาดนั้นได้!”
ข้างทางเสียงพูดคุยกันของบรรดาหลิวเค่อลอยเข้ามาในหูของมู่ชิงเกอ
นางแย้มยิ้ม พึมพำออกมาว่า “คำร่ำลือช่างห่างจากความเป็นจริงยิ่งนัก ใครบอกว่าลั่วซิงเฉิงอุดมไปด้วยความรํ่ารวยกัน? ข้านั้นเห็นได้ชัดว่าจนมาก!”
ไป๋สี่ได้ยินนางพึมพำก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าน่ะ วันๆ เอาแต่ร้องว่าจน แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าจนจริงๆ เลย”
มู่ชิงเกอกวาดตามองนางแวบหนึ่ง พูดอย่างอดสูว่า “ข้าต้องเลี้ยงเจ้าที่กินจุขนาดนี้ยังไม่ถือว่าจนอีกงั้นหรือ?”
เพียงไป๋สี่ได้ฟัง นางก็ตอกกลับทันทีว่า “พูดให้ดีๆ หน่อย! เรื่องอาหารของข้าทุกครั้งข้าก็ล้วนแต่จัดการด้วยตนเอง จำเป็นต้องให้เจ้าเลี้ยงดูตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เช่นนั้นบรรดาสัตว์อสูรวิญญาณที่เลี้ยงไว้ในจวนเจ้าเมืองของข้า…” มู่ชิงเกอลูบๆ คาง
ไป๋สี่สีหน้าเปลี่ยนไป ชั่วขณะนั้นก็ออเซาะเอ่ยว่า “เหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่อาหารว่างของข้าเท่านั้น”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ในหัวปรากฎภาพของเหล่าสัตว์อสูรนับพันรวมกันขึ้นมา อาหารว่าง? ใช่ยังถือว่า เป็นอาหารว่างจริงๆ…
“ใช่แล้ว หยินเฉินฝึกไปจนถึงจุดสำคัญที่จะทะลวงระดับแล้ว เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้าทะลวงระดับมาก่อน?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอถึงคิดขึ้นมาได้
มาภาคเหนือในครั้งนี้ แต่เดิมนางคิดจะพาหยินเฉินมาด้วย แต่ก่อนจะออกเดินทาง อยู่ดีๆ หยินเฉินก็สัมผัสได้ว่าตนเองกำลังจะทะลวงระดับจึงได้อยู่ในลั่วซิงเฉิงต่อ
ไป๋สี่ขบริมฝีปาก “ข้านั้นเป็นอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ ทุกๆ ครั้งที่ทะลวงระดับก็คือการฟื้นตื่นของความสามารถอย่างหนึ่ง ไหนเลยจะรวดเร็วขนาดนั้น”
“เช่นนั้นเจ้าในตอนนี้ความสามารถฟื้นตื่นขึ้นมากี่อย่างแล้ว?” ปัญหานี้สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว เป็นสิ่งที่นางไม่รู้เลย นางไม่เคยถามมาก่อน และไป๋สี่ก็ไม่เคยพูดถึง
ไป๋สี่พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “เจ็ดอย่าง”
“เช่นนั้นก็เหลือแค่สองอย่างแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ย
ไป๋สี่กลับส่ายๆ หน้า ทันใดนั้นนางก็มองมู่ชิงเกออย่างจริงจังแล้วเอ่ยกับนางว่า “มีเพียงแต่ความสามารถทั้งเก้าอย่างของข้าขึ้นตื่นหมดแล้วเท่านั้น ข้าถึงจะมีสิทธิ์ ตามเจ้าเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร มิเช่นนั้นข้าก็คงได้แต่เป็นตัวถ่วงให้เจ้า ในจุดๆ นี้ในใจของข้าเข้าใจดี และในใจของเจ้าจิ้งจอกเหม็นตัวนั้นก็เข้าใจดี ดังนั้นสองปีมานี้เขาถึงได้ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง ครั้งนี้เขาทะลวงระดับอีกครั้งก็จะสามารถปลุกสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายให้ตื่นขึ้นได้แล้ว ข้าคิดจะดูจริงๆ ว่าสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขานั้นคืออะไรกันแน่”
คำพูดของไป๋สี่ ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นขึ้น นางพูดกับไป๋สี่ว่า “ตอนนี้ข้าเพิ่งจะถึงระดับสีทองชั้นหนึ่งเอง ระยะทางไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารยังเหลืออีกระยะหนึ่ง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกดดันตนเองเช่นนี้”
ใครจะรู้ว่าไป๋สี่กลับขบริมฝีปาก “ความรวดเร็วในการฝึกปรือที่ผิดปกติของเจ้านั้น ไม่สามารถใช้ความเร็วของคนปกติมาคำนวณได้ไม่แน่ว่าเพียงแค่ตื่นขึ้นมา เจ้าก็อาจจะทะลวงไปสู่ระดับสีทองชั้นหกแล้วก็ได้”
มู่ชิงเกอไม่รู้จะต่อคำอย่างไร
เพราะว่า ตอนที่นางทะลวงจากระดับสีเงินชั้นสามขึ้นมาสู่ระดับสีเงินชั้นห้านั้น เป็นเพียงแค่การตื่นนอนขึ้นมาก็ทะลวงระดับโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“แค่ก แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่ได้เป็นเช่นนั้นได้ตลอด” ครู่หนึ่งมู่ชิงเกอถึงได้แก้ต่างให้ตนเองไปหนึ่งประโยค
“ผู้นำทุกท่าน คนของเขี้ยวมังกรมาถึงแล้ว” ลูกน้องที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าต่าง เดินมาถึงข้างโต๊ะแล้วก็เอ่ยกับทั้งสามผู้นำด้วยความเคารพ
เมื่อผู้นำของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยักษ์วิถี ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็พากันลุกยืนขึ้นมาเดินไปยังข้างหน้าต่าง
มองออกไปก็เห็นกลุ่มคนนับร้อยกำลังเดินตามถนนมาทางใต้หน้าต่างที่พวกเขาอยู่ มู่ชิงเกอที่นำอยู่ด้านหน้า แน่นอนว่าพวกเขาสามารถมองเห็นได้ภายในแวบเดียวที่มองออกไป
“คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้เจ้าเมืองมู่จะมาด้วยตัวเอง แต่ก่อนเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องของเขี้ยวมังกรเลย!” ผู้นำของร้อยอัคคีมองที่เหลืออีกสองคนแล้วก็เอ่ยเหมือนจะชี้ให้เห็นอะไรบางอย่าง
ผู้นำของยักษ์วิถียิ้มเอ่ยว่า “นี่จะมีอะไรอีก ผลประโยชน์ที่ล่อตาล่อใจคนถึงขนาดนี้ เขาที่เป็นถึงเจ้าเมืองจะนั่งอยู่นิ่งๆ ได้อย่างไร?”
“ผู้หญิงชุดขาวคนนั้นก็ดูเหมือนว่าได้ติดตามข้างกายเขามานานแล้ว” ทันใดนั้น ผู้นำของกลืนจันทร์ก็ชี้ไปยัง ไป๋สี่ที่กำลังพูดคุยกับมู่ชิงเกออยู่
สำหรับไป๋สี่แล้ว พวกเขายังพอมีความทรงจำอยู่บ้าง สาวงามขนาดนั้น ทั้งยังปรากฎตัวอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอไม่เพียงแค่หนึ่งครั้งในทุ่งหญ้าอัสดง ทั้งยังดูท่าทางสนิทกับเขาอีก คิดจะทำให้คนไม่สนใจก็ยังยากเลย
“บางทีอาจเป็นคนรักของเขา อายุหนุ่มแน่นเช่นเขา มีสาวงามอยู่ด้วยก็เหมาะสมอยู่” ผู้นำร้อยอัคคีพูดออกมา
“เช่นนั้นอีกคนเล่า?” ผู้นำกลืนจันทร์ชี้ไปยังโห่วที่อยู่อีกข้างของมู่ชิงเกอ
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีมองตามมือของเขาไป ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาก็หดตัวลง รูปร่างของโห่วดูสูงใหญ่ รอยสักบนใบหน้า ทำให้ในใจของพวกเขาเกิดความเย็นยะเยือกขึ้นมา
โดยเฉพาะนัยน์ตาที่ดูดุร้ายคู่นั้นของเขา ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
“เมื่อไหร่กันที่เขี้ยวมังกรมีคนที่ร้ายกาจเช่นนี้อยู่ด้วย?” ผู้นำของยักษ์วิถีพูดอย่างตกตะลึง คนที่สามารถทำให้พวกเขาทั้งสามรู้สึกขนลุกขึ้นนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!
ทั้งสามคนนิ่งเงียบมองหน้ากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าการคงอยู่ของโห่ว ทำให้ในใจของพวกเขาหนักอึ้งขึ้น
“ดูแล้ว การแก่งแย่งผลประโยชน์ในครั้งนี้อาจจะต้องเปลี่ยนจำนวนแล้ว” ครู่หนึ่งผู้นำของร้อยอัคคีถึงได้ชี้นำขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“มีบางเวลาก็ไม่ใช่ว่ามีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งเพิ่มมาหนึ่งหรือสองคนก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้” ผู้นำของยักษ์วิถีพูดอย่างหงุดหงิด
จะให้พวกเขาปล่อยผลประโยชน์ที่อยู่ในปากงั้นหรือ พวกเขาไม่กล้าหาญจริงๆ!
ก็เหมือนคนที่คุ้นเคยกับการกินปลาตัวใหญ่ อยู่ดีๆ ก็จะให้กินมังสวิรัติ พวกเขาต้องรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมากอยู่แล้ว
ดังนั้นไม่เพียงแต่ผู้นำของยักษ์วิถีที่เป็นเช่นนี้ ผู้นำของกลืนจันทร์และร้อยอัคคีสองคนก็เป็นเช่นนี้
หลังจากที่เขาพูดออกไปประโยคนี้แล้ว ในใจก็เกิดอยากจะเสี่ยงโชคขึ้นมา
ถ้าเกิดว่า…ชายคนที่ทำให้คนรู้สึกขนลุกผู้นั้น เป็นเพียงแค่ยอดฝีมือที่เขี้ยวมังกรเชิญมาจากด้านนอกล่ะ?
เพียงแต่มาเพื่อผลประโยชน์แน่นอนว่าจะต้องถูกผลประโยชน์ที่สูงกว่าทำให้ละทิ้งจากจุดเดิม
ทั้งสามคนลอบคิดคำนวณและตัดสินใจในใจ จะต้องสืบหาที่มาของโห่วให้ได้ ต้องหาสาเหตุที่เขามาปรากฎตัวอยู่ในกองกำลังของเขี้ยวมังกรให้ได้
ภายในสองปีนี้พวกเขายังไม่เคยได้ยินว่าเขี้ยวมังกรหรือลั่วซิงเฉิงมีคนเช่นนี้มาก่อน
ตอนนี้ กลุ่มคนบนถนนก็ได้มาถึงใต้หน้าต่างของโรงนํ้าชาแล้ว
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นไปมองยังทางหน้าต่างแวบหนึ่ง นี้ทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ข้างหน้าต่างชะงักไปเล็กน้อย มีความรู้สึกเหมือนถูกจับได้
แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วก็ถอนสายตากลับเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดูเหมือนว่าเขาจะพบพวกเราแล้ว” ผู้นาของยักษ์วิถีเอ่ยออกมา
ผู้นำของร้อยอัคคียิ้มเยาะ “พวกเรายืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เขาจะไม่เห็นได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นพวกเราควรไปทักทายหรือไม่?” ผู้นำของยักษ์วิถีเอ่ยถาม
ผู้นำของกลืนจันทร์กลับส่ายหน้า “เขาพบพวกเรากลับไม่ได้หยุด นั่นก็แสดงให้เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่ได้ต้องการที่จะพูดคุยกับพวกเราในเวลานี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้อง ก้าวออกไปเอง”
เมื่อคนที่เหลืออีกสองคนได้ยินเหตุผลของเขาแล้วก็ล้วนแต่พยักหน้า ชะงักความคิดที่จะออกไป
นอกหน้าต่าง กองกำลังของเขี้ยวมังกรได้เดินผ่านไปแล้ว ค่อยๆ หายไปจากสายตาของผู้คน
ผู้นำของกลืนจันทร์เอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ไปเถอะ พวกเราก็ควรกลับได้แล้ว ในเมื่อเขี้ยวมังกรก็ได้มาถึงแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็สามารถพูดเรื่องหลักกันได้แล้ว ส่วนในคืนนี้ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนเก่าแก่ ร่วมกันต้อนรับพวกเขาสักเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะ”
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็ล้วนแต่พยักหน้า เอ่ยกับกลืนจันทร์ว่า “ดี”
ภายในเมืองเทียนผิง มีเรือนพักจัดเตรียมไว้ให้กับเขี้ยวมังกรเป็นพิเศษ
ภายในกลุ่มหลิวเค่อ เพียงแค่เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับปฐพีขึ้นไป ภายในสมาคมหลิวเค่อก็ล้วนแต่จะมีที่พักเฉพาะของตนเองให้ ส่วนกองกำลังระดับทมิฬและระดับอำพันก็จะมีที่พักรวมจัดให้
ส่วนระดับนภาก็จะมีที่พักส่วนตัว แล้วก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อในเมืองเทียนผิงพาพวกมู่ชิงเกอไปถึงตรงหน้าเรือนพักของเขี้ยวมังกร หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนส่งเทียบเชิญเข้ามา บอกว่าคืนนี้ผู้นำกลืนจันทร์ ร้อยอัคคีและยักษ์วิถี ร่วมกันจัดงานเลี้ยงที่เรือนพักของกลืนจันทร์เพื่อต้อนรับเขี้ยวมังกรรวมทั้งมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเขย่าเทียบเชิญในมือ หัวเราะขบขัน “ดูอย่างไรงานเลี้ยงในคืนนี้ก็ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของงานเลี้ยงหงเหมิน”
“คุณชาย อะไรคืองานเลี้ยงหงเหมิน?” มั่วหยางยืนอยู่ด้านข้างถามออกไป
มู่ชิงเกอรู้ตัวว่าหลุดพูดออกไป จึงหัวเราะกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไร หมายถึงว่าที่อีกฝ่ายเชิญพวกเรานั้นความหมายไม่ได้อยู่ที่งานเลี้ยง เกรงว่าจะวางแผนอะไรไว้”
มั่วหยางนิ่งเงียบลงไป แล้วจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะไปปฏิเสธพวกเขา”
“ไม่ต้อง หากว่าไม่ไปก็จะหมายถึงหวาดกลัวมิใช่หรือ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเอ่ยออกมา
มั่วหยางขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่คาดหวังให้มู่ชิงเกอเหนื่อยล้าในการใช้ชีวิตจนเกินไป หวังจะให้นางพบเจอกลอุบายต่างๆ น้อยลง อาศัยกำลังของเขี้ยวมังกรในตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ไป อย่างมากคนอื่นก็แค่พูดสักสองสามคำไม่กล้าทำอะไรอื่น
มู่ชิงเกอเห็นมั่วหยางเป็นกังวล จึงยิ้มปลอบใจว่า “วางใจเถอะ เป็นเพียงแค่การลอบหยั่งเชิงก็เท่านั้น ไม่ได้จะหยิบอาวุธขึ้นมาฆ่าฟันกันจริงๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว”
มั่วหยางหลุบตาลง กระซิบเอ่ยว่า “ข้าน้อยเพียงแค่คิดว่า คุณชายเพิ่งจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบมาแค่สองปีก็ต้องมาเผชิญหน้ากับบรรดาคนที่น่ารำคาญเหล่านี้แล้ว เป็นเพราะข้าน้อยเองที่ไม่มีประโยชน์”
“เจ้านั้นดีมากแล้ว” มู่ชิงเกอเก็บงำรอยยิ้ม จ้องมองมั่วหยางอย่างจริงจัง
นางไพล่มือเอาไว้ด้านหลังมองออกไปยังบรรยากาศด้านนอก แล้วเอ่ยกับมั่วหยางว่า “เส้นทางที่ข้าเลือก แต่เดิมก็เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามร้อยเล่ห์กลอุบาย หากว่าข้าเอาแต่หลบซ่อนอยู่ในโลกของตนเอง เพลิดเพลินไปกับความสงบสุข เกรงว่าคงจะตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว มั่วหยาง ก่อนที่ศัตรูของข้าจะถูกกำจัดออกไปทั้งหมด ข้าก็ยังไม่สามารถมีความสงบสุขที่แท้จริงได้”
ศัตรู! มู่เทียนอิน!
สองปีมานี้ คนๆ นี้เหมือนกับก้างปลาที่ติดอยู่ในลำคอของนาง ทำให้นางไม่สามารถลืมไปได้เลย
ภายในเหตุผลที่นางต้องแข็งแกร่งขึ้นนั้นได้เพิ่มมาอีก หนึ่งข้อนั้นก็คือการเอาชีวิตของมู่เทียนอิน ก่อนหน้านี้หนึ่งปี ซือมั่วได้ส่งข่าวเกี่ยวกับมู่เทียนอินให้นางบ้าง ข่าวสารเหล่านั้นทำให้นางไม่กล้าผ่อนคลายได้แม้แต่วินาทีเดียว หวังจะรีบไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเพื่อจัดการทุกอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชครูได้คำนวณออกมาแล้วว่า เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างนั้นมีโอกาสมากที่จะตกไปอยู่ในมือของเขาแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่เขา แต่มู่เทียนอินก็จะต้องรู้เบาะแสคร่าวๆ ของเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างแล้วแน่นอน
ภายในส่วนลึกในแววตาของมู่ชิงเกอฉายแววแข็งกร้าว อำมหิต
เข้าสู่ยามคํ่าคืน มู่ชิงเกอนำมั่วหยางแล้วก็ยังมีไป๋สี่และโห่วไปงานเลี้ยงด้วยกัน นอกจากคนที่กล่าวก่อนหน้าแล้ว แน่นอนว่ายังนำองครักษ์เขี้ยวมังกรส่วนหนึ่งไปด้วย
เมื่อถึงเรือนที่พักของกลืนจันทร์คนที่เฝ้าอยู่นอกประตูก็รีบต้อนรับพวกเขา นำพวกเขาเข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น
ไปจนถึงห้องโถง มู่ชิงเกอกลับพบว่า ผู้นำของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีล้วนแต่มากันครบแล้วและก็นั่งอยู่ตรงที่ใครที่มันจิบชา ที่นั่งที่ว่างอยู่แน่นอนว่าเป็นของเขี้ยวมังกร
เมื่อคนที่นำทางพวกเขาเข้ามาสู่ห้องโถงทำหน้าที่สำเร็จแล้วก็ถอยออกไป
มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังตำแหน่งที่ว่าง แต่ไม่ได้เข้าไปนั่งในทันที เพียงแต่ยืนอยู่กลางห้องโถง
เวลานี้ ผู้นำของกลืนจันทร์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็มองไปยังเขา เอ่ยปากขึ้นว่า “เจ้าเมืองมู่ก็มา ช่างทำให้พวกเรารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ เดินทางมาจากลั่วซิ งเฉิงคงลำบากมิใช่น้อย มาๆ ชาจอกนี้ถือเป็นการล้างฝุ่นต้อนรับเจ้าเมืองมู่”
พูดแล้วเขาก็สะบัดมือดีดออกไป แสงสีทองสายหนึ่งส่งจอกชาร้อนบนโต๊ะให้พุ่งไปยังมู่ชิงเกอ
พลังสายนี้นำพาพลังระดับสีทองมาด้วย
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีเผยท่าทีดูสนุกเหมือนรอชมละคร ล้วนคิดอยากจะเห็นว่ามู่ชิงเกอจะรับชาจอกนี้ได้อย่างไร
พร้อมกันนั้น ในตอนที่จอกชาเข้าไปใกล้ มู่ชิงเกอกลับคว้าจับมันอย่างสบายๆ แล้วยกจอกชาที่กุมอยู่ในมือขึ้น ไปจรดที่ริมฝีปาก ชิมไปหนึ่งคำแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมาเอ่ยว่า “ชาดี”
ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของผู้นำทั้งสามหดตัวลง ตกตะลึงเป็นอย่างมาก!