Skip to content

พลิกปฐพี 350

ตอนที่ 350

สี่ฝ่ายร่วมพูดคุย

“เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงขนาดนี้ได้อย่างไร! ชิงเกอกำลังทำอะไร?” ไป๋สี่มองดูพลังจิตที่หมุนวนกลายเป็นกรวยนั้นแล้วก็หลุดเสียงพูดออกไป ในนํ้าเสียงของนางยังซ่อนไว้ด้วยความเป็นกังวล

“เจ้านายกำลังจะทะลวงระดับแล้ว” เหมิงเหมิงก็ปรากฎตัวอยู่ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ นางเป็นจิตวิญญาณแห่งช่องว่าง เมื่อช่องว่างมีการเปลี่ยนแปลงนั้นนางรู้ดีที่สุด

“ทะลวงระดับ? เช่นนั้นความเคลื่อนไหวก็ใหญ่โตเกินไปแล้ว” ไป๋สี่พูดออกมาอย่างแปลกใจ

โห่วกอดแขนไว้ด้านหน้าหน้าอก มองการเคลื่อนไหวของเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ยิ้มเยาะพูดออกไปว่า “เด็กคนนี้เกิดขึ้นมาก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเปรียบเทียบได้ การ เคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ถือว่าปกติมากถึงจะถูก”

เมื่อโห่วเอ่ยปาก ไป๋สี่ก็หุบปากทันที

จนถึงตอนนี้ในใจของนางยังมีเงามืด จดจำครั้งแรกที่โห่วเพิ่งจะมาถึงและเคยคิดจะควักเอาอวัยวะภายในของนางออกมารักษาบาดแผล

ดังนั้น สำหรับลูกพี่ท่านนี้ นางยังคงต้องรักษาระยะห่างเอาไว้จะดีกว่า

เหมิงเหมิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “เจ้านายไม่เป็นอะไร การทะลวงสู่ระดับสีทองในครั้งนี้น่าจะไม่มีปัญหา รอนางเข้าสู่ระดับ สีทองแล้ว ช่องว่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้าก็จะเลื่อนระดับขึ้นเช่นเดียวกัน” พูดแล้วก็ก็หมุนกายจะจากไป

“เหมิงเหมิง เจ้าจะไปไหน?” ไป๋สี่หันไปมองนาง

เหมิงเหมิงหยุดลงแล้วเอ่ยว่า “หาที่นอน”

พูดแล้วนางก็จากไป ไป๋สี่ใช้สายตาส่งนางจากไป ลอบถอนหายใจในใจ นับตั้งแต่หยวนหยวนเกิดเรื่องเป็นต้นมา บนใบหน้าของเหมิงเหมิงก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้นน้อยลงมาก

ภายในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ มู่ชิงเกอกำลังดำดิ่งอยู่ในการทะลวงระดับ นางชักนำพลังจิตของนางบุกโจมตีขอบเขตเลื่อนระดับไม่หยุด คิดจะเคาะมันให้แตก แต่ว่าขอบ เขตนั้นหนาและแข็งแกร่งกว่าของคนธรรมดามาก นางรู้สึกว่าเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว แต่บนขอบเขตนั้นนอกจากรอยร้าวที่ถี่ยิบแล้วก็ยังคงไม่แตกออก

ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางกัดฟันออกแรงดูด

ชั่วขณะนั้น พลังจิตที่หมุนวนรอบกายของนาง ก็พุ่งเข้ามาภายในร่างกายในพริบตา กรวยพลังจิตที่อยู่นอกเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ก็ถูกดูดเข้ามาเช่นเดียวกัน เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นเล็กลงมาก

ไป๋สี่และโห่วล้วนแต่สังเกตเห็น ทั้งดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ใกล้เคียงกับเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ก็ล้วนแต่เริ่มแห้งเหี่ยว ภายในเจดีย์มู่ชิงเกอเอาโอสถเพิ่มพลังจิตออกมาแล้ว กลืนลงไปในปาก เติมพลังจิต จากนั้น นางก็ใช้แรงพุ่งชนขอบเขตอีกครั้ง

แครก!

เสียงแตกดังขึ้น

ถึงแม้ว่าเสียงนี้จะเล็กนิดเดียวแต่ก็ดังพอที่จะเสริมกำลังใจให้มู่ชิงเกอได้

นัยน์ตาของนางฉายแววยินดี สะสมพลังพุ่งเข้าชนขอบเขตอย่างรุนแรง

แครก!

แครก!

เสียงแตกเริ่มดังขึ้นมาเรื่อยๆ มู่ชิงเกอยิ่งเหมือนได้รับกำลังใจเพิ่มมากขึ้น

ภายในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์นางนั่งสมาธิอย่างสงบ แต่ดำดิ่งลงไปในการฝึกปรือ พลังจิตที่หมุนวนอยู่รอบกายของนางก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าพลังจิตของทั้งเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์จะถูกนางดูดมาทั้งหมด

ปัง!

ปัง ปัง!

ปัง!

แครก!

ในที่สุดขอบเขตอันแข็งแกร่งก็พังทลายลงกลายเป็นความว่างเปล่า พลังจิตที่สั่งสมมาเป็นเวลานานกรูพุ่งเข้าไปยังพื้นที่ด้านหลังขอบเขต

ชั่ววินาทีนี้พลังจิตในร่างของมู่ชิงเกอค่อยๆ เปลี่ยนจากสีทองจางๆ เป็นสีทองบริสุทธิ์

พลังจิตสีทองเข้าไปชำละล้างเส้นชีพจร เลือดเนื้อและกระดูกของมู่ชิงเกอไม่หยุด เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างเนื้อของนาง ในวินาทีที่นางทะลวงระดับนั้นทั้งตัวคนก็ เปล่งแสงสีทองสาดกระจายสะท้อนแสบตา

รอจนทุกอย่างสงบเงียบแล้ว มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองมือของตนเอง เอ่ยว่า “ระดับสีทองชั้นหนึ่ง”

ในที่สุดนางก็เข้าสู่ระดับสีทองแล้ว!

บึ้ม!

ทันใดนั้น ภายในช่องว่างก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา ตัดบทความคิดของมู่ชิงเกอ

นางลุกขึ้นมาในทันที หายตัวไปจากที่เดิม ในตอนที่ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งนั้นก็ได้ไปยืนที่นอกเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์แล้ว ส่วนตรงหน้าของนางนั้นมีโห่วกับไป๋สี่ยืนอยู่ ทั้งสามคนล้วนแต่รู้สึกได้ถึงช่องว่างที่สั่นไหว บรรดาภูเขาที่อยู่ห่างไกลดูเหมือนว่าสั่นสะเทือนและพังทลายลง ผืนดินแยกออก สายน้ำไหลกลับ ทั่วทั้งช่องว่างดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ไป๋สี่มองนางแล้วเอ่ยว่า “เหมิงเหมิงพูดว่า เมื่อเจ้าทะลวงสู่ระดับสีทองแล้ว ช่องว่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนนางก็จะเลื่อนระดับเช่นเดียวกัน สถานการณ์ ในตอนนี้เกรงว่าคงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นางหมายถึง”

มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้าก็ตามข้าออกไปชั่วคราวเถอะ”

พูดแล้วทั้งสามคนก็ออกจากช่องว่างไปปรากฎตัวในโลกภายนอก

ส่วนเรื่องที่ช่องว่างและเหมิงเหมิงจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรนั้น มู่ชิงเกอยังไม่รู้ แต่ว่านางกลับรู้ว่าตอนนี้นั้นนางได้ทะลวงเข้าสีระดับสีทองแล้วจริงๆ ช่องว่างของนางสามารถนำคนเข้าไปได้แล้ว นี่ทำให้นางมีไพ่ตายที่เยี่ยมยอดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างไม่ต้องสงสัย การต่อสู้ที่รุนแรงในครั้งก่อนที่ก่อให้เกิดความเสียใจได้รับโอกาสในการแก้ไขแล้ว

“คุณชาย ยังเหลือเวลาอีกสองวัน พวกเราก็จะถึงเมืองเทียนผิงแล้ว” หลังจากออกจากช่องว่างแล้ว มั่วหยางก็มารายงานต่อหน้ามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า สั่งการให้ทุกคนออกเดินทางต่อ

มั่วหยางมองเห็นไป๋สี่และโห่วข้างกายของมู่ชิงเกอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่ถอยหลังกลับไป

มู่ชิงเกอมองโห่วแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเอ่ยว่า “ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าก็ถือว่าหายดีพอสมควรแล้ว หากว่าเจ้าคิดที่จะไป ข้าก็จะถอดห่วงลูกที่อยู่บนคอของ เจ้าออกให้”

สองปีที่ผ่านมานี้ โห่วฝึกปรือรักษาบาดแผลอยู่ในช่องว่างของนางมาโดยตลอด นางก็ให้ทั้งนํ้าและอาหาร รวมถึงพวกโอสถต่างๆ เขาจึงไม่เคยต้องกังวลใจ

ไม่ได้คิดวางแผนอะไร เพียงเพราะต้องการตอบแทนที่เขาคุ้มครองในตอนที่อยู่ในหานชุ่นเท่านั้น เพียงแต่ว่าโห่วไม่เคยเสนอเรื่องจะถอดห่วงลูกที่อยู่บนคอออกเลย และก็ไม่เคยพูดเรื่องจะจากไป เรื่องนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง วันนี้ที่นางถามขึ้นเองก็ถือเป็นการคาดเดาหยั่งเชิงความคิดของเขาด้วย

โห่วกลับพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่เขย่าห่วงแม่ และข้าก็คุ้นชินกับมันแล้ว รู้สึกว่ามันก็ดูสวยดี สวมไว้ต่อไปเถอะ”

พูดแล้วนัยน์ตาของเขาก็ฉายแววอำมหิต กัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะไล่ข้าไปงั้นหรือ?”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่เจ้าพูดเองหรือว่าจะไปตามหาศัตรูของเจ้าเพื่อแก้แค้น?”

โห่วสบถอย่างหยิ่งยโส เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ถึงอย่างไร ไม่ช้าหรือเร็ว เจ้าก็ต้องไปแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารอยู่ดี ดังนั้นข้าก็จะรอไปพร้อมเจ้า ให้ไอ้สารเลวนั้นได้ใช้ชีวิตเพิ่มไปอีกสักหลายปี!”

มู่ชิงเกอกะพริบตาไร้คำพูดจะโต้ตอบ โห่วมองเห็นท่าทีของนางเช่นนั้น ก็แสดงท่าทางดุร้ายขึ้นมา ทำให้รอยสักที่มุมปากของเขาดูดุร้ายมากขึ้นไปอีก “อย่างไร? ข้าอยู่ต่อแล้วเจ้าไม่ดีใจหรือ?”

“ไม่กล้า ไม่กล้า!” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกรีบเอ่ย ออกไปในทันที

“ชิ ค่อยดีขึ้นหน่อย” โห่วสบถออกไป ท่าทางดูภูมิอกภูมิใจมาก

ในใจของมู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงนาง ดังนั้นถึงได้อยู่ต่อเพื่อดูแลนาง แต่ยังแสร้งทำตัวเป็นหยิ่งยโสอีก

แม้ว่านางกับโห่วจะถอนพันธสัญญากันแล้ว แต่ว่ากลับแลกมาด้วยความจริงใจจากโห่ว นี่ไม่มีอะไรที่ไม่ดี

เลิกคิ้วแล้วมู่ชิงเกอก็เผยรอยยิ้มที่ตรึงตาตรึงใจออกมา

เมืองเทียนผิงเป็นเมืองของหลิวเค่อ

ที่นี่เป็นสวรรค์ของหลิวเค่อและก็เป็นสถานที่ที่บรรดาตระกูลต่างๆ มากมายไม่ยอมเข้ามาใกล้

เพราะว่าพวกเขาคิดว่าที่นี่ไม่มีกฎระเบียบและอึกทึกวุ่นวายเกินไป แต่มีเพียงแค่คนที่เข้ามาสัมผัสที่นี่จริงๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่า เลือดเนื้อของที่นี่นั้นเป็นอะไรที่แท้จริงยิ่งกว่า และก็ไม่ค่อยมีอุบายหรือเล่ห์กล

เพียงแค่เขี้ยวมังกรเข้ามาสู่เขตเมืองเทียนผิง ข่าวสารก็กระจายไปยังสมาคมหลิวเค่อภายในเมืองเทียนผิงในทันที

ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อในเมืองก็นำลูกน้องมานอกเมือง เพื่อต้อนรับทันที

ส่วนบนถนนที่ต้องใช้เดินทางเข้าเมือง บนโรงนํ้าชาแห่งหนึ่ง สามผู้นำหลักของโลกแห่งหลิวเค่อก็รวมตัวกันอีกครั้ง นั่งอยู่โต๊ะข้างหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกก็พอดีมองเห็นบรรยากาศบนท้องถนน

“พวกเจ้าว่าภายในเวลาสองปีมานี้ กำลังของเขี้ยวมังกร พัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้นำของกลืนจันทร์โยนเปลือกถั่วในมือลง มองไปยังอีกสองคนที่เหลือ

ผู้นำของร้อยอัคคี ยกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “ในเวลาสองปีมานี้ ลั่วซิงเฉิงพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก เกรงว่าทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางคงไม่มีใครไม่รู้จักลั่วซิงเฉิงแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าตำหนักเทพได้ส่งคนเข้าไป และก็ไม่รู้ว่าไปพูดคุยอะไร”

“ยังจะเป็นอะไรได้อีก? ลั่วซิงเฉิงนั้นนอกจากจะมีเขี้ยวมังกรแล้ว ในสองปีนี้ยังจัดตั้งองครักษ์ปีกมังกร แล้วก็ยังมีกองทัพมังกรซ่อนนับหมื่นคนอีก พูดกันว่าตอนนี้ยังขยายเรื่อยๆ ต้องการจัดตั้งกองทัพเลือดมังกรอีกสาขาหนึ่ง จัดตั้งก็เป็นหมื่นคน จัดตั้งกองกำลังใหญ่โตขนาดนี้ ตำหนักเทพก็ต้องไปสืบความ” ยักษ์วิถีเอ่ย

อีกสองคนพยักหน้าเงียบๆ กลืนจันทร์ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าว่าที่เขี้ยวมังกรรับ สมัครคนมากมายขนาดนี้นั้นคือคิดจะทำอะไร? คงไม่ใช่ว่าเพื่อจะมายึดเมืองอื่นๆ หรอกใช่ไหม?”

“ไม่รู้ เจ้าเมืองมู่ของลั่วซิงเฉิงผู้นั้นทำตัวลึกลับมาโดยตลอด หลายปีมานี้ที่พวกเราตามสืบเกี่ยวกับเขา ก็สืบออกมาได้แค่เขาปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกที่หมู่บ้านชาว ประมงเล็กๆ ในภาคใต้ เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีกลับทำให้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมากมาย ทั้งยังจัดตั้งลั่วซิงเฉิง ทั้งยังมีรูปแบบที่ดี ตระกูลฝั่งมารดาคือตระกูลซาง แต่ตระกูลฝั่งบิดากลับลึกลับมาตลอด” ผู้นำร้อยอัคคีค่อยๆ ส่ายหน้า

“เช่นนั้นครั้งนี้…” ผู้นำยักษ์วิถีเอ่ยลองเชิง

เพื่อพูดมาถึงครั้งนี้ เรื่องที่ฐานกำลังทั้งสี่มารวมตัวกันในเมืองเทียนผิง ทั้งสามคนลอบมองตากันแวบหนึ่งแล้วนิ่งเงียบลง

เรื่องที่มู่ชิงเกอทำให้คนรู้สึกว่ายากจะต่อกรนั้นไม่ใช่เป็นเพราะที่มาของเขา แต่เป็นเพราะว่าเขายังมีสถานะอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพอีกสถานะหนึ่ง

“เจ้าเมืองมู่นั้นเป็นถึงอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ พวกเราทั้งสามคนก็ไม่ใช่ว่าคาดหวังจะมียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพของตนเองสักชิ้นมิใช่หรือ? ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่โลภในยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ แต่หากว่ายั่วยุเขาให้โมโห แล้วเขาใช้ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเป็นเหยื่อล่อให้คนมาต่อกรกับพวกเรา พวกเราก็มีแต่จะต้องสูญเสีย” ผู้นำของร้อยอัคคีส่ายหน้าและเอ่ยออกมา

ประโยคนี้พูดได้ตรงใจของอีกสองคนที่เหลือ

ที่พวกเขาหวาดกลัวก็คือจุดๆ นี้ มิเช่นนั้นจะถือเอาเจ้าเมืองหนุ่มที่มีระดับฝึกปรืออยู่เพียงแค่ระดับสีเงินชั้นสามมาอยู่ในสายตาทำไม?

แต่โลกแห่งยุคกลางนับร้อยพันปีมานี้ กองกำลังระดับนภามีเพียงแค่พวกเขาสามกอง ทุกครั้งที่แบ่งปันผลประโยชน์ก็มีเพียงแค่สามฝ่ายมาพูดคุย

ครั้งนี้มีฝ่ายหนึ่งเพิ่มเข้ามาแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ว่าจะ เป็นใครในสามฝ่าย หัวใจของพวกเขาก็ล้วนแต่รู้สึกอึดอัดและไม่เต็มใจ

ทั้งสามคนนิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายผู้นำของกลืนจันทร์ก็ได้พูดขึ้นว่า “เรื่องแบ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องแบ่ง แต่ว่าจะแบ่งอย่างไรนั้นก็ต้องอาศัยความสามารถของใครของมันแล้ว”

ประโยคนี้ทำให้ในใจของอีกสองคนล้วนแต่คิดคำนวณ

ส่วนในเวลานี้ มู่ชิงเกอก็ได้นำองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามาในเมืองเทียนผิงเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ร่วมทางมาแน่นอนว่ายังมีไป๋สี่และโห่ว

นอกเมือง ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อก็นำคนสนิทสองคนออกไปรอต้อนรับที่หน้าประตูเมือง

เมื่อมองเห็นพวกเขามาแล้ว ก็ก้าวออกไปแสดงสถานะ แล้วก็นำพวกเขาทั้งร้อยกว่าคนเข้าไปในเมือง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version