ตอนที่ 349
เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ?
ภายในตระกูลหานสามวันนี้ นอกจากวันแรกที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมาแล้ว ที่เหลืออีกสองวัน ล้วนแต่ว่างสบายมาก
มู่ชิงเกออยู่ในเรือนหลังเล็กที่หานฉายไฉ่จัดให้แก่นาง สงบใจฝึกปรือ รวมรวมพลังจิตเพื่อทะลวงระดับต่อ ด้านใน ด้านนอกมีทั้งมั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรคอยเฝ้า
“คุณชาย สองวันมานี้ตระกูลหานมีเรื่องบางเรื่องเกิดขึ้น” วันที่สาม หลังจากที่มู่ชิงเกอฝึกปรือเสร็จแล้ว มั่วหยางก็มาปรากฎตัวต่อหน้านางและพูดขึ้น
“เรื่องอะไร?” มู่ชิงเกอจัดรอยยับบนเสื้อของตนเองแล้ว ถามออกไป
มั่วหยางเอ่ยอย่างเรียบสงบว่า “สองวันมานี้ คุณชายใหญ่ของตระกูลหานได้รับบาดเจ็บหนัก ส่วนหานอี้เหรินผู้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะโดนอะไรบางอย่างกระตุ้นเข้าทำให้สูญเสียความทรงจำไปอย่างกะทันหัน กลายเป็นคนบ้าไป”
ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง เรี่องที่เกิดขึ้นในคืนก่อนหน้านี้ นางไม่ได้เล่าให้มั่วหยางฟัง
แต่เมื่อได้ยินในวันนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเรื่องของหานหัวหั่วกับหานอี้เหรินถูกเปิดเผยแล้ว
มู่ชิงเกอเก็บประกายวาววาบบนแววตากลับไป เอ่ยถามว่า “ตระกูลหานว่าอย่างไรบ้าง?”
มั่วหยางค่อยๆ ส่ายหน้า “ภายในตระกูลหานดูเหมือนว่า จะมีการพูดคุยถึงเรื่องนี้น้อย ดูเหมือนว่าจะมีคนลอบควบคุมไม่ให้ข่าวกระจายออกไป เพียงแต่ได้ยินว่า
ตระกูลหานได้เชิญอาจารย์ปรุงยาจำนวนไม่น้อยมารักษาทั้งสองคน แต่กลับไร้ผล”
มู่ชิงเกอพยักหน้า พูดกับเขาว่า “เรื่องของตระกูลหานไม่เกี่ยวกับพวกเรา บอกคนอื่นๆ ว่าไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เก็บข้าวเก็บของ พรุ่งนี้ก็สมควรที่จะไปแล้ว”
“ขอรับ คุณชาย” หลังจากมั่วหยางรับคำสั่งแล้วก็โค้งกายถอยออกไป
หลังจากเขาจากไปได้ไม่นาน มู่ชิงเกอก็มองเห็นหานฉายไฉ่ถือไหสุราไหหนึ่งเดินเข้ามา ชุดลายดอกไม้บนตัวของเขา พลิ้วไหวตามสายลม รวมกับใบหน้าอันมีเสน่ห์ของเขาแล้ว สามารถรับคำชมว่างดงามสองคำนี้ได้สบายๆ
มู่ชิงเกอมองเขาเดินมาถึงตรงหน้าของตนเองและนั่งลง เปิดจุกไหสุราออก แล้วก็หยิบจอกบนโต๊ะขึ้นมารินลงไป
วางไหสุราลงแล้วหานฉายไฉ่ก็ยกจอกสุราของตนเองขึ้น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พรุ่งนี้ก็ต้องไปแล้วงั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอก็ยกจอกของตนเองขึ้นมา พยักหน้าเอ่ยว่า “เวลาเหลือไม่มากแล้ว”
หานฉายไฉ่ยิ้มมองไม่เห็นอารมณ์ที่แท้จริงภายในนัยน์ตาเรียวยาว “เช่นนั้นข้าก็ขอให้เจ้าเดินทางอย่างราบรื่น ได้ของกลับมาเต็มที่”
มู่ชิงเกอยกจอกของตนเองขึ้นชนกับเขาแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ได้ของกลับมาเต็มที่นั้นหมายความว่าอย่างไร?”
หานฉายไฉ่วางจอกสุราลง แล้วถึงได้ยิ้มอย่างมีเลศนัยเอ่ยว่า “เมืองเทียนผิงนั้นเป็นพื้นที่ของหลิวเค่อ ที่นั้นไม่มีตระกูล แต่มีสมาคมของเหล่าหลิวเค่อเป็นผู้ดูแลจัดการ ทั้งเมืองเทียนผิงยังใกล้กับเทือกเขาเล่อลุ่ย เทือกเขาเล่อลุ่ยก็ถือว่าเป็นเขตชายแดนหนึ่งระหว่างหลินชวนกับโลกแห่งยุคกลาง ที่นั้นมีเหมืองศิลาวิญญาณอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเมืองเทียนผิง เขาอวี้เหยียนสาขาหนึ่งของเทือกเขาเล่อลุ่ยนั้นเป็นเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางของสมาคมของเหล่าหลิวเค่อ หากว่าเจ้าบอกข้าว่าไปเมืองเทียนผิงเพื่อท่องเที่ยว ข้าไม่มีทางเชื่อ”
พูดแล้วเขาก็มองมู่ชิงเกอที่กำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “นับดูเวลาแล้ว ก็ถึงเวลาที่สมาคมของเหล่าหลิวเค่อจะแบ่งสรรค์ปันส่วนผลประโยชน์กันแล้วพอดี”
“เจ้าช่างรู้ดียิ่งนัก” มู่ชิงเกอพูดยิ้มๆ
หานฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาเรียวยาวฉายแววเปล่งประกาย “อย่าลืมละว่าหอสรรพสิ่งของตระกูลหานของข้านั้นมีไว้ทำอะไร”
“ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ขอเพียงแต่จ่ายเงินก็พอ” มู่ชิงเกอยิ้มพูดคำขวัญของหอสรรพสิ่งออกมา
หายฉายไฉ่ยิ้มออกมา เติมจอกสุราของทั้งสองคนให้เต็มอีกครั้ง
สุราร้อนแรงตกลงสู่ท้อง บางสิ่งที่ปลดปล่อยออกไปแล้วก็ถือโอกาสระเหยออกไป
“เดิมคิดจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยักษ์วิถีเสียหน่อย แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่มู่ชิงเกอที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางแล้ว เรื่องที่เจ้าคิดจะรู้ คิดว่าคงจะได้รู้ไปนานแล้ว ข้าก็จะไม่สอนจระเข้ว่ายนํ้าแล้ว” หานฉายไฉ่ยิ้มเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอกลอกตาไปมา หัวเราะและเอ่ยขึ้นว่า “แต่ข้ากลับคิดจะร่วมมือเรื่องเครือข่ายข่าวกรองกับหอสรรพสิ่ง”
ประโยคนี้ของนาง ทำให้มือของหานฉายไฉ่ชะงัก นัยน์ตาเรียวยาวเผยร่องรอยคิดคำนวณ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าสามารถจ่ายได้เท่าไหร่ เจ้าก็รู้ว่าข่าวสารของหอ สรรพสิ่งนั้นไม่ใช่ราคาถูกๆ”
มู่ชิงเกอพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางขี้เกียจ นางมองหานฉายไฉ่ แล้วเอ่ยว่า“ในเมื่อเป็นการร่วมมือกันก็แน่นอนว่าต้องเป็นวิธีที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”
“พูดมารอฟังอยู่” ท่าทีของหานฉายไฉ่ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
นิ้วของมู่ชิงเกอเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กลง เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “แม้ว่าในตอนนี้ข้าจะมีเครือข่ายข่าวกรองเป็นของตนเอง แต่ว่าเวลาในการจัดตั้งก็สั้นเกินไป มีสถานที่มากมายที่ยังเข้าไปไม่ถึง ที่ข้าต้องการก็คือแบ่งปันข้อมูลกับหอสรรพสิ่ง”
“ความต้องการไม่ธรรมดาเลย เจ้าจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน?” หานฉายไฉ่หัวเราะเสียงเย็นออกมา
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น หัวเราะเอ่ยว่า “ข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหานของเจ้าขาดแคลน เช่นนั้นข้าก็จะใช้โอสถกับยุทธภัณฑ์แลกเปลี่ยนเป็นอย่างไร?”
“จะแลกเปลี่ยนกันอย่างไร?” หานฉายไฉ่เอ่ยถามต่อ
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้น “ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า ทุกๆ ปีข้าจะจัดโอสถกับยุทธภัณฑ์จำนวนหนึ่งให้ตระกูลหาน ที่ตระกูลหานต้องทำก็เพียงแต่ให้ข้อมูลที่ข้าต้องการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วก็ข้อมูลที่พวกเจ้าเก็บในทุกๆวัน หากเกี่ยวกับข้าหรือเขี้ยวมังกรก็ต้องแจ้งให้ข้ารู้ในทันที ส่วนข้อมูลอื่นๆ ก็คัดลอกส่งไปยังลั่วซิงเฉิงชุดหนึ่งทุกเดือน”
“การค้าขายในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่คุ้มค่ากับข้าเลย” หานฉายไฉ่ยิ้มเยาะ
มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจเอ่ยว่า “ข้าจะไม่ไปแย่งธุรกิจข่าวกรองของเจ้า ดังนั้นข้อมูลที่เจ้าคัดลอกให้ข้าชุดหนึ่ง นั้นก็ไม่ทำให้เสียหาย แต่โอสถกับยุทธภัณฑ์ของข้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะได้รับ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ที่ได้เปรียบก็กลับกลายเป็นข้าแล้วงั้นหรือ?” หานฉายไฉ่ยิ้มเยาะ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “แน่นอน!”
หานฉายไฉ่หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ “ปริมาณที่แน่นอนของเจ้าคือเท่าไหร่”
มู่ชิงเกอยืดกายมาข้างหน้า จ้องมองนัยน์ตาเรียวยาวคู่ นั้นของหานฉายไฉ่แล้วเอ่ยว่า “ทุกปี โอสถระดับเทวะสิบเม็ด โอสถระดับสมบัติร้อยเม็ด ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะสิบชิ้น”
หานฉายไฉ่กำลังจะพูด มู่ชิงเกอก็ขัดจังหวะเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งรีบต่อรองราคา เจ้าก็เคยไปชั้นหนึ่ง น่าจะรู้ดีว่าราคาของของเหล่านี้นั้นมีราคาเท่าไหร่”
หานฉายไฉ่เม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเรียวยาวมองจ้อง มู่ชิงเกออย่างยาวนานไม่พูดจา ครู่หนึ่งเขาถึงได้ค่อยๆ พูดขึ้นว่า “โอสถระดับสมบัติเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเพิ่มอีกสองชิ้น”
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น ส่ายหน้าเอ่ยว่า “อย่าคิดได้คืบแล้วจะเอาศอก”
หานฉายไฉ่กลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรื่องราคาก็ล้วนต้องพูดคุยกันได้”
“ที่เจ้าเพิ่มนั้นเป็นไปไม่ได้” มู่ชิงเกอปฏิเสธไปตรงๆ
หานฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“เช่นนั้นโอสถระดับสมบัติหนึ่งร้อยแปดสิบเม็ด ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะสิบเอ็ดชิ้น”
“โอสถระดับสมบัติหนึ่งร้อยสามสิบเม็ด ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะสิบชิ้นไม่เปลี่ยน” มู่ชิงเกอต่อรอง
หานฉายไฉ่ค่อยๆ ส่ายหน้า “เพิ่มอีกยี่สิบเม็ด”
“ได้! ตามนี้” มู่ชิงเกอตบโต๊ะตกลง
มุมปากของหานฉายไฉ่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเสน่ห์เอ่ย กับมู่ชิงเกอว่า “หากรู้ก่อนว่าวันนี้จะพูดกับเจ้าได้ง่ายเช่นนี้ข้าสมควรจะยกราคาให้สูงขึ้นอีกหน่อย”
“เช่นนั้นก็ต้องโทษตัวเจ้าเองแล้ว” มู่ชิงเกอเยาะเย้ย
หานฉายไฉ่ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ดูภายนอกเหมือนว่าข้าชนะ แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเจ้าชนะ มู่ชิงเกอ เมื่อไหร่กันที่ข้าจะสามารถเอาชนะเจ้าจริงๆ ได้สักครั้ง?”
มู่ชิงเกอหัวเราะพยักหน้า “ข้าพร้อมรอเสมอ”
หานฉายไฉ่ยกจอกสุราขึ้น เอ่ยกับนางว่า “พรุ่งนี้ข้ายังมีธุระขี้เกียจจะไปส่งเจ้า หากว่าเจ้าไม่คุ้นเคยกับภาคเหนือ ข้าสามารถส่งคนไปนำทางให้เจ้าได้”
“ไม่จำเป็นต้องสนใจข้า ข้าสามารถเดินทางมาจากหลินชวนได้ แล้วจะมาตกที่นั่งลำบากเพียงเพราะภาคเหนือได้อย่างไร? เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ” มู่ชิงเกอก็ยกจอกสุราขึ้นมา
หลังจากทั้งสองคนดื่มสุราที่หานฉายไฉ่นำมาหมดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นและจากไป เงาร่างสุขุมหล่อเหลา ไม่มีความเหลาะแหละชักช้า
รอจนเขาจากไปแล้ว มั่วหยางถึงได้เข้ามา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย การเจรจาในครั้งนี้ดูพูดง่ายขึ้นเล็กน้อย”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองเขา ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้าติดตามข้ามาหลายปี จนขี้เหนียวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
มั่วหยางนิ่งเงียบไม่พูดจา
มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา ไพล่สองมือไว้เบื้องหลัง มองไปยังบรรยากาศด้านนอก ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “สำหรับข้าแล้ว หานฉายไฉ่สามารถปล่อยวางความคิดในใจลงได้ก็ถือ เป็นกำไรอย่างหนึ่งแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ได้เปรียบเขาไปไม่น้อยแล้ว เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ บ้างจะเป็นไรไป?”
คำตอบของมู่ชิงเกอทำให้มั่วหยางไม่สามารถโต้เถียงได้ เพียงแต่มองนางเงียบๆ ส่วนลึกในใจที่ไม่มีใครล่วงรู้นั้นนุ่มนวลกว่าปกติ
คนนอกมองเห็นเพียงแต่ความแข็งแกร่งและความโดดเด่นเจิดจ้าของมู่ชิงเกอ จะเข้าใจละเอียดถึงภายในหัวใจของนางได้อย่างไร?
ในใจของนาง อะไรสำคัญ อะไรที่สามารถเลือกได้นางเข้าใจดีมาโดยตลอด และไม่เคยมีอะไรมีอิทธิพลต่อมันได้
วันที่สอง มู่ชิงเกอนำองครักษ์เขี้ยวมังกรออกจากเมืองเฟิงหยุน หานฉายไฉ่ก็เป็นดั่งที่เขาพูด ไม่ได้ปรากฎตัว เพียงแต่ส่งคนสนิทข้างกายคนหนึ่งมาส่งนางออกเดินทาง ส่งจนกระทั่งพวกมู่ชิงเกอออกจากเขตของเมืองเฟิงหยุนแล้วถึงได้กลับไป มู่ชิงเกอและคนอื่นๆ เดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนผิง
ยี่สิบกว่าวันผ่านไป ใกล้เมืองเทียนผิงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนมู่ชิงเกอก็ผ่านการสะสมมาเกือบหนึ่งเดือน จึงค่อยรู้สึกถึงขอบเขตที่จะทะลวงระดับอีกครั้ง
ครั้งนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ทะลวงระดับอยู่ด้านนอก แต่เข้าไปในช่องว่าง ภายในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์
ภายในนั้นมีไอพลังจิตเต็มที่มากที่สุด สามารถช่วยเหลือนางในขณะที่นางจะทะลวงระดับ
ภายในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ มู่ชิงเกอนั่งสมาธิ รอบกายเต็มไปด้วยพลังจิตทำให้ความมั่นใจของนางเพิ่มขึ้นมาหน่อย นางเอาขวดโอสถออกมาสามขวด แล้วก็เททั้ง หมดออกมา
โอสถระดับเทวะเก้าเม็ดล้วนแต่ถูกใช้ไปกับการทะลวงระดับ
มู่ชิงเกอมองโอสถเก้าเม็ดในมือ พึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “ครั้งนี้ทะลวงระดับอยู่ในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์รวมกับโอสถเก้าเม็ดไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”
พูดแล้ว นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ใช้โอสถทั้งเก้าเม็ดนั้นลงไป
หลังจากโอสถทั้งเก้าเม็ดตกลงสู่ท้องแล้ว ภายในร่างกายของนางก็ถูกเติมเต็มด้วยพลังจิต พุ่งทะลวงไปยังขอบเขตสีทอง
มู่ชิงเกอรวบรวมสติ เข้าไปอยู่ในสภาวะฝึกปรือ
นางควบคุมความบ้าคลั่งของพลังจิตพยายามบุกทะลวงขอบเขตอยู่เรื่อยๆ
ขอบเขตชั้นนั้นเริ่มเกิดรอยร้าวจากการที่ถูกพลังทั้งหมดของนางเข้าพุ่งชนเต็มกำลัง
ภายในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์พลังจิตที่เดิมสงบนิ่งดูเหมือนว่าจะถูกมู่ชิงเกอชักนำ เริ่มเกิดหมุนวนขึ้นมา ดุจดั่งสายลมอันบ้าคลั่ง หมุนวนโอบล้อมรอบตัวมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว แล้วก็ถูกดูดเข้าไปในร่างกายของนาง
ชั่วขณะนั้น พลังจิตทั้งหมดภายในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ก็ล้วนแต่ขยับเคลื่อนไหวขึ้นมา แม้แต่ท้องฟ้าภายในช่องว่างก็ยังเกิดความเปลี่ยนแปลง
โห่วที่ฝึกฝนอยู่ในช่องว่าง ทั้งยังมีไป๋สี่ต่างพากันตกใจขึ้นพร้อมกัน พากันมายังด้านนอกของเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์ เห็นบนยอดเจดีย์มีพายุหมุนขนาดใหญ่ เหมือนกับกรวย ที่เดี๋ยวปรากฎเดี๋ยวหายไป…