Skip to content

พลิกปฐพี 353

ตอนที่ 353

พูดกันดีแล้วว่าแบ่งเป็นสี่ส่วนนี่

งานเลี้ยงต้อนรับ กินดื่มกันมาจนถึงช่วงสุดท้าย ไม่ถือว่าร่วมกันมีความสุขทั้งแขกและเจ้าของงาน

แต่ว่าในใจล้วนแล้วแต่มีการคำนวณเอาไว้แล้ว

รอจนพวกมู่ชิงเกอจากไปแล้ว ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็อยู่ในเรือนของกลืนจันทร์ต่อ ไม่ได้จากไปทันที

เมื่อเก็บรอยยิ้มที่แข็งค้างบนใบหน้าแล้วทั้งสามคนก็สบตากันแวบหนึ่ง ในใจล้วนแล้วแต่รู้สึกอดสู

อดสู!

อา จะไม่อดสูได้อย่างไร?

คนเขาเอาผู้ติดตามมาหนึ่งคนก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งสามคนตกตะลึงแล้ว หากว่าเล่าลือออกไป ก็คงอายไปถึงต้นตระกูล

ผู้นำของกลืนจันทร์ยิ้มอย่างขมขื่น สั่งการให้คนไปจัดเตรียมนํ้าชามาใหม่ เข้าไปนั่งรวมกันกับอีกสองคน

ส่วนอีกด้าน พวกมู่ชิงเกอเดินกลับไปยังเรือนพักของเขี้ยวมังกร ไม่นาน ด้านหลังก็มีเงาร่างสีดำไล่ตามมา กระซิบกับนางว่า “คุณชาย เป็นอย่างที่ท่านคาดการณ์ เอาไว้ ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีไม่ได้จากไป”

มุมปากของมู่ชิงเกอยิ้มเยาะขึ้นพยักหน้า

เขี้ยวมังกรคนนั้นถามว่า “คุณชาย ต้องการให้ข้าน้อยไปสังเกตการณ์ดูหรือไม่ขอรับ?”

“ไม่จำเป็นแล้ว พวกเขาสามคนรวมอยู่ด้วยกัน ที่สามารถพูดคุยกันได้ก็มีเรื่องที่มาของโห่ว แล้วก็เรื่องการแบ่งเหมืองในวันพรุ่งนี้” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ นางพูดแล้วว่าไม่ต้อง เขี้ยวมังกรคนนั้นก็โค้งกายถอยออกไป ซ่อนตัวเข้าไปในความมืด

โห่วก้าวขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เด็กน้อย การแสดงของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวใช่หรือไม่?”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ พยักหน้า “ทำให้ข้าต้องมองใหม่เลยทีเดียว”

โห่วหัวเราะ ‘ฮ่า ฮ่า’ ออกมา ชั่วขณะนั้นก็เลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตึงแน่น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พรุ่งนี้พาข้าไปด้วย หากว่าพวกเขายังกล้ารังแกเจ้าอีก ข้าจะช่วยเจ้าตีพวกเขา”

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้ายิ้มๆ “พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปแล้ว รออยู่ที่ที่พัก พรุ่งนี้ข้าจะไปกับมั่วหยาง ไป๋สี่ไปลอบดูเหมืองในเขาอวี้เหยียน”

“ได้” ไป๋สี่พยักหน้า นางเก่งในการสำรวจถํ้า ไปค้นหาสถานการณ์ของเหมืองของถํ้านั้นเหมาะสมแล้ว

“ข้าอยู่ในเรือนพักงั้นหรือ?” โห่วแสดงสีหน้าไม่พอใจ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นพยักหน้า “วันนี้เจ้าแสดงอำนาจไปมากพอแล้ว หากพรุ่งนี้เจ้าไปอีก พวกเขาสามคนคงจะคิดว่าข้าไปกดดัน”

“เช่นนั้นก็แย่งเอาทั้งเหมืองมาเลยเป็นไง!” โห่วพูดตรงๆ

มู่ชิงเกอชะงัก หัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “โลกแห่งหลิวเค่อยังต้องการการถ่วงดุลอำนาจ หากว่าทำเพื่อเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางอันเดียว เขี้ยวมังกรกับพวกเขาสามกองกำลังระดับนภาต่อสู้กัน การค้าขายครั้งนี้ก็จะไม่คุ้มค่า และสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็ไม่ใช่ข้าด้วย”

เขี้ยวมังกรกับลั่วซิงเฉิง นางก็ตั้งขึ้นบนพื้นฐานของโลกแห่งยุคกลาง เพียงแค่เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางอันเดียว ยังไม่คู่ควรให้นางต้องก่อเรื่องใหญ่ถึงขนาดนั้น

ต้องรู้ว่า ลั่วซิงเฉิงในตอนนี้ ภายใต้การช่วยเหลือของสัตว์อสูรจอมตะกละนั้นได้หาเหมืองศิลาวิญญาณพบถึงสามสายแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นเหมืองศิลาวิญญาณระดับต่ำ ส่วนที่เหลืออีกสองสายล้วนแต่เป็นเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง อีกอย่างในตอนก่อนที่นางจะจากมานั้น เจ้าสิ่งเล็กๆ นั้นก็ได้วิ่งหายไปอีกแล้ว ไม่แน่ว่าจะไปพบเหมืองศิลาวิญญาณที่ไหนอีกก็เป็นไปได้

ดังนั้น เหมืองศิลาวิญญาณในเขาอวี้เหยียนสำหรับนางแล้วไม่ได้มีแรงดึงดูดมากมายเท่าไหร่ ที่นางมาก็เพื่อแสดงท่าทีว่าเขี้ยวมังกรกับกองกำลังระดับนภาอื่นๆ นั้น เท่าเทียมกัน ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าใคร ภายในเรือนพักของกลืนจันทร์ชาสร่างเมาครึ่งกาตกลงไปในท้องแล้ว แต่ผู้นำทั้งสามคนก็ยังมองกันไปกันมา ไม่ยอมพูดออกมา

ในที่สุดเป็นผู้นำของกลืนจันทร์ที่ไอเบาๆ เอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “คืนนี้ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเราคิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย กำลังของเขี้ยวมังกรทั้งยังมีกำลังของเจ้าเมืองมู่ผู้นั้นล้วนแต่เหนือกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ครั้งนี้เขาได้นำผู้ติดตามที่แข็งแกร่งกว่าข้ามาด้วยผู้หนึ่ง ใครก็ไม่รู้ว่าภายในลั่วซิงเฉิงยังมีคนเช่นนี้ซ่อนอยู่มากเท่าไหร่ ดูจากสถานการณ์แล้วถึง แม้ว่าพวกเราจะไม่พอใจก็ต้องสร้างทางเลือกออกมา”

ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีมองหน้ากัน ในใจล้วนแต่รู้สึกอึดอัด

“พวกเจ้าคิดอย่างไร?” ผู้นำของกลืนจันทร์เอ่ยถาม

ผู้นำของยักษ์วิถีเอ่ยว่า “หากว่าไม่ได้ ก็คงต้องทำตามกฎเดิม จัดตั้งเวทีแข่งขัน แบ่งสัดส่วนตามคะแนนที่ชนะ”

พูดแล้วเขาก็เสริมอีกประโยคว่า “มีเพียงแต่คนในกองกำลังเท่านั้นที่เข้าแข่งขันได้ไม่สามารถให้คนอื่นแข่งได้”

ประโยคนี้ของเขาก็เพื่อป้องกันไม่ให้โห่วเข้าแข่งขัน มิเช่นนั้นพวกเขาไม่ใช่ว่าจะต้องอับอายขายหน้าเหรอ?

คำพูดของเขาได้รับการพยักหน้ายอมรับจากผู้นำของร้อยอัคคี

แต่ว่าในตอนที่พวกเขามองผู้นำของกลืนจันทร์กลับพบว่าเขานิ่งเงียบไม่พูดจา ดูเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เจ้ากำลังคิดอะไร?” ผู้นำของร้อยอัคคีเอ่ยถาม

ผู้นำของกลืนจันทร์เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังทั้งสองคนแล้วเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินข่าวลืออย่างหนึ่งมาหรือเปล่า ที่พูดกันว่าทุกครั้งที่เขี้ยวมังกรทำภารกิจจะ ไม่เคยมีการสูญเสีย ไม่ต้องพูดถึงคนตาย แม้แต่คนเจ็บก็ไม่มี”

ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีสบตามองกันแล้วก็ล้วนแต่พยักหน้า

แต่ว่า พวกเขาไม่เข้าใจว่านี่หมายถึงอะไร?

ผู้นำของกลืนจันทร์ขมวดคิ้วเอ่ยต่อว่า “วันนี้ข้าส่งคนไปลอบสืบความพบว่า เขี้ยวมังกรที่มาในครั้งนี้ทุกๆ คนล้วนแต่อยู่ระดับสีเงินอีกทั้งยุทธภัณฑ์ของพวกเขา… พวกเจ้าอย่าได้ลืมไปละว่าเจ้านายของพวกเขานั้นเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพผู้หนึ่ง ชุดเกราะของเขี้ยวมังกรทั้งยังมีอาวุธล้วนแต่อยู่ระดับชั้นเทวะ หากว่าจะจัดเวทีแข่งขันจริงๆ คนของพวกเราไปต่อกรกับเขี้ยวมังกร แทบจะไม่มีโอกาสทำร้ายพวกเขาได้เลย แล้วคนชนะคนสุดท้ายจะเป็นใครไปได้?”

การวิเคราะห์ของเขาทำให้ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีเงียบลงไป

พวกเขาคิดเพียงแต่จะป้องกันโห่ว แต่กลับลืมไปว่าตัวเขี้ยวมังกรเองก็ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นก็คงจะไม่ใช้เวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีกลายเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับ

นภาได้อีกทั้งยังมีอัตราการล้มเหลวของภารกิจเป็นศูนย์อีก?

“หากว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะเป็นเขี้ยวมังกร ความสูญเสียของพวกเราจะมากกว่ามิใช่หรือ?” ผู้นำของกลืนจันทร์เสริมไปอีกประโยค

ประโยคนี้ทำให้อีกสองคนนิ่งเงียบลงไป

ผ่านไปอย่างยาวนาน ผู้นำของยักษ์วิถีถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นตามที่เจ้าว่า เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี?”

ผู้นำของร้อยอัคคีก็เอ่ยขึ้นว่า “หากว่าในใจของเจ้ามีแผนการรับมือแล้วก็พูดออกมาเถอะ พวกเรามาร่วมพูดคุยกันไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว”

ผู้นำของกลืนจันทร์มองทั้งสองคน กลอกตาไปมารอบหนึ่งแล้วก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเอ่ยขึ้นว่า “แทนที่จะเสี่ยง ไม่สู้พวกเราเด็ดขาดขึ้นหน่อย เสนอการแบ่งผลผลิตของเหมืองออกเป็นสี่ส่วน ทุกๆ คนล้วนแต่เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วถึงแม้พวกเราทั้งสามจะสูญเสียอยู่บ้างแต่ ก็ไม่มาก อีกทั้งทางเขี้ยวมังกรก็ถือว่าเป็นความประทับใจที่ดี พวกเราก็ไม่ใช่ว่าล้วนคิดอยากจะขอยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพสักชิ้นกับเจ้าเมืองม่อยู่หรือ? มิตรภาพนี้ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาก็จะต้องสำเร็จตามที่หวังแน่”

คำพูดของเขาทำให้ทั้งสองคนจมดิ่งเข้าไปในการครุ่นคิด

แน่นอนว่าหากไม่สามารถมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ร้อยส่วนจนพวกเขาสามารถกดดันเขี้ยวมังกรจนจมดินได้ การแบ่งปันอย่างเท่าเทียมเช่นนี้ก็เหมาะสมที่สุด และ สูญเสียน้อยที่สุด

“พวกเราต้องมองให้ไกล ไม่สามารถมองเพียงเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางแค่แห่งเดียว ไม่อาจจะทะเลาะกับเขี้ยวมังกรเพื่อมันได้” ผู้นำของกลืนจันทร์โน้มน้าวต่อ

ทั้งสองคนยังคงเงียบ

ผู้นำของกลืนจันทร์เอ่ยขึ้นอีกว่า “หากว่าจะต้องจัดเวทีแข่งขันขึ้นจริงๆ หากชนะก็ยังดี แต่หากว่าแพ้เกรงว่าพวกเราจะต้องสูญเสียไปมากยิ่งกว่า”

ในที่สุดผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็พยักหน้า

ผู้นำของร้อยอัคคีมองไปยังผู้นำของกลืนจันทร์ “คิดอย่างละเอียดแล้ว ถึงแม้วิธีที่เจ้าเสนอขึ้นมาจะอดสูอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าปลอดภัยที่สุด พวกเราต้องมองการณ์ ไกล โลกของหลิวเค่อไม่สามารถเกิดความวุ่นวายขึ้นได้”

ผู้นำของยักษ์วิถีก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน “หากว่าพวกเราต่อสู้กันเองขึ้นมา พวกเหล่าตระกูลต่างๆ ก็คงจะได้เปรียบไป เอาเถอะ สูญเสียก็สูญเสีย ถึงอย่างไรพวกเราทั้งสามฝ่ายก็ล้วนแต่เหมือนกันในใจของข้าก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย”

เห็นทั้งสองคนล้วนแต่พยักหน้าตกลงแล้ว ผู้นำของกลืนจันทร์แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในดวงตา หัวเราะและเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเราได้ข้อตกลงเดียวกันแล้ว เช่นนั้น การพูดคุยตัดสินในวันพรุ่งนี้พวกเราก็เสนอแบ่งเหมืองศิลาวิญญาณออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนล้วนแต่มีความสุข”

“ดี!”

“ดี”

ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีพูดขึ้นพร้อมกัน

วันรุ่งขึ้นมู่ชิงเกอเดินทางไปยังสมาคมหลิวเค่อของเมืองเทียนผิงพร้อมกันกับมั่วหยางด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส เมื่อถึงเวลา ผู้นำของกลืนจันทร์ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็ ได้มาถึงที่นั่นแล้ว ตอนที่มู่ชิงเกอเข้าไปถึงนั้น พวกเขาก็ลอบมองออกไปด้านนอก เมื่อไม่เห็นเงาร่างของโห่วก็ล้วนแต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ดังนั้นทั้งสามคนจึงลุกขึ้นพร้อมกันเอ่ยกับมู่ชิงเกอและมั่วหยางด้วยท่าทีที่เป็นมิตร “เจ้าเมืองมู่กับผู้นำมั่วมาแล้ว เชิญนั่งๆ”

ท่าทางของทั้งสามคนทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มที่มุมปากฉายแววสนุกขึ้น

เดินไปถึงข้างตำแหน่งที่เหลือเอาไว้ให้นางแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้นั่งลง แต่มั่วหยางกลับไม่ได้เข้านั่งเพียงแต่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอดุจดั่งเป็นองครักษ์

แต่เดิมเขาก็เป็นองครักษ์ของมู่ชิงเกออยู่แล้ว!

มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง แต่เขากลับยืนหยัด เมื่อหมดทางเลือกแล้วจึงปล่อยตามใจเขา

ผู้นำของกลืนจันทร์ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็สบตาหากัน แล้วก็เข้าไปนั่งยังตำแหน่งของตนเองเงียบๆ

หลังจากนั่งกันแล้ว ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็มองมาที่ผู้นำของกลืนจันทร์

รู้สึกถึงสายตาของพวกเขาสองคนแล้ว เขาก็ไอออกมาเบาๆ เอ่ยกับมู่ชิงเกอและมั่วหยางว่า “เจ้าเมืองมู่ ผู้นำมั่ว จุดมุ่งหมายที่พวกเรามารวมตัวกันอยู่ในเมืองเทียน ผิงในครั้งนี้คิดว่าทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้ว เกี่ยวกับเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางในเขาอวี้เหยียน แต่ก่อนล้วนแต่เป็นการแบ่งปันระหว่างพวกเราสามฝ่าย ตอนนี้มีเขี้ยวมังกรเพิ่มเข้ามา ตามความคิดของพวกเรา ไม่สู้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนก็จะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกันเพียงเพราะเหมืองศิลาวิญญาณแห่งเดียว”

แบ่งเป็นสี่ส่วนงั้นหรือ?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววสนุกขึ้นมา นางไม่ได้ตอบไปในทันที เพียงแต่เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าแต่ก่อนเหมืองศิลาวิญญาณนี้แบ่งปันกันอย่างไร?”

ในความเป็นจริงนั้น แต่ก่อนเหมืองศิลาวิญญาณแบ่งปันกันอย่างไรนางก็ได้สืบค้นมาจนเข้าใจดีแล้ว แต่ว่าในตอนนี้กลับจงใจเอ่ยถามออกไป

ทั้งสามคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็ยังคงเป็นผู้นำของกลืนจันทร์เอ่ยออกมาว่า “แต่ก่อนนั้น…พวกเราเป็นหลิวเค่อ ไม่มีกฎอะไรมากมาย ดังนั้นจึงจัดตั้งเวที ทุกคนส่งคนออกมาประลองแล้วก็แบ่งปันตามคะแนน”

“อ้อ? เช่นนั้นที่หนึ่งได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่ ที่สองที่สามได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่?” มู่ชิงเกอถามออกไปอีก

นางแสดงท่าทีอยากรู้ขอคำแนะนำออกไป ทำให้ทั้งสามคนลูบๆ หัว

ผู้นำของกลืนจันทร์รู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังเอ่ยตอบไปตามความจริงว่า “อันดับที่หนึ่ง ได้ห้าส่วน อันดับที่สองได้สามส่วน อันดับที่สามได้สองส่วน”

จากนั้นเขาก็รีบเสริมไปอีกหนึ่งประโยคว่า “หากว่าแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนก็ล้วนแต่จะได้ประมาณสองส่วนครึ่ง”

“เช่นนั้นก็ไม่ยุติธรรมกับทุกคนน่ะสิ! ไม่สู้ยังคงทำตามกฎเดิม ทุกคนจัดเวทีประลองสูงตํ่าเถอะ” มู่ชิงเกอยิ้ม แล้วเอ่ยออกไป

คำพูดของนางทำให้ทั้งสามคนชะงัก มึนงงไปชั่วขณะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version