Skip to content

พลิกปฐพี 354

ตอนที่ 354

เวทีการแข่งขันที่เอียงไปข้างหนึ่ง

แบ่งออกเป็นสี่ส่วน มองดูแล้วผู้ที่ได้อันดับสามก่อนหน้านี้ที่ได้ส่วนแบ่งเพียงสองส่วนก็สมควรจะลอบดีใจอยู่ในใจ เพราะได้มากกว่าแต่ก่อนครึ่งหนึ่ง แต่ว่าการหมุนเวียนไปเช่นนี้ไม่ได้มีแค่เพียงฝ่ายเดียวที่ได้ที่หนึ่งเสมอ สามฝ่ายพลัดกันนั่ง ความสูญเสียในครั้งนี้ก็มีเวลาที่จะเสริมกลับคืนมา แต่เพียงแค่แบ่งเป็นสี่ส่วน นั่นก็จะหมายถึงว่าต่อไปทุกๆ คนจะเหมือนกัน ความสูญเสียแต่ก่อนก็ไม่สามารถเสริมเติมกลับคืนมาได้

หากพูดว่าไม่ปวดใจนั่นคือโกหก นี่เป็นเพียงเพื่อดึงมู่ชิงเกอที่เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพลงมาเท่านั้นถึงได้ทำเช่นนี้ เพราะเหตุผลที่แท้จริงก็คือพวกเขาทั้งสามฝ่ายไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะการแข่งขัน

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดดีแล้ว พวกเขาถึงได้ข่มใจกัดฟัน แบ่งปันอย่างยุติธรรม

แต่ว่าคำพูดของมู่ชิงเกอที่ว่า ‘ไม่ยุติธรรมสำหรับทุกคน!’

ก็ทำให้ทุกอย่างถูกตีกลับไปสภาพเดิม ท้ายที่สุดก็จัดเวทีการแข่งขันตามเดิม ภายใต้การแข่งขันของทั้งสี่ฝ่าย ผลประโยชน์กลายเป็น อันดับหนึ่งได้รับส่วนแบ่งสี่ส่วน อันดับสองได้รับส่วนแบ่งสามส่วน อันดับสามได้รับส่วนแบ่งสองส่วน สุดท้ายได้รับส่วนแบ่งเพียงหนึ่งส่วน!

ไม่ยุติธรรมงั้นหรือ? แน่นอนว่ายุติธรรม!

หากว่าไม่อยากได้ส่วนแบ่งแค่หนึ่งส่วนก็อาศัยความสามารถเข้าไปแย่ง!

แย่งได้อันดับหนึ่งมาก็จะได้รับส่วนแบ่งสี่ส่วนที่ยั่วยวน ทำให้คนนํ้าลายไหลไปมิใช่หรือ?

ผลประโยชน์ทำให้คนจิตใจหวั่นไหว แต่เดิมพวกเขาก็เป็นพวกชอบความเสี่ยง จึงยินดีที่จะเสี่ยงภายใต้การชักนำ!

ส่วนแผนการที่เคยคุยกันไว้ดีแล้วนั้นถูกคำพูดประโยคเดียวของมู่ชิงเกอทุบตีสลายไป

เมื่อผ่านเวลาเที่ยงมา ภายในสมาคมหลิวเค่อก็เริ่มจัดเตรียมสร้างเวทีแข่งขัน

การแข่งขันนั้นไม่ได้ซับซ้อน ภายในสามวันทั้งสี่ฝ่ายส่งคนเข้าร่วมฝ่ายละสิบคน

เวทีแข่งขันสี่เวที แบ่งเป็นหนึ่งคนเฝ้าเวที ที่เหลืออีกเก้าคนโจมตีแย่งเวที แย่งเวทีสำเร็จหนึ่งครั้ง ได้หนึ่งคะแนน เฝ้าเวทีสำเร็จหนึ่งครั้งได้สองคะแนน ภายในกองกำลังใครจะเฝ้าเวที ใครจะบุกแย่งเวที ภายในสามวันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด

หลังจากสามวันแล้ว กองกำลังไหนได้คะแนนสูงที่สุด กองกำลังนั้นก็ได้อันดับหนึ่งไป ตรงกันข้ามหากได้ คะแนนน้อยที่สุดก็ได้อันดับที่สี่

วันที่สอง เวทีทั้งสี่ก็ได้ก่อสร้างเสร็จลง เสาธงข้างเวทีก็แขวนธงที่แสดงถึงกองกำลังหลิวเค่อที่ไม่เหมือนกัน เวทีแข่งขันจัดตั้งอยู่กลางเมืองเทียนผิง ชั่วขณะนั้นก็ดึงดูดบรรดาหลิวเค่อนับพันนับหมื่นภายในเมืองให้มาชมดู

“วันนี้มีความคึกคักให้ดูแล้ว!”

“ข้าก็พูดแล้วเขี้ยวมังกรเข้าเมืองเทียนผิงเป็นครั้งแรก อีกสามฝ่ายจะยอมปล่อยผลประโยชน์ในมือออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร?”

“ดูแล้วการแข่งขันในครั้งนี้คงจะดุเดือดมากเป็นแน่!”

“ไม่ผิด ไม่ผิด! ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันข้ายังคิดจะรับภารกิจหนึ่ง ออกจากเมืองเทียนผิง ตอนนี้ดูแล้วโชคดีที่ไม่ได้ไป มิเช่นนั้นคงพลาดการแข่งขันที่น่าดูเช่นนี้ไป!”

“รีบดู คุณชายชุดแดงผู้นั้นคงเป็นเจ้านายที่แท้จริงของเขี้ยวมังกรใช่ไหม?”

“ทางไหน?”

“ตาบอดหรอไง? ก็คุณชายที่รูปโฉมงดงามและดูดีผู้นั้นไง คนที่กำลังเดินไปยังอัฒจันทร์คนนั้น”

“อ๋อ อ๋อ อ๋อ มองเห็นแล้ว มองเห็นแล้ว!”

“เป็นเจ้าเมืองมู่ไม่ผิดแน่ วันก่อนหน้านี้ตอนที่เขี้ยวมังกรเข้าเมืองมา ข้าก็มองเห็นเขาแล้ว”

มู่ชิงเกอยกชายเสื้อ นั่งลงแล้วมองไปยังบนเวที ทันใดนั้นก็มีคนมาวางชาร้อนและอาหารว่างลงบนโต๊ะข้างเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ก็มองเห็นสาวใช้ที่ดูสวยงามสดใสปริสุทธิ์นางหนึ่งกำลังมองมาที่นางอย่างเอียงอาย เมื่อเห็นนางมองไป ท่าทีก็ยิ่งดูเอียงอายเข้าไปใหญ่ หลุบตาลง

“ขอบคุณมาก” มู่ชิงเกอพูดตามมารยาทไปหนึ่งประโยค

สาวใช้คนนั้นเอียงอายเอ่ยตอบด้วยเสียงอันเบาเหมือนเสียงยุงว่า “เจ้าเมืองมู่เกรงใจไปแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของ บ่าว บ่าวมีชื่อว่า…”

“ชิงเกอ” นางยังไม่ทันได้พูดแนะนำตัวเองจบ ก็ถูกเสียงมีเสน่ห์เสียงหนึ่งตัดบทไป นางเงยหน้าที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ ขึ้นมองก็เห็นหญิงสาวชุดขาวแลดูสูงส่งและมีเสน่ห์เดินมาทางนี้

ไป๋สี่เดินขึ้นมาบนอัฒจันทร์ก็เดินพุ่งมาหามู่ชิงเกอในทันที สองแขนคล้องเข้าไปที่แขนของนาง ใช้สายตาจ้องมองสาวใช้คนนั้น แล้วใช้นํ้าเสียงอันมีเสน่ห์เอ่ยขึ้นมาว่า “น้องสาวผู้นี้คือ…”

“ข้า…ข้าเป็นเพียงแค่สาวใช้ของสมาคมหลิวเค่อเท่านั้น” พูดแล้ว นางก็มองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่ได้สนใจ ตัวเองก็นิ่งเงียบแล้วถอยออกไป

หลังจากใช้สายตาส่งนางจากไปแล้ว ไป๋สี่ถึงได้สบถออกมาหนึ่งคำ ตำหนิมู่ชิงเกอว่า “ข้าเพิ่งจากไปไม่นาน เจ้าก็ล่อลวงผู้หญิงเสียแล้ว”

มู่ชิงเกอแบมือสีหน้าไร้เดียงสา “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย!”

ไป๋สี่กลอกตาขาวใส่นางดูเหมือนกำลังพูดว่า ‘ข้าไม่เชื่อ’

มู่ชิงเกอหมดทางเลือก และก็ไม่ได้อธิบายต่อ เพียงแต่ถามขึ้นว่า “สืบความได้อย่างไรบ้าง?”

“เหมืองนั้นลึกมาก เปิดขุดมาหลายร้อยปีแล้วกลับยังมีอยู่เยอะมาก หากขุดต่อไปเรื่อยๆ ข้าสงสัยว่าอาจจะมีโอกาสพบศิลาวิญญาณระดับสูง” ไป๋สี่กระซิบข้างหูของนาง หากมองจากไกลๆ จะดูเหมือนเป็นคู่รักกำลังแสดงความสนิทสนมกันอยู่

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เผยรอยยิ้มสนุกขึ้นมา “เช่นนี้ดูแล้ว ครั้งนี้หากไม่ลงมือสักหน่อยคงไม่ได้”

ไป๋สี่พยักหน้า

เวลานี้ พวกผู้นำทั้งสามก็ได้มาถึงแล้ว นั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง เห็นมู่ชิงเกอนำสาวงามติดมาด้วย ก็ล้วนแต่เผยสายตาว่ารู้กันระหว่างผู้ชายออกมาแล้วยิ้มมองมาที่พวกนาง

มู่ชิงเกอถูกพวกเขามองจนรู้สึกหนังหัวชา ในใจบ่นว่า ‘อะไรกัน!’

ส่วนไป๋สี่กลับพอใจที่จะถูกเข้าใจผิดเช่นนี้จึงยิ่งทำตัวแนบชิดสนิทไปกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อย เมื่อเห็นมั่วหยางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรสิบคนเดินมา ก็โบกมือเรียกเขาเข้ามา

มั่วหยางรีบมาที่ตรงหน้าของนางในทันที กุมมือคำนับเอ่ยว่า “คุณชาย”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยกับเขาว่า “การแข่งขันในครั้งนี้ เจ้าเข้าแข่งด้วยตนเอง รับผิดชอบเฝ้าเวที หากว่าเจ้าเฝ้าไม่ได้ข้าจะถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า”

ประโยคง่ายๆ ก็ทำให้มั่วหยางเข้าใจแล้วว่ามู่ชิงเกอสนใจในการแข่งขันในครั้งนี้

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดคุณชายถึงได้เปลี่ยนไปจากท่าทีที่ดูไม่สนใจในเมื่อก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาฝืนคำสั่งของมู่ชิงเกอ

“ขอรับ คุณชาย!” มั่วหยางรับคำสั่งถอยออกไป จากนั้นก็เข้าไปคัดเลือกคนที่ข้างเวทีของเขี้ยวมังกรอีกครั้ง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนสิบคนของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีล้วนแต่มาถึงแล้ว

มู่ชิงเกอกวาดตามองไป พลังฝึกปรือของคนสามสิบคนนั้น ถูกนางมองเห็นแล้ว คนทั้งสามสิบคนนี้ ช่วงอายุแตกต่างกัน แต่อายุก็ล้วนมากกว่าองครักษ์เขี้ยวมังกร พลังฝึกปรืออยู่ระดับสีเงินทั้งหมด

‘ดูแล้ว ทั้งสามฝ่ายนี้ก็ล้วนแต่ต้องการชัยชนะทั้งนั้น!’ มู่ชิงเกอสรุปในใจประโยคหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ที่พูดกันว่าแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนล้วนแล้วแต่ยุติธรรม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขอเพียงแค่มีโอกาสในการแข่งขันแย่งชิง ใครก็ล้วนแต่ทุ่มเทเต็มที่ทั้งนั้น?

มองไปยังผู้นำทั้งสามอีกครั้ง ถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะยังดูเป็นมิตรสมัครสมานสามัคคีกัน แต่ในความเป็นจริง ทุกคนต่างก็มีแผนการในใจ

มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา แล้วก็หายไปในพริบตา ไม่มีใครสังเกตเห็น ที่นางเสนอใช้กฎเดิมนั้นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนนั้นดีจนเกินไป

สามกองกำลังหลิวเค่อระดับนภา สามกองในนั้นดีกันเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อเขี้ยวมังกร

ดังนั้น มู่ชิงเกอถึงได้ปฏิเสธการแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เหตุผลที่อยู่ในนั้นก็คือทำลายความสามัคคีระหว่างพวกเขา ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนเป็นการแข่ง ขันระหว่างกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นสถานการณ์ที่ดีและสมดุลมากที่สุดสำหรับเขี้ยวมังกร

แต่ว่า ข่าวสารที่ได้จากไป๋สี่ในวันนี้ ทำให้นางตั้งใจขึ้นหลายส่วนในเมื่อเหมืองศิลาวิญญาณในเขาอวี้เหยียนมีโอกาสที่จะปรากฎศิลาวิญญาณระดับสูงออกมา เช่นนั้น แน่นอนว่านางต้องแย่งเอาผลประโยชน์ที่สูงที่สุดนั้นมาให้ได้!

คนที่สมควรมาก็ล้วนมาหมดแล้ว ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อ ผู้นั้นก็ก้าวยืนออกมา โค้งกายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ก่อน แล้วจากนั้นก็หันกายไปหาทุกคน ประกาศออกไปว่า “วันนี้เป็นการแข่งขันของกองกำลังระดับดับนภาทั้งสี่ กฎนั้นทุกคนก็ต่างรับรู้กันดี ข้าก็จะไม่พูดซํ้าซากแล้ว ทุกๆ เวทีจะมีผู้ดูแลของสมาคมหลิวเค่อคอยนับคะแนน ทุกอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ แน่นอนว่าต้องขอเชิญให้ทุกท่านร่วมกันตรวจสอบด้วย เอาล่ะ ตอนนี้ขอเชิญคนเฝ้าเวทีของทั้งสี่ฝ่ายขึ้นเวทีได้!”

เขาลากหางเสียงยาวเพื่อสร้างบรรยากาศตื่นเต้น ภายในกองกำลังทั้งสี่ มีคนเดินออกมาหนึ่งคน แล้วก็ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีของกองกำลังของใครของมัน

เพียงแต่ว่า ในตอนที่มั่วหยางขึ้นไปสู่เวทีของเขี้ยวมังกรนั้นก็ดึงดูดความเคลื่อนไหวของคนบนเวทีและด้านล่างเวทีในทันที

“นั้นไม่ใช่ผู้นำมั่วมิใช่หรือ? เหตุใดจึงขึ้นเวทีเองละ?”

“ไม่ผิดไม่ผิด! เป็นผู้นำมั่ว เรื่องราวของเขี้ยวมังกรดู เหมือนว่าจะมีเพียงเขาที่จัดการ คิดไม่ถึงว่าการแข่งขันในวันนี้เขาจะขึ้นเวทีด้วยตนเอง”

“เจ้าว่า ที่ผู้นำมั่วขึ้นเวทีด้วยตนเองเป็นเพราะว่าเขี้ยวมังกรไม่มีคนแล้วหรือไม่!”

การขึ้นเวทีของมั่วหยางทำให้เหล่าหลิวเค่อที่ชมดูวิเคราะห์พูดคุยกันขึ้นมา

ผู้นำอีกสามคนก็มองไปยังมู่ชิงเกอที่มีใบหน้าเงียบสงบอย่างแปลกใจ

ผู้ดูแลคนนั้นชะงักเล็กน้อย เดินไปข้างกายของมั่วหยางเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเสียงเบาไปว่า “ผู้นำมั่วท่านจะ เฝ้าเวทีด้วยตนเองงั้นหรือ?”

มั่วหยางพยักหน้า “ข้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในเขี้ยวมังกร อย่างไร? ไม่สามารถเฝ้าเวทีได้งั้นหรือ?”

“ไม่ ไม่ ไม่!” ผู้ดูแลรีบโบกมือ ยิ้มและเอ่ยว่า “ผู้น้อยเพียงแต่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น”

เขาถอยออกไป ลอบเช็ดเหงื่อเย็นที่คอ

“เจ้าเมืองมู่ ถึงกับให้ผู้นำมั่วขี้นเวทีเองเลยหรือ?’’ ผู้นำของกลืนจันทร์มองมู่ชิงเกอ เผยรอยยิ้มบางๆ ถามออกมา

คนที่เหลืออีกสองคนก็เอียงหูคอยฟังไม่ยอมพลาดคำตอบของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ใช่ว่ามั่วหยางเองก็พูดแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเขี้ยวมังกรเช่นกัน คิดอยากจะขึ้นบนเวทีลองฝีมือ ข้าที่เป็นเจ้านายก็ห้ามไม่อยู่”

คำตอบนี้พูดก็เหมือนไม่ได้พูด ผู้นำของกลืนจันทร์ยิ้มๆ ไม่ซักไซ้ต่อ เพียงแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้น การออกไปของมั่วหยางทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายมาก สำหรับกำลังของมั่วหยางนั้น พูดกันว่าสูงที่สุดในเขี้ยวมังกร แต่กลับมีน้อยคนที่เคยเห็นเขาลงมือ นี่ทำให้โอกาสชนะในใจของเขาลดน้อยลงหลายส่วน

‘ถ้าหากว่าทางเขี้ยวมังกรแข็งแกร่งเกินไป เช่นนั้นก็แย่งเอาอันดับที่สองมา! เอาสามส่วนก็ยังดีกว่าสองส่วนครึ่ง!’ หลังจากผู้นำของกลืนจันทร์คิดคำนวณในใจแล้ว ก็ลอบส่งสายตาไปยังคนที่เฝ้าอยู่บนเวทีของกลืนจันทร์คนนั้นแวบหนึ่ง

เมื่อคนๆ นั้นสัมผัสได้ถึงสายตาก็ลอบพยักหน้า การลอบส่งคำสั่งลับเช่นนี้ในกองกำลังของร้อยอัคคี และยักษ์วิถีก็ดำเนินการอยู่เช่นกัน ครั้งนี้ทั้งสามฝ่ายไม่ได้ลอบพูดคุยกันอีก แต่เป็นต่างฝ่ายต่างคิดที่จะแย่งชิงลำดับหน้าๆ ให้คนอื่นอยู่ด้าน หลัง

ส่วนฝั่งทางมู่ชิงเกอ ก็มองเห็นบรรยากาศลอบส่งสารหากันนี้อยู่ในสายตา มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ การแข่งขัน คาดเดาและรักษาความสัมพันธ์กันเช่นนี้ดีมาก

“ในเมื่อไม่มีข้อสงสัยใดๆ แล้วก็เริ่มเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย” มู่ชิงเกอขาไขว้ห้าง เขย่าปลายเท้า สั่งการไปยังผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อ

เวลาเป็นเงินเป็นทอง ในตอนนี้นางยังไม่ทันได้ฝึกฝนถึงจุดที่สามารถมองเงินทองเป็นเศษขยะได้

ผู้ดูแลมองไปยังอีกสามคน เห็นพวกเขาไม่ได้พูดอะไร จึงประกาศขึ้นว่า “เริ่มได้!”

เพียงแค่เสียงของเขาสิ้นสุดลง บนเวทีอื่นสามเวทีก็มีคนกระโดดขึ้นไป มีเพียงแต่เวทีของเขี้ยวมังกรที่ไม่มีใครขึ้นไป มั่วหยางยืนขมวดคิ้วอยู่บนเวที

ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้มีหลิวเค่อของกองกำลังยักษ์วิถีคนหนึ่งขึ้นมายืนบนเวที พลังฝึกปรือของเขาอยู่ที่ระดับสีเงินชั้นสอง แต่อายุนั้นดูเหมือนว่าสามารถเป็นปู่ของมั่วหยางได้เลย

แต่ทว่า คนที่ฝึกวิชายุทธ์นั้น รูปร่างภายนอกกับอายุมีช่องว่างที่ค่อนข้างใหญ่ “ผู้นำมั่ว ล่วงเกินแล้ว!” คนๆ นั้นเพียงแค่ขึ้นไปก็กุมมือ เอ่ยกับมั่วหยาง

มั่วหยางยื่นมือออกไปมือหนึ่ง เอ่ยด้วยท่าทีที่ดูเรียบเฉยว่า “มาเถอะ”

นัยน์ตาของคนๆ นั้นดุดันขึ้น ฟาดมือไปที่มั่วหยาง การแข่งขันนั้นมีกฎว่าใช้ได้เพียงแต่มือเปล่าต่อสู้ไม่สามารถใช้อาวุธได้นี่ก็เพื่อจะรักษาชีวิตของหลิวเค่อ และก็เป็นการลดความขัดแย้งระหว่างกองกำลังหลิวเค่อด้วย

ปัง!

การบุกโจมตีเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เงาร่างคนสายหนึ่งก็ปลิวลอยออกมาจากเวทีของเขี้ยวมังกร ตกออกไปนอกเวที ส่วนมั่วหยางยังคงยืนอยู่ที่เดิม แม้แต่เท้าก็ยังไม่ทันได้ขยับ

“ให้ตายเถอะ! กระบวนท่าเดียว!”

“นี่เป็นถึงระดับพลังสีเงินชั้นสองเชียวนะ ปู่ผู้นี้ก็ถือว่ามีชื่อเสียงในยักษ์วิถี! แต่กลับถูกกระบวนท่าเดียวโจมตีตกเวทีมาแล้วงั้นหรือ?”

“ข้ายังนึกว่าตนเองตาพร่าเลือนไป คิดไม่ถึงว่ากระบวนท่าเดียวก็ทำลายได้แล้วจริงๆ งั้นหรือ?”

“ ผู้นำมั่ว เท่ กินไปแล้ว! ”

มั่วหยางใช้กระบวนท่าเดียวจัดการคู่ต่อสู้ได้ ดึงดูดให้ทุกคนตกตะลึง

แต่ตัวเขาเองกลับมีท่าทีที่ดูเรียบเฉย ไม่ได้เผยท่าทีดูได้ใจออกมา

ผู้นำทั้งสามคนสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน มองไปทางมู่ชิงเกอกลับเห็นเขาใช้มือคํ้าแก้มมองดูการแข่งขันอย่างเกียจคร้าน ดูเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกชื่นชมหรือตื่นเต้นแปลกใจอะไรไปกับการแสดงฝีมือของมั่วหยาง

เวลานี้เอง บนเวทีที่เหลืออีกสามเวทีก็มีคนลอยตกออกมา

ทุกคนมองไปก็ชะงักค้าง คนที่ลอยตกออกมาจากเวทีนั้นไม่ใช่คนที่บุกโจมตีแต่ เป็นคนที่เฝ้าเวที ส่วนฝ่ายที่บุกโจมตีก็ล้วนแต่เป็นคนของเขี้ยวมังกร

ผู้นำของร้อยอัคคียืนขึ้นมาในทันที มองไปยังเวทีทั้งสี่ ด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู

บนเวทีทั้งสี่ในตอนนี้ มีแต่คนของเขี้ยวมังกรยืนอยู่

“เขี้ยวมังกรเก่งเกินไปแล้ว!”

“เหนือกว่าที่คิดไว้เสียอีก!”

“เช่นนี้ยังจะเหลือที่ให้อีกสามฝ่ายมีชีวิตอยู่ไหม?”

บรรดาผู้ชมไม่สนใจว่าเรื่องมันจะใหญ่ พูดคุยวิเคราะห์กันต่อ

ส่วนองครักษ์เขี้ยวมังกรสามคนที่บุกโจมตีเวทีได้สำเร็จก็ได้เดินลงมาจากเวทีแล้ว ท่าทีของพวกเขานั้น เป็นเหมือนกับมั่วหยาง นั้นคือสงบนิ่งมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version