Skip to content

พลิกปฐพี 355

ตอนที่ 355

ก็เท่เช่นนี้อยู่แล้ว!

เสียงตื่นตะลึงรอบด้าน ไม่ได้มีอิทธิพลต่อมู่ชิงเกอที่กำลังนั่งไขว่ห้างมองดูเวทีเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็สมควรจะเท่เช่นนี้ นางใช้มือซ้ายเท้าแก้ม ข้อศอกขวาวางไว้บนพนักวางแขน นิ้วหัวแม่มือของนางเขี่ยเล่นไปมาบนปลอกนิ้วบนนิ้วมือข้างขวา ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนปลอกนี้วมีแสงสีทองบริสุทธิ์เข้าโอบล้อมปลอกนิ้วเรื่อยๆ ดูเหมือนว่ากำลังฟูมฟักอะไรบางอย่างอยู่ ความคุ้นเคยนี้ มู่ชิงเกอมีมาได้สองปีแล้ว คนที่อยู่ข้างกายนางล้วนแต่รู้ดีว่าเหตุใดนางจึงมีความคุ้นเคยเช่นนี้

ส่วนคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยกับมู่ชิงเกอนั้น แม้ว่าจะสังเกตได้ถึงความเคลื่อนไหวนี้ ก็เพียงแต่คิดว่าเป็นงานอดิเรกส่วนตัวของเขาเท่านั้น

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมองไปยังเวทีทั้งสี่อย่างนิ่งสงบ บนเวทีอีกสามเวทีนั้น หลังจากองครักษ์เขี้ยวมังกรที่บุกโจมตีสำเร็จเดินลงมาแล้ว คนที่เฝ้าเวทีของอีกสามฝ่ายก็รีบขึ้นไปบนเวทีทันที

หลังจากตกตะลึงแล้ว งานแข่งขันก็ยังต้องดำเนินต่อไป ใครจะรู้ว่าเจ้าของเวทีทั้งสามเพิ่งจะขึ้นไปบนเวที องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสามที่เพิ่งจะเดินลงมาก็กระโดด ขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง

ฉากนี้ทำให้ทุกคนชะงัก เจ้าของเวทีก็ยิ่งยืนชะงักอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าที่ดูมึนงง

“ขอคำชี้แนะด้วย!”

“ขอคำชี้แนะด้วย!”

“ขอคำชี้แนะด้วย!”

ทั้งสามคนส่งเสียงขอท้าประลองขึ้นพร้อมกัน

เจ้าของเวทีทั้งสามกลืนนํ้าลายลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำได้เพียงแต่ทำคอแข็งรับการโจมตี

เวทีทั้งสามเพิ่งจะเริ่มต้น มั่วหยางก็ถอนสายตากลับมา มองไปยังผู้โจมตีจากอีกสามฝั่ง เอ่ยด้วยท่าทางที่เรียบนิ่งว่า “ใครจะเข้ามา!”

คำนี้ทำให้ในใจของคนสั่นสะท้าน

ในที่สุดผู้โจมตีของกลืนจันทร์คนหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีของเขี้ยวมังกร

ผู้โจมตีคนนี้มีความแข็งแกร่งกว่าคนที่ถูกมั่วหยางใช้กระบวนท่าเดียวตีจนตกเวทีไปคนนั้นเล็กน้อย อีกอย่างเพียงเขาขึ้นมาก็เดินไปรอบเวที ไม่กล้าเข้าไปใกล้

ดูเหมือนเขาจะคิดว่าเพียงแค่รักษาระยะห่างจากมั่วหยางเอาไว้ก็จะไม่ถูกโจมตีได้ง่ายๆ

แต่…

ตรงหน้าของคนผู้นั้นพร่าเลือนเล็กน้อย เงาร่างของมั่วหยางปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขาในพริบตา ห่างกันแค่คืบ

ชั่วขณะนั้นเขาตกใจมาก ร่างกายถอยไปด้านหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ คิดจะสร้างระยะห่าง เพียงแต่ว่ามั่วหยางกลับไม่มอบโอกาสให้เขา ยื่นมือออกมาคว้าชาย เสื้อของเขาเอาไว้

เมื่อสัมผัสได้ว่าชายเสื้อถูกจับเอาไว้ คนๆ นั้นก็ร้อนใจขึ้น มาคิดจะลงมือบีบให้มั่วหยางถอยร่นไป

แต่ว่า เขายังไม่ทันได้ลงมือก็รู้สึกว่าฟ้าดินกลับหัว ทั้งตัวคนถูกมั่วหยางโยนไปกลางอากาศ หมุนอยู่กลางอากาศ หลายรอบแล้วก็ตกออกไปนอกเวที

พลั่ก!

ทุกคนตกตะลึง!

“อา!”

“นี่…นี่มัน…เท่เกินไปแล้ว!”

“ให้ตายสิ! แบบอย่างของข้า!”

บรรดาหลิวเค่อที่ชมดูอยู่ต่างพากันตกตะลึง ฝีมือที่เฉียบคมเด็ดขาดนี้ของมั่วหยาง ท่าร่างที่ดูลึกลับและแปลกประหลาดล้วนแต่ทำให้ทุกคนแปลกใจมาก

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้น เอ่ยกับไป๋สี่ด้วยท่าทีที่ดู เหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิงว่า “สองปีมานี้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดของมั่วหยางก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจริงๆ”

ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดเป็นท่าร่างโบราณที่นางได้มาจากซากปรักหักพังโบราณในหลินชวน ไม่ใช้พลังจิต เป็นวิธีการเดินเปลี่ยนตำแหน่งอย่างลึกลับ การเปลี่ยนแปลงไม่มีสิ้นสุด ยิ่งฝึกฝนจนคุ้นเคยมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเหนือความคาดหมาย คาดเดาได้ยาก ทำให้คนป้องกันไม่ทัน นับตั้งแต่ได้รับมันมา มู่ชิงเกอก็รู้แล้วว่าเป็นของดี ดังนั้นจึงสั่งการให้องครักษ์เขี้ยวมังกรต้องฝึกท่าก้าวดาราก่อ กำเนิดทุกวัน แล้วก็เอาท่าก้าวดาราก่อกำเนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประเมินฝีมือ

ดังนั้น คู่ต่อสู้ของมั่วหยางจึงสัมผัสไม่ได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังจิต รอจนมีปฏิกิริยากลับมา มั่วหยางก็ได้ไปถึงตรงหน้าของเขาแล้ว เพียงแค่แย่งชิงโอกาสได้ก่อน ชัยชนะก็กำหนดได้แล้ว

ผู้บุกโจมตีสองคน มั่วหยางใช้กระบวนท่าเดียวจัดการไปทีละคน เร็วจนคนไม่กล้าที่จะเชื่อ

ส่วนอีกด้าน เขี้ยวมังกรสามกลุ่มที่บุกโจมตีก็ชนะอีกครั้ง พวกเขาเดินลงมาจากเวที และในตอนที่เจ้าของเวทีรู้สึกโล่งใจ พวกเขาก็พลิกตัวขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง ฉากนี้ทำให้ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึง ส่วนเจ้าของเวทีทั้งสามนั้นก็ ยิ่งมีปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่า เมื่อมองเห็นพวกเขาขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งก็กระโดดลงจากเวทีไปเลย แพ้โดยไม่ต่อสู้!

การเคลื่อนไหวของสามคนนี้เป็นระเบียบและพร้อมกัน จนเหมือนกับได้ฝึกซ้อมกันมา ชั่วขณะนั้นก็ทำให้กลุ่มคนที่ชมดูพากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งกันไป

การหัวเราะนี้ทำให้เจ้าของเวทีทั้งสามคนอับอายจนแทบอยากจะหาหลุมกระโดดลงไปซ่อนตัว

ส่วนผู้นำทั้งสามบนอัฒจันทร์ก็รู้สึกหน้าซีดบิดเบี้ยวเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว

ผู้นำของยักษ์วิถีอดไม่ได้ก่อนใคร หันไปมองมู่ชิงเกอที่กำลังดูผ่อนคลายแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเมืองมู่ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มออกเล็กน้อย หันไปมองเขา แล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมรึ?”

“ท่านยังจะถามว่าเป็นอะไรอีกหรือ? คนของท่านกำลังคิดจะแกล้งพวกเราเล่นใช่ไหม?” ผู้นำของยักษ์วิถีเอ่ยอย่างโมโห

ผู้นำคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายในสายตาที่มองมาก็มีความหมายเหมือนกัน

มู่ชิงเกอยิ้มและเอ่ยว่า “ภายในกฎก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ขึ้นบนเวทีอย่างต่อเนื่องนี่ พวกเขาก็ไม่ได้ทำผิดกฎเสียหน่อย”

ผู้นำของยักษ์วิถีไร้คำพูดที่จะโต้กลับ เพราะว่ามู่ชิงเกอพูดถูก ในกฎไม่ได้บอกเอาไว้พวกเขาไม่ถือว่าทำผิดกฎ ขึ้นไปบนเวทีก็อาศัยความสามารถของตนเอง ตนเองแพ้แล้วจะโทษว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปอย่างนั้นหรือ?

เห็นผู้นำของยักษ์วิถีไม่พูดอะไรอีก ผู้นำอีกสองคนก็เม้มริมฝีปากนิ่งเงียบไป มู่ชิงเกอถึงได้ยิ้มบางๆ ออกมา ถอนสายตากลับ

องครักษ์เขี้ยวมังกรสามนายก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผลสรุปเช่นนี้ ไม่ได้ต่อสู้ก็ชนะแล้ว มองหน้ากันแล้วก็มองไปที่มู่ชิงเกอบนอัฒจันทร์

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมืดทึบลงเล็กน้อย พยักหน้าให้กับพวกเขา แล้วทั้งสามคนก็หันกายลงจากเวที ยืนอยู่ด้านล่างเวที ดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ขึ้นไปอีก

หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขี้ยวมังกรทั้งสามคนไม่ขึ้นเวทีมาอีกแล้ว เจ้าของเวทีที่น่าสงสารทั้งสามถึงได้ขึ้นมาบนเวทีอย่างระมัดระวัง

ส่วนผู้บุกโจมตีคนอื่นๆ ก็มองไปยังเขี้ยวมังกรทั้งสามคนนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าพวกเขาจะไม่ขึ้นไปอีกแล้วถึงได้กระโดดขึ้นเวทีไป เจ้าของเวทีทั้งสามหลังจากเห็นว่าคู่ต่อสู้ของตนเองไม่ใช่เขี้ยวมังกรแล้วถึงได้โล่งใจ สร้างกำลังใจขึ้นมาใหม่เตรียมกู้สถานการณ์กลับคืน

ส่วนอีกทาง บนเวทีของเขี้ยวมังกร มั่วหยางไปยืนอยู่ตรงกลางของเวทีอีกครั้ง ไพล่สองมือไว้ด้านหลัง นิ่งเงียบรอคอย

มีอีกคนขึ้นเวทีมาประลอง ครั้งนี้ เขาได้รับบทเรียนจากสองคนก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดมากความรวมรวมพลังจิตไว้บนกำปั้นพุ่งเข้าไปใส่มั่วหยางโดยตรงเลย

คู่ต่อสู้บีบเข้ามาใกล้ แต่มั่วหยางกลับเหมือนมองไม่เห็นก็ไม่ปาน ยังคงไม่ขยับแม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ

ปัง!

กำปั้นของคนผู้นั้น ปะทะเข้ากับหน้าอกของมั่วหยางอย่างรุนแรง พลังจิตของทั้งสองคนปะทะกันจนเกิดแสงสีเงินวาววาบ

เพียงแต่ว่า คนๆ นั้นกลับตกตะลึงที่ค้นพบว่า มั่วหยางยังคงไม่ขยับ ส่วนดวงตาที่เรียบนิ่งไร้คลื่นลมที่มองมายังตนเองคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความดูแคลน ส่วนหมัดของเขาที่ชกออกไปก็เหมือนกับชกเข้าใส่ก้อนหิน เขาไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของชุดเกราะบนร่างของมั่วหยางได้เลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังป้องกันของร่างกายเขาเลย

ทันใดนั้น มั่วหยางก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ออกแรงที่หน้าอก พลังสายหนึ่งสะท้อนกลับไปยังร่างของคนผู้นั้น ทำให้เขากระเด็นลอยออกไป ตกออกไปนอกเวที

นกกา รอบด้านบินเตลิดด้วยความตกใจ

ทุกคนอ้าปากเบิกตากว้าง มองไปยังมั่วหยางที่ยืนมือไพล่หลังอยู่บนเวที

“ให้ตายเถอะ! ชุดเกราะนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

“ผู้นำมั่วหล่อจริงๆ!”

“ท่านมั่วเป็นของข้า! ท่านมั่วข้าอยากมีลูกให้ท่าน!”

“ชิ! ที่ผู้นำมั่วชอบนั้นเป็นเช่นข้าที่สามารถขึ้นม้าล่าสัตว์อสูรได้ ลงจากม้ายังดูแลบ้านได้ต่างหาก”

“ชุดเกราะของเขี้ยวมังกรช่างทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้จริงๆ!”

“หากว่าเข้าร่วมกับเขี้ยวมังกรแล้วสามารถมีชุดเกราะเช่นนี้ได้ข้าก็จะไป!”

“ข้าก็จะไป!”

“ข้าก็ไป!”

“ข้าไป! ”

“ข้าไป! ”

เสียงวิเคราะห์พูดคุยกันลอยเข้ามาในหูของมู่ชิงเกอไม่หยุด

หลังจากที่เลื่อนระดับแล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางก็ดีมากขึ้น นางไม่คิดอยากจะฟังก็ยังทำไม่ได้

ได้ยินเหล่าหลิวเค่อผู้หญิงออกตัวอาสาจะกำเนิดลูกให้มั่วหยางแล้วในใจของนางก็ขบขันไม่หยุด แต่ว่าเมื่อได้ยินบรรดาหลิวเค่อผู้ชายด้านหลังที่ถูกชุดเกราะของเขี้ยวมังกรกระตุ้นจนอยากจะเข้าร่วมแล้ว สีหน้าของนางก็ฉายแววแปลกประหลาดออกมาแวบหนึ่ง ‘ทำไมฟังดูแล้วไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่?’

การให้กำลังใจของทางฝั่งเขี้ยวมังกรสูงขึ้น สีหน้าของผู้นำทั้งสามแทบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

แม้ว่ากองกำลังของพวกเขาเองก็ร่วมกันตะโกนเชียร์พวกเขาอยู่ในกลุ่มคน แต่เสียงเล็กๆ นั่น เพิ่งจะส่งเสียงออกมาก็ถูกเสียงสนับสนุนเขี้ยวมังกรท่วมโถม กระหน่ำจนไม่อาจจะกระตุ้นอะไรได้เลย

วันที่หนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันนี้เขี้ยวมังกรโดดเด่นมาก เพียงแค่วันเดียวก็ได้คะแนนมาสองร้อยกว่าคะแนน ส่วนอีกสามฝ่ายกลับทุลักทุเลมาก ได้รับเพียงไม่กี่สิบคะแนนเท่านั้น

เมื่อเข้าสู่ยามคํ่าคืน ภายในโรงนํ้าชาเมืองเทียนผิง ประเด็นที่ทุกคนพูดคุยกันก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเขี้ยวมังกร

ในการแข่งขันในครั้งนี้ได้กระตุ้นให้หลิวเค่อจำนวนไม่น้อยเกิดความคิดที่จะไปทางเขี้ยวมังกร และก็มีคนไม่น้อยที่ได้ตัดสินใจว่ารอเสร็จความคึกคักในเมืองเทียนผิงนี้แล้ว ก็จะไปลั่วซิงเฉิงในภาคตะวันตกเพื่อเข้าร่วมคัดเลือกเป็นกองทัพเลือดมังกรของเขี้ยวมังกร

เมื่อเขี้ยวมังกรที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวในเมืองกลับคืนมา เรือนพักและรายงานข่าวแก่มู่ชิงเกอแล้ว นางก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายของตนเองนั้นสำเร็จแล้ว

ใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้แก่เขี้ยวมังกร ดึงดูดให้มีหลิวเค่อเดินทางไปยังลั่วซิงเฉิงมากขึ้น เข้าร่วมกับเขี้ยวมังกร วิธีนี้ที่จริงแล้วก็มีจุดมุ่งหมายและได้ผลลัพธ์เหมือนกับการใช้โฆษณาส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วมกองทัพในชาติก่อน

ล้วนแต่ใช้ท่าทางอันสง่างามและความเท่ของทหารเพื่อดึงดูดวีรบุรุษเลือดร้อนเข้าร่วมกองทัพ

“อืม วันที่สองก็ให้ทั้งสามฝ่ายแข่งกันไปเถอะ” ก่อนที่จะไปพักผ่อน มู่ชิงเกอก็สั่งการกับมั่วหยางไป

ดังนั้นวันที่สองเขี้ยวมังกรจึงถูกกำหนดให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยม

การแข่งขันในวันที่สอง มู่ชิงเกอก็ยังคงไปเช่นเดิม และก็ยังคงนั่งอย่างเกียจคร้าน เล่นกับปลอกนิ้วบนมือขวาของนาง ส่วนเขี้ยวมังกรก็คะแนนลดลงไปมาก นอกจากมั่วหยางที่เฝ้าเวทีและไม่พ่ายแพ้แม้แต่คะแนนเดียวแล้ว ผู้บุกโจมตีอีกเก้าคนก็ล้วนแต่ขึ้นไปต่อสู้แค่เพียงบางครั้ง ชนะแล้วก็ลงมา

เมื่อลดการแย่งชิงจากเขี้ยวมังกรลง อีกสามฝ่ายก็คว้าโอกาส เริ่มแย่งชิงกันอย่างดุเดือดมากขึ้น

มู่ชิงเกอลอบมองสีหน้าของผู้นำกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี และยักษ์วิถี แม้ว่าพวกเขาจะข่มกลั้นเอาไว้ แต่ก็ยังเผยแววตากระหายในชัยชนะหลุดออกมาเป็นบางครั้งอยู่ดี

นี่ทำใหในใจของนางขบขันขึ้น ‘คิดอยากจะชนะนั้นเป็นเรื่องดี’

“ร้อยอัคคีมีคนมีความสามารถไม่น้อยเลย” ผู้นำของยักษ์วิถีมองเห็นคนเฝ้าเวทีของตนเองถูกคนของร้อยอัคคีตีลงไป ก็เอ่ยออกมา

ผู้นำของร้อยอัคคีหัวเราะ “โชคดีเท่านั้น”

พูดอย่างถ่อมตัว แต่กลับไม่สามารถปิดบังความภูมิใจในดวงตาได้

แต่เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป บนเวทีของฝั่งตนเอง เจ้าของเวทีของเขาก็ถูกคนของยักษ์วิถีจัดการไปแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปชั่วขณะ มุมปากกระตุก

ผู้นำของยักษ์วิถีหัวเราะเอ่ยว่า “โชคดีเท่านั้น”

ผู้นำของกลืนจันทร์ก็เอ่ยอย่างเยาะเย้ยว่า “ดูแล้วโชคของทุกคนล้วนแต่พอๆ กัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version