Skip to content

พลิกปฐพี 356

ตอนที่ 356

ออมมือแล้ว! ออมมือแล้ว!

สีหน้าของผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีล้วนแต่ถูกคำพูดของเขาทำให้หน้าออกสีเขียวสีขาวสลับไปมา ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก

มู่ชิงเกอนั่งเงียบๆ อยู่อีกข้าง มองดูทั้งสามคนที่ลอบต่อสู้กันอย่างลับๆ อย่างสนอกสนใจ

ทันใดนั้น ผู้นำของกลืนจันทร์ก็มองมาทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยขึ้นว่า “เจ้าเมืองมู่ วันนี้เขี้ยวมังกรดูตกต่ำไปมากนะ!”

มู่ชิงเกอยิ้มค่อยๆ พูดออกมาว่า “ไม่รีบๆ นี่ก็เพียงแค่วันที่สองเท่านั้น”

ความหมายนอกคำพูดก็คือ นี่เพิ่งผ่านไปหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น ทุกอย่างยังเร็วไปอยู่

ถูกนางตอบกลับมาแบบไม่อ่อนไม่แข็ง ผู้นำของกลืนจันทร์ยิ้ม แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็ถูกการแข่งขันอันดุเดือดบนเวทีดึงดูดความสนใจไปอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นการแข่งขันที่เกี่ยวพันถึงการแบ่งเหมืองศิลาวิญญาณ เขาไม่อาจไม่ร้อนใจได้!

ผู้นำของกลืนจันทร์เป็นเช่นนี้ ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็เป็นเช่นนี้ แต่เดิมทั้งสามคนนั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพราะการปรากฎตัวของเขี้ยวมังกร แต่มาตอนนี้กลับเป็นเพราะคำพูดไม่กี่คำของมู่ชิงเกอทำให้เกิดมีช่องว่างระหว่างกันขึ้นมา

ตอนนี้ การจัดอันดับนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ในพวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่สามารถวางใจไว้ด้านนอกได้

วันที่สองนั้นถึงแม้ว่าเขี้ยวมังกรจะตกตํ่าไปบ้าง แต่การแข่งขันกลับยิ่งดุเดือดเป็นพิเศษทั้งสามฝ่ายแย่งชิงกันจนแทบไม่ไว้หน้ากันเลย เพียงแค่คว้าโอกาสต่อสู้อย่าง หนักเพื่อไล่ตามคะแนน

จนถึงสุดท้าย ผู้นำของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี และยักษ์วิถีสามคนก็แค้นจนแทบอยากจะขึ้นเวทีไปต่อสู้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องราวนั้นไม่เกี่ยวกับมู่ชิงเกอที่นั่งดูอย่างสนุกสนานเลย

ผลสรุปของการแข่งขันในวันที่สองออกมา คะแนนของทั้งสี่ฝ่ายก็ได้เข้ามาใกล้กันแล้ว

ฝ่ายที่ได้คะแนนเยอะมากที่สุดนั้นไม่ใช่เขี้ยวมังกร แต่เป็นกลืนจันทร์ที่ได้คะแนนนำไป 305 คะแนน เมื่อผลลัพธ์นี้ออกมา ผู้นำของกลืนจันทร์ก็ยิ้มกว้าง

ส่วนผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีกลับมีสีหน้าที่ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก มาเป็นอันดับสองนั้นคือเขี้ยวมังกร คะแนนต่ำกว่ากลืนจันทร์เพียงแค่สามคะแนน

มาเป็นอันดับที่สามและสี่นั้นเป็นร้อยอัคคีและยักษ์วิถี พวกเขาล้วนแต่ได้คะแนนไปสองร้อยกว่าคะแนน และห่างจากกันไม่มาก

ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย และก็ดึงดูดให้บรรดาหลิวเค่อที่ชมดูอยู่เกิดความสงสัย พากันคาดเดาว่าผู้ชนะในตอนสุดท้ายจะเป็นฝ่ายไหน ที่สำคัญก็คือที่เขี้ยวมังกรอยู่ดีๆ ก็ตกตํ่านั้นเพราะคิดจะทำอะไรกัน?

ภายในเรือนที่พักของเขี้ยวมังกร หลังจากมู่ชิงเกอทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว มือถือชาร้อน สองตาปรือ ท่าทางดูผ่อนคลายมาก

มั่วหยางยืนอยู่ข้างกายนาง กระซิบเสียงเบาว่า “คุณชาย ตอนนี้ด้านนอกเกิดการคาดเดาขึ้นต่างๆ นานา ทั้งยังมีคนเปิดพนันขึ้นด้วย”

“ให้พวกเขาคาดเดาไปเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางดูไม่สนใจ

มั่วหยางขบริมฝีปากแล้วก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ผลลัพธ์ในวันนี้ ไม่ได้ต่างจากที่คุณชายคาดการณ์ไว้มากนัก”

“อืม” มู่ชิงเกอพยักหน้า เบิกตากว้างมองดูมั่วหยาง “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

ไม่ผิด ผลลัพธ์ในวันนี้ล้วนแต่เป็นเขี้ยวมังกรลอบจัดวางขึ้นมา

แม้ว่าผู้นำของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี และยักษ์วิถี จะคิดจนสมองแตกก็คิดไม่ถึงว่าการที่พวกเขาแข่งขันแย่งชิงกันแทบตาย เป็นเพียงแต่การวางแผนฉากหนึ่งของมู่ชิงเกอเท่านั้น

มู่ชิงเกอวางจอกชาในมือลง เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้กลืนจันทร์อยู่อันดับหนึ่ง ก็จะไม่สามารถดึงร้อยอัคคีกับยักษ์วิถีเข้ามาหาได้แล้ว ส่วนเขี้ยวมังกรก็อยู่ลำดับที่สองอย่างมั่นคง อันดับที่สามและสี่ที่เหลือก็เพียงแต่จะทำให้การต่อสู้ ระหว่างร้อยอัคคีและยักษ์วิถีดุเดือดยิ่งขึ้น ไม่สามารถร่วมมือกันได้อีก ระยะห่างที่เล็กน้อยเพียงพอที่จะดึงดูดให้พวกเขามีความคิดที่จะแก้สถานการณ์กลับ พรุ่งนี้เพียงแค่เขี้ยวมังกรเอาคะแนนมากขึ้นพอให้พลิกกลืนจันทร์กลับก็ใช้ได้แล้ว”

มั่วหยางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจ ว่าวันนี้หากเขี้ยวมังกรนำโด่งอีกก็จะทำให้อีกสาม ฝ่ายเกิดความระแวงขึ้นในใจแล้วก็ร่วมมือกันอีกครั้ง

เพื่อจัดการเขี้ยวมังกร”

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางวางแผนการนี้ขึ้นก็เพื่อกำจัดโอกาสเช่นนี้ออกไป

“แต่ว่า…” มั่วหยางลังเลเล็กน้อย คิดจะพูดอะไรแล้วก็กลืนกลับลงไปไม่พูด

มู่ชิงเกอพูดกับเขาว่า “คิดจะถามอะไรก็ถามออกมาเถอะ”

เมื่อเป็นเช่นนี้มั่วหยางถึงได้เอ่ยว่า “ผู้นำของกลืนจันทร์นั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ หากว่าถูกเขามองทะลุแผนการที่คุณชายวางเอาไว้แล้วจะทำอย่างไร?”

มู่ชิงเกอกลับฉีกยิ้มขึ้นมา “แม้ว่าเขาจะรู้แล้วก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้นั้นเขาอยู่อันดับที่หนึ่ง นี่คือข้อเท็จจริง ส่วนแบ่งสี่ส่วนของเหมืองศิลา วิญญาณเป็นอุปสรรคต่อการร่วมมือกับคนอื่น ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุแล้วไปพูดคุยกับอีกสองฝ่ายที่เหลือก็ไม่อาจจะได้ข้อสรุปอะไรได้ เพราะว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะอย่างไร หากไม่ใช่กลืนจันทร์ก็เป็นเขี้ยวมังกรที่ได้อันดับหนึ่ง ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรให้กับอีกสองฝ่ายที่เหลือ แน่นอนว่าหากเขาสามารถใช้ผลประโยชน์เข้าแลก รับรองว่าหากได้รับสี่ส่วนแล้วจะยอมเอาหนึ่งส่วนแบ่งให้กับอีกสองฝ่าย บางทีก็อาจจะดึงเอาสองคนนั้นมาเป็นพวกเดียวกันได้ แต่ว่า หากเขาทำเช่นนั้นก็จะต่างอะไรกับได้อันดับที่สองเล่า ไม่เพียง แต่ไม่ได้รับส่วนแบ่งเหมืองศิลาวิญญาณมากขึ้น ยังต้องเอาส่วนของตนเองแบ่งออกไปอีก การค้าขายเช่นนั้นไม่คุ้มค่า ดังนั้นเขาจะไม่ทำแน่”

เมื่อได้นางอธิบายเช่นนี้แล้วมั่วหยางก็เข้าใจอย่างชัดเจน ที่แท้อุบายที่คุณชายของตนเองใช้นั้นก็คือให้เจ้าสามารถมองอุบายออกอย่างชัดเจนแต่ยังคงต้องเดินไปตามแผนที่วางเอาไว้เช่นเดิม เอาชนะมาอย่างเปิดเผย

มั่วหยางคิดเข้าใจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่ากลอุบายของคุณชายยิ่งเพิ่มความลํ้าลึกขึ้นไปอีก แม้แต่ตัวเขาเองที่ติดตามอยู่ข้างกายนางมานาน ก็ยังมองไม่ออกในแวบเดียว

“เข้าใจหรือยัง?” มู่ชิงเกอมองมั่วหยางแล้วเอ่ยขึ้น

มั่วหยางเม้มริมฝีปากพยักหน้า

มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา “ถึงจะพูดว่านี่เป็นโลกที่ถือพละกำลังเป็นใหญ่ ใครกำปั้นใหญ่กว่า คนนั้นก็เป็นคนสร้างกฎ แต่ว่ามีบางเรื่องที่ในเมื่อสามารถเก็บเกี่ยวผล ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง แล้วจะยังไปสูญเสียพลังไปทำไมให้เปล่าประโยชน์?”

“ข้าน้อยทราบแล้ว” มั่วหยางกุมกำปั้น คำนับให้นาง นัยน์ตาทั้งสองฉายแววเคารพนับถือ

เคารพนับถือ! ไม่อาจไม่เคารพนับถือได้!

เขาติดตามมู่ชิงเกอมาตั้งแต่เด็ก มองนางเติบโตขึ้นทีละก้าว…ทีละก้าว…ทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งในตอนนี้ มองเห็นนางควบคุมม้าพยศ เห็นนางชี้ลมชี้เมฆ มองเห็นนางโมโหโค่นล้มราชา…นางในทุกๆ แบบล้วนแต่ทำให้เขาเคารพนับถือ

ผู้หญิงเช่นนี้ทำให้คนอดเคารพไม่ได้ไม่อาจไม่นับถือ

บูชา!

มั่วหยางถอยออกมาจากห้องของมู่ชิงเกอ เขาเงยหน้ามองดาวบนขอบฟ้า

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจลอบเอ่ยเงียบๆ ว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไร ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์อย่างไร ไม่ว่าจะเสี่ยงอันตรายหรือลำบากแค่ไหน ข้าก็จะเดินไปกับท่านจนถึงที่สุด เป็นพยานให้กับทุกๆ ปาฏิหาริย์ที่ท่านสร้างขึ้น นี่เป็นเกียรติของข้า และก็เป็นเกียรติขององครักษ์เขี้ยวมังกรทุกคน!’

วันสุดท้าย กลายเป็นวันที่สำคัญที่สุด วันนี้เพียงแค่มู่ชิงเกอขึ้นไปบนอัฒจันทร์ผู้นำของกลืนจันทร์ก็เดินมาหานางทันที

“เจ้าเมืองมู่” ผู้นำของกลืนจันทร์เอ่ยปากขึ้น

มู่ชิงเกอยิ้มๆ “ท่านหัวหน้ากลืนจันทร์’

หลังจากทั้งสองคนทักทายกันแล้ว ผู้นำของกลืนจันทร์ถึงได้ยิ้มอย่างมีเลศนัยเอ่ยว่า “เจ้าเมืองมู่อายุยังน้อย แต่กลับฉลาดถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ หมากตานี้วางได้แยบยลมาก ทำให้ข้ารู้สึกนับถือยิ่งนัก แต่ทว่า วันเวลายังอีกยาวไกล มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ เจ้าเมืองมู่ต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

คำพูดนี้พูดอย่างมีลับลมคมใน

แต่มู่ชิงเกอก็รู้ว่า ผู้นำของกลืนจันทร์ได้ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดมาหนึ่งคืน และได้มองกลอุบายของนางออกแล้ว

เพียงแต่ว่า ก็เหมือนกับที่นางคาดการณ์เอาไว้ แม้ว่าจะมองออก ก็หมดหนทางอยู่ดี ทำได้เพียงแต่เดินไปตามแผนการที่นางวางเอาไว้

ที่ตอนนี้มาพูดเช่นนี้ ก็เพียงเพราะรู้สึกไม่ยินยอมที่โดนกลนแกล้ง จึงมาแสดงท่าทีว่าตนเองไม่ได้โง่เขลา มองกลอุบายของนางออกแล้ว จากนั้นก็พูดข่มขู่สักหน่อย

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจเอ่ยกับเขาว่า “น้อมรับตลอดเวลา”

มั่นใจเช่นนี้ และองอาจเช่นนี้! เจ้าจะเอาอย่างไรกับข้า? ไม่ว่าเจ้าจะมาเมื่อไหร่ มาอย่างไร ข้าก็พร้อมรับมือ

ผู้นำของกลืนจันทร์ยิ้มเย็น สะบัดชายเสื้อจากไป

มู่ชิงเกอฉีกยิ้มออกเล็กน้อย นัยน์ตาสดใสดูเรียบสงบ

ทั้งสี่คนนั่งลง การแข่งขันเริ่มขึ้นอีกครั้ง วันที่สาม เขี้ยวมังกรดูเหมือนว่าจะออกแรงอีกครั้ง ได้คะแนนแซงหน้ากลืนจันทร์ไปอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังทิ้งระยะห่างออกไปไกล ทำให้อีกสามฝ่ายไล่ตามทันได้ยาก ไม่อาจไม่หันไปแก่งแย่งอันดับที่สอง

ครึ่งวันหลัง ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอจะเห็นเพียงการต่อสู้กันระหว่างสามฝ่าย

จนถึงเวลาหมด ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อประกาศคะแนน สุดท้ายนั้น มู่ชิงเกอถึงได้ลุกยืนขึ้นมา พูดกับอีกสามคนว่า “ออมมือแล้ว ออมมือแล้ว

ใบหน้าอันงดงาม รอยยิ้มหวานสร้างความหลงใหลให้ผู้คนนั้น เมื่อตกอยู่ในสายตาของอีกสามคนที่เหลือกลับดูทิ่มแทงนัยน์ตาและชวนให้หมั่นไส้

เขี้ยวมังกรได้อันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อสงสัย คนที่ชมดูมองเห็นเพียงแต่การต่อสู้ที่ดุเดือดบนเวที มองไม่เห็นกลอุบายใต้เวที

กลืนจันทร์ได้อันดับที่สอง ยักษ์วิถีได้อันดับที่สาม ร้อยอัคคีได้อันดับที่สี่ได้เพียงผลประส่วนหนึ่งไปอย่างน่าสงสาร

นี่ทำให้ชั่วขณะนั้นผู้นำของร้อยอัคคีเหมือนลืมไปแล้วว่าการยิ้มเป็นอย่างไร ทำหน้าบึ้งส่งไอเย็นยะเยือกที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ออกมา

มู่ชิงเกอได้ผลประโยชน์สี่ส่วน แน่นอนว่าดียิ่งกว่าข้อเสนอแบ่งอย่างเท่าเทียมกันที่พวกเขาเสนอออกมาเมื่อก่อนมาก

ผลคะแนนออกมาแล้ว นางก็เสนอให้เดินทางไปดูเหมืองในเขาอวี้เหยียน ขณะเดียวกันก็ยังต้องจัดเขี้ยวมังกรเข้าไปเฝ้า แต่ก่อนที่นี่นั้นเป็นการจัดแบ่งเฝ้าดูแลและจับตาดูเหมืองของสามฝ่าย ตอนนี้มีเขี้ยวมังกรเพิ่มเข้ามา นางก็ต้องไปเยี่ยมชมเพื่อส่งกองกำลังเข้าประจำการ ตอนนี้นางนั้นได้ส่วนแบ่งสี่ส่วน หากว่าศิลาวิญญาณที่ขุดออกมามีขาดหายไป สำหรับนางแล้วก็เป็นการสูญเสียไม่ใช่หรือ

ดังนั้นในวันที่สอง กองกำลังระดับนภาทั้งสี่ถึงได้ออกเดินทางไปยังเขาอวี้เหยียน ครั้งนี้มู่ชิงเกอพาโห่วไปด้วย

นี้ทำให้ทั้งสามฝ่ายที่แพ้การแข่งขันและอยากกู้หน้ากลับมา ถอยกลับไปอีกครั้ง

กำลังของโห่วทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือทำอะไร

เขาอวี้เหยียนถือว่าเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของเทือกเขาเล่อสุ่ย อยู่ในเขตของเมืองเทียนผิง และก็แน่นอนว่าเป็นของสมาคมหลิวเค่อ

ดังนั้น แม้ว่าที่นี่จะมีเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง บรรดาตระกูลต่างๆ ก็ไม่มีทางมาแย่งชิงเอาไปง่ายๆ เพราะจะเป็นการยั่วโมโหเหล่าหลิวเค่อ

มู่ชิงเกอกับองครักษ์เขี้ยวมังกรขี่ม้าเขากระดูกมากับอีกสามฝ่ายไปถึงยังตีนเขาอวี้เหยียน ที่นี่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ป่าไม้หนาแน่นเขียวขจี สูงเสียดเมฆเป็นทิวทัศน์ที่ไม่เลว

“เจ้าเมืองมู่ เหมืองของเขาอวี้เหยียนอยู่ภายในเขานี้ เดินทางไปจากที่นี่ใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งวัน” ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่ออธิบายให้มู่ชิงเกอฟัง

มู่ชิงเกอกวาดตามองรอบด้าน เอ่ยถามว่า “ในเมื่อเป็น เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่เปิดถนนสักสายเพื่อให้เดินทางได้สะดวกเล่า?”

ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อยังไม่ทันได้ตอบ ผู้นำของยักษ์วิถีก็หัวเราะเอ่ยว่า “ทำไมต้องยุ่งยากถึงขนาดนั้นด้วยเล่า? ศิลาวิญญาณที่ขุดออกมาได้ เก็บเข้าไปในอุปกรณ์จัดเก็บก็สามารถเอาออกมาได้แล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version