ตอนที่ 68
ปีกตำหนัก
“ชิงเกอเจ้าเป็นอะไรไป?” ฉินอี้เหยาที่รับรู้ถึงท่าทางของมู่ชิงเกอที่ผิดแปลกไปถามขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกชื่อของมู่ชิงเกอ ก่อนพูดนั้นนางดูเขินอาย แต่สุดท้ายเมื่อพูดออกมา ก็พบว่าเรียกได้คล่องปากเป็นอย่างมาก
มู่ชิงเกอที่โกรธเพราะคนบางคนอยู่ไม่น้อย ไม่ได้สังเกตว่าท่าทีขององค์หญิงฉางเล่อดูเปลี่ยนไป นางแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “อ่อ ไม่มีอะไร”
นางไม่ยอมตอบ ฉินอี้เหยาจึงไม่คัดค้านเอาความอีก
นางกำนัลทั้งสองเดินอ้อมจากบริเวณที่เต็มไปด้วยผู้คนไปยังวังตากอากาศ
ยิ่งเดินลึกเข้าไป มู่ชิงเกอก็ยิ่งรู้สึกฉงนใจ ในที่ที่เปล่าเปลี่ยวขนาดนี้ป๋ายซีเยวี่ยกล้ามากับรัชทายาทได้อย่างไร และรัชทายาทจะพานางมาทำอะไรในที่เปลี่ยวเช่นนี้
“องค์หญิง คุณชาย ตรงห้องโถงข้างหน้านี้แหละเจ้าค่ะ” นางกำนัลพูดพลางชี้ไปยังประตูอันลึกลับบานหนึ่ง
“ที่นี่หรือ?” ฉินอี้เหยาขมวดคิ้ว เหมือนรู้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
“ที่นึ่คือที่ไหนกัน?” มู่ชิงเกอมาที่นี่ครั้งแรก รู้สึกไม่เข้าใจการออกแบบของวังตากอากาศนัก จึงถามตรงๆ
“นี่ที่คือปีกตำหนัก ไม่มีใครมาที่นี่มานานมากแล้ว พูดได้ว่าเป็นตำหนักร้าง”
“รัชทายาทพาป๋ายซีเยวี่ยมาทำอะไรที่นี่” พอฉินอี้เหยาอธิบายแล้วก็หันกลับไปถามนางกำนัล “พวกเจ้าเห็นใครตามมาอีกหรือไม่?”
นางกำนัลส่ายหน้าพลางพูดว่า : “บ่าวเห็นแม่นางป๋ายเดินตามรัชทายาทเข้ามาที่นี่ รอบข้างไม่มีใครคอยปรนนิบัติเลย แน่ใจว่าพวกเขาเดินเข้าไปที่ปีกตำหนัก บ่าวจึงรีบไปบอกองค์หญิงกับคุณชาย”
ฉินอี้เหยามองมู่ชิงเกอ เหมือนรอการตัดสินใจของนาง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางเริ่มใส่ใจกับความคิดเห็นของมู่ชิงเกอ แต่พอรู้ตัว ชายชุดแดงผู้งดงามไร้ที่ติคนนี้ก็กลายเป็นคนที่นางเชื่อฟังไปเสียแล้ว
มู่ชิงเกอคิดทบทวนแล้วพูดว่า “ลองไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พูดจบก็บอกกับนางกำนัลว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้ หากครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เห็นข้ากับองค์หญิงกลับมา ก็ รีบไปตามฮองเฮามากระจายเรื่องที่รัชทายาทพาตัวแม่นางป๋ายมาออกไปให้ทั่ว ยิ่งมีคนรู้เยอะยิ่งดี” นางกำนัลพยักหน้าในทันที จำคำพูดของมู่ชิงเกอแล้วก็ไป หลบอยู่ข้างภูเขาจำลอง
นางไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมู่ชิงเกอ แต่ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง
“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอพูดกับฉินอี้เหยา
ทั้งสองเดินหน้าไปหลายก้าว ไปทางปีกตำหนัก
“เจ้าสงสัยอะไร?” ฉินอี้เหยาถาม
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ตอนนี้กระหม่อมยังไม่รู้แค่ป้องกันเอาไว้ก่อนก็เท่านั้น” หวังว่านางจะคิดมากไปจริงๆ รัชทายาทคนนั้นคงไม่กล้าทำถึงขั้นนั้น
ในที่สุดมู่ชิงเกอและฉินอี้เหยาก็เดินไปถึงปีกตำหนัก แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตู ก็ได้ยินเสียงสนทนาของชายหญิงคู่หนึ่ง
มู่ชิงเกอหยุดเดิน แล้วรีบคว้ามือของฉินอี้เหยามาจับไว้ แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ฉินอี้เหยาที่ถูกจับมืออย่างกะหันทันหัวใจก็พลันเต้นแรง แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออก ปล่อยให้นางจับอยู่อย่างนั้น
“รัชทายาท ท่านพาข้าน้อยมาที่นี่ทำไมหรือเพคะ?” เสียงของป๋ายซีเยวี่ยดังขึ้นมา
ฟังจากนํ้าเสียงแล้วเหมือนนางจะไม่เป็นอะไร
เพราะฉะนั้น มู่ชิงเกอจึงไม่ได้รีบเข้าไป
“มาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าจะมาดูเอวของเจ้าที่ข้าไม่ทันระวังจนชนเข้าอย่างไรเล่าว่าเคล็ดหรือเปล่า” เสียงของฉินจิ่นซิวเอ่ยดังขึ้นมา
แต่ฟังแล้ว มู่ชิงเกอกลับรู้สึกเหมือนมีความคลุมเครือแอบแฝงอยู่
“รัชทายาทเมตตาข้ามาก ซีเยวี่ยไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” ป๋ายซีเยวี่ยตอบอย่างอ่อนโยน ราวกับไม่รู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของรัชทายาท
แค่บทสนทนา 2 ประโยค ก็ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจได้แล้ว
ที่แท้ป๋ายซีเยวี่ยก็ใช้ไม้นี้เพื่อเข้าใกล้รัชทายาท ฉินอี้เหยาหันมามองมาทางมู่ชิงเกอแต่มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าเบาๆ
ทั้งสองยังคงรอต่อไป
“ไม่ต้องกลัว มาให้ข้าดูก่อน หากบาดเจ็บอะไร จะได้ใปตามหมอหลวงมาดูแลเจ้า” ฉินจิ่นซิวพูดเบาๆ ปลอบใจป๋ายซีเยวี่ย
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเย็นอยู่นอกหน้าต่าง ไม่คิดว่าผู้ที่ชายภายนอกดูเป็นคนสง่างามเปิดเผยอย่างรัชทายาทจะเป็นคนต่ำช้าเช่นนี้ เกรงว่าครั้งนี้ป๋ายซีเยวี่ยคงเหมือนยก ก้อนหินขึ้นมาทุ่มใส่เท้าตัวเองเสียแล้ว
ถ้าหากป๋ายซีเยวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ นางก็ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องนี้
และป๋ายซีเยวี่ยอยู่ในจวนตระกูลมู่มานานขนาดนี้ ครั้งนี้ก็ออกมากับนาง หากเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าท่านปู่จะใช้วิธีทางทหารในการจัดการน่ะสิ เพื่อปกป้องตนเอง ไม่ว่าอย่างไร นางก็ต้องพาป๋ายซีเยวี่ยกลับไปอย่างสมบูรณ์ แต่ว่าก่อนหน้านั้น ก็ขอให้ดอกบัวขาวดอกนี้รับรู้ถึงความยากลำบากสักหน่อยแล้วกัน มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขบขัน ยังคงจับมือฉินอี้เหยาแอบฟังอยู่ข้างผนัง อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่ถึงขั้นตอนสุดท้าย ป๋ายซีเยวี่ยก็คงจะไม่เสียหายอะไรมากขนาดนั้นไม่ใช่หรือ
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็รู้สึกเสียดายกับคำสั่งที่ได้สั่งไปแล้วก่อนหน้านี้
หากฮองเฮามาถึงก่อนเวลา ก็จะทำลายละครฉากสนุกเสียหมดน่ะสิ
“เสด็จพี่รัชทายาทคิดจะทำอะไร?” อย่างไรก็ตามฉินอี้เหยาก็เป็นผู้หญิง แม้จะดูโตและรู้ความ แต่เรื่องทำนองชู้สาวระหว่างชายหญิงนั้น ก็ยังคงอ่อนประสบการณ์อยู่ดี
นางฟังออกว่าบทสนทนาของทั้งสองที่ออกจากห้องนั้นดูแปลกพิกล แต่ไม่รู้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น
มู่ชิงเกอยิ้มขยับพูดโดยไร้เสียงว่า “รอดูต่อไปก็จะรู้”