Skip to content

พลิกปฐพี 357

ตอนที่ 357

สวรรค์ทรงโปรด!

“เช่นนั้นหากเกิดมีคนบุกจู่โจมเหมืองศิลาวิญญาณกะทันหันแล้วต้องการกำลังเสริมล่ะจะทำอย่างไร?” มู่ชิงเกอย้อนถามกลับ

ผู้นำของยักษ์วิถีชะงัก ไร้คำจะพูดต่อ ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน ครู่หนึ่งเขา ถึงได้ทำปากแข็งเอ่ยว่า “ใครจะกล้ามาวางอำนาจในสถานที่ของพวกเราเหล่าหลิวเค่อได้?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร ตอนที่มานางได้รู้แล้วว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ก่อนหน้านี้ทั้งสามฝ่ายต่างฝ่ายต่างส่งคนกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าอยู่ที่เหมือง ที่เหลืออีกสองกลุ่มพักอยู่ในเมือง ทุกๆ ครึ่งเดือนก็จะสับเปลี่ยนกันพักผ่อนครั้งหนึ่ง การจัดวางเช่นนั้นสามารถพูดได้ว่าเหมาะสมมาก มู่ชิงเกอก็ไม่ได้เสนอจะปรับเปลี่ยนอะไร เพียงแต่วันนี้มาถึงสถานที่จริงแล้วมองเห็นทางเข้าเหมืองในเขาอวี้เหยียนที่มีแต่หญ้าและวัชพืช ไม่มีทางที่จะไปถึงได้รู้สึกว่ามีปัญหา

ศิลาวิญญาณที่ขุดออกมานั้นสามารถใช้อุปกรณ์จัดเก็บเคลื่อนย้ายออกมาได้ก็จริง แต่ว่าคนละ? ถ้าหากว่าภายในเหมืองพบอันตรายอะไรแล้วต้องการความช่วยเหลือจากกองกำลังที่เฝ้าอยู่ในเมืองอย่างเร่งด่วน เช่นนั้นเส้นทางนี้ก็จะกลายเป็นอุปสรรค กลายเป็นการช่วยเหลือศัตรูไป

เปิดถนนจากเหมืองสู่นอกภูเขา สามารถร่นระยะเวลาได้และก็ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและการสูญเสียได้มาก

จุดนี้เกรงว่าอีกสามฝ่ายคงไม่ได้คิดอย่างละเอียด หรือบางที่พวกเขาก็อาจจะมีความมั่นใจเพียงพอ รู้สึกว่าคงไม่มีใครกล้ามีความคิดมาบุกจู่โจมเหมืองในเขาอวี้เหยียน

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รบเร้าต่อ เพียงแต่มองมั่วหยางแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจความหมายของนางแล้ว

การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา เรื่องของเขี้ยวมังกรแต่เดิมก็ล้วนแต่เป็นมั่วหยางจัดการ ต่อไปคนที่จะพูดคุยกับสามผู้นำก็คือเขา ดังนั้นปัญหาที่มู่ชิงเกอเสนอขึ้นมาในวันนี้ มั่วหยางเพียงแต่จดจำเอาไว้ ต่อไปมีโอกาสก็จะเสนอขึ้นอีก

ไม่มีทางให้เดิน เวลาผ่านไปหนึ่งวันถึงได้เข้าใกล้เหมือง มู่ชิงเกอถอนหายใจอีกครั้ง หากว่าได้เส้นทางดีๆ สักสาย ละก็คงใช้เวลาเพียงสองในสามส่วนเท่านั้น!

“เจ้าเมืองมู่ ที่นี่ก็คือเหมืองในเขาอวี้เหยียนแล้ว” ผู้นำของกลืนจันทร์ชี้ไปยังถํ้าขนาดใหญ่บนผนังของภูเขา แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

ถํ้านั้นลึกมาก มองจากด้านนอกก็มองเห็นเพียงสีดำผืนหนึ่ง ใกล้กับปากถํ้ามีคนงานเหมืองจำนวนไม่น้อยกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขนศิลาวิญญาณออกมาข้างนอก คนที่รับผิดชอบเฝ้าเหมืองทั้งสามคน ล้วนแต่จ้องมองสังเกตเหล่าคนงานเหมืองอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาแอบซ่อนศิลาวิญญาณ

“ทุกครั้งที่ขุดได้ศิลาวิญญาณออกมา จะต้องชั่งนํ้าหนักในถํ้าก่อนแล้วค่อยออกมานับด้านนอกใหม่อีกรอบ หากว่านํ้าหนักไม่เท่ากัน เช่นนั้นคนงานเหมืองที่รับผิด ชอบกะนั้นทุกคนจะต้องถูกลงโทษทั้งหมด” ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อเอ่ยแนะนำ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น จัดการได้เข้มงวดจริงๆ

“รีบเดิน!” ไกลออกไป มีเสียงตะคอกดังเข้ามา ดึงดูดให้ทุกคนมองไป

เห็นเพียงหลิวเค่อคนที่สวมชุดปักลวดลายของร้อยอัคคี ยกมือสะบัดแส้ตีลงบนคนงานเหมืองที่ล้มกองอยู่กับพื้นคนหนึ่ง

แส้นั้นสะบัดลงบนหลังของคนงานเหมือง เนื้อฉีกขาดเลือดไหลออกมา ส่วนคนงานเหมืองคนนั้นก็ไม่กล้าบ่น เพียงแค่คลานขึ้นมาจากพื้นอย่างสั่นๆรีบจากไป

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยถามว่า “คนงานเหมืองเหล่านี้มาจากไหน?”

ผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อเอ่ยตอบว่า “อ้อ ส่วนมากก็มาจากประชาชนของเมืองเทียนผิง เพื่อมีชีวิตดังนั้นจึงได้มาที่นี่ เพื่อทำงานเป็นคนงานเมือง ยังมีบางส่วนเป็นเชลยของกองกำลังหลิวเค่อทั้งสาม ถูกส่งมาที่นี่เพื่อใช้แรงงาน คนที่ถูกแส้ฟาดเมื่อครู่นั้นเป็นเชลยของร้อยอัคคี”

“เชลย?” มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย หันไปมองมั่วหยาง เหตุใดเขี้ยวมังกรถึงไม่เคยได้ยินถึงคำว่าเชลยอะไรเลย?

มั่วหยางอธิบายทันทีว่า “ภายในหลิวเค่อ มีบางภารกิจ เป็นการปราบปรามโจรภูเขา คนเหล่านี้เป็นคนชั่วร้าย และเมื่อถูกจับมาได้ก็มักจะใส่ตรวน แล้วก็กลายมาเป็นทาสหรือคนใช้ในกองกำลังหลิวเค่อ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า แสดงว่าเข้าใจแล้ว

และก็เข้าใจว่าเหตุใดเขี้ยวมังกรถึงไม่มีเชลย เพราะว่าเขี้ยวมังกรรับภารกิจเช่นนั้นน้อยมาก ถึงแม้จะรับก็จะฆ่าให้สิ้น ไม่เหลือคนมีชีวิต ดังนั้นจึงไม่มีเชลย

สำหรับคนงานเหมือง มู่ชิงเกอไม่ได้แสดงความเห็นอะไร สำหรับนางแล้ว นี่ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่แต่ละคนเลือกด้วยตนเองและก็ต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง

หลังจากเดินดูด้านนอกคร่าวๆ แล้วมองไปในถํ้าแวบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เข้าใจสถานการณ์ของเหมืองศิลาวิญญาณแห่งนี้

ก่อนหน้านี้ไป๋สี่ก็ได้เล่าให้นางฟังไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้นางก็เลยมาดูด้วยตาตัวเอง

“เจ้าเมืองมู่ ทางนั้นคือค่ายพักของพวกเราแล้ว” ผู้นำของร้อยอัคคีชี้ไปยังสิ่งปลูกสร้างใกล้ๆ ถํ้าแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

หลังหนึ่งในนั้นค่อนข้างใหม่อีกทั้งด้านนอกยังไม่มีคนเฝ้า ไม่มีธงบนผนัง ดูราวกับว่ามันได้ถูกเตรียมไว้ให้กับเขี้ยวมังกร

และผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อก็เดินไปยังด้านหน้าสิ่งปลูกสร้างหลังนั้น โค้งกายเอ่ยกับมู่ชิงเกอและมั่วหยางว่า “เจ้าเมืองมู่ ผู้นำมั่ว นี่เป็นค่ายที่พักสำหรับเขี้ยวมังกร รูปแบบเป็นเหมือนกันกับอีกสามฝ่าย แม้แต่ความกว้า ใหญ่หรือการตกแต่งด้านในก็ล้วนแต่เหมือนกัน”

มั่วหยางมองมู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่าทุกอย่างล้วนแต่รอการตัดสินใจจากนาง

มู่ชิงเกออ้าปากพูดว่า “เข้าไปดูเถอะ”

เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ตามมาด้านหลังก็ก้าวมาด้านหน้าในทันที เดินเข้าไปในค่ายที่พัก

เหลือคนสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ร่างกายดุจทวนที่ตั้งตรง

คนที่เหลือเดินตามจิงไห่เข้าไปด้านในแล้วเดินสำรวจรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวเหล่านี้ดูเหมือนได้ผ่านการฝึกฝนมานับร้อยนับพันครั้ง ท่าทางที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีขององครักษ์เขี้ยวมังกร ทำให้ผู้นำของกลืนจันทร์ร้อยอัคคี และยักษ์วิถีแล้วก็ยังมีผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อตกตะลึงกันถ้วนหน้า

รอพวกเขาตามมู่ชิงเกอเข้าไปแล้วนั้น องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ก้าวเข้าไปก่อนก็ได้ทำหน้าที่ของตน เฝ้าอยู่ในทุกจุดสำคัญของค่ายที่พักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จิงไห่เดินกลับมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ รายงานต่อนางว่า “ครูฝึก ได้สำรวจครบหมดแล้ว ยังขาดเพียงแค่ลานฝึกฝนประจำวันเท่านั้น”

มู่ชิงเกอพยักหน้า หันไปมองผู้ดูแลสมาคมหลิวเค่อ ฝ่ายหลังเข้าใจรีบก้าวมาข้างหน้าทันที เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เอ่อ ไม่ทราบว่าเขี้ยวมังกรมีข้อเสนอแนะอะไร เกี่ยวกับลานฝึกฝนประจำวันนี้หรือไม่?”

ขณะเดียวกันเขาก็ลอบบ่นในใจ

ที่นี่เป็นที่เฝ้าเหมืองของหลิวเค่อ ทำงานกันทั้งวัน ไหนเลยจะยังต้องการฝึกฝนอะไรอีก?

อย่าพูดถึงเขาเลย แม้แต่ผู้นำทั้งสามก็มีสีหน้ามึนงง การเป็นหลิวเค่อนั้น นอกจากทำภารกิจแล้วก็เที่ยวดื่ม เที่ยวกิน เสพสุขกับชีวิต สำหรับการฝึกฝนอะไรนั้นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของใครของมัน ลานฝึกฝนประจำวันอย่าพูดแต่ว่าที่นี่ของพวกเขาไม่มีเลย แม้แต่ในเมืองของพวกเขาแต่ละคนก็ไม่มี

“จิงไห่จะบอกเจ้าเอง” มู่ชิงเกอเอ่ยกับผู้ดูแล พูดจบแล้วนางก็เดินเข้าไปในห้อง มั่วหยางก็รีบตามเข้าไป

พวกผู้นำของกลืนจันทร์ทั้งสามคนไม่ได้ตามเข้าไปในทันที เขามองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ดูแล้วเมื่อเขี้ยวมังกรเข้ามาพักจะสามารถทำให้พวกเราได้รู้ว่าพวกเขานั้นทำอะไรบ้างในแต่ละวัน”

ผู้นำของยักษ์วิถีสบถเสียงเย็น เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ข้าดูแล้วเหมือนเป็นการทำตัวเด่นมากกว่า”

ยามคํ่าคืน มู่ชิงเกอไม่ได้กลับเมืองเทียนผิง แต่พักอยู่ในเขาอวี้เหยียนเลย ผู้นำอื่นๆ อีกสามคนทนความโดดเดี่ยวภายในภูเขาไม่ได้ และก็ไม่เหมือนมู่ชิงเกอที่มีสาวงามเคียงกาย ดังนั้นจึงย้อนกลับไปยังเมืองเทียนผิง ตั้งแต่ก่อนฟ้าจะมืดแล้ว

“หลังจากกลับไปถึงลั่วซิงเฉิงแล้ว ก็ให้จัดกองทัพมังกรซ่อนส่วนหนึ่งมาเฝ้าที่นี่ จัดเหมือนกับพวกเขา แบ่งเป็นสามกอง แต่ในทุกๆ กองต้องมีเขี้ยวมังกรอยู่ด้วยหนึ่งคน” มู่ชิงเกอเคาะนิ้วบนโต๊ะ แล้วสั่งการกับมั่วหยาง

“ขอรับ คุณชาย” มั่วหยางรับคำสั่ง

มู่ชิงเกอคิดครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “อสูรเวหาของพวกเจ้าก็อย่าได้เอาแต่เลี้ยงไว้เฉยๆ เวลาที่สมควรให้พวกมันขยับก็ขยับบ้าง ทุกตัวแทบจะกลายเป็นลูกบอลอยู่แล้ว เกรงว่าหากพวกเจ้ายังประคบประหงมพวกมันต่อ พวกมันก็จะไม่รู้แม้แต่วิธีจะบินแล้ว”

มั่วหยางหน้าแดง พยักหน้า

อสูรเวหาของพวกเขาทุกคนนั้นล้วนแต่เป็นยอดดวงใจ ตามสถานการณ์ปกติก็เลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนแทบจะไม่อยากขี่

หลังจากหารือเรื่องเกี่ยวกับเขี้ยวมังกรกับมั่วหยางเสร็จแล้ว มั่วหยางถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย พวกเราพักอยู่ที่นี่ แล้วฝึกฝนทุกวัน ไม่กลัวว่าอีกสามฝ่ายจะแอบมองงั้นหรือขอรับ?”

“กลัวอะไร” มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจ “การฝึกฝนนี้ไม่ได้ เป็นความลับอะไร สิ่งที่มีค่าคือความเพียรพยายามต่างหาก หากว่าพวกเขาได้ดูแล้วสามารถเลียนแบบและปฏิบัติตาม ก็เป็นความเพียรพยายามของพวกเขาเอง ข้าไม่ได้ใจแคบถึงขนาดที่ต้องซ่อนแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่”

มั่วหยางพยักหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เป็นข้าน้อยที่ใจแคบเอง”

มู่ชิงเกอหัวเราะด่าว่า “เจ้านี่ขี้เหนียวขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แต่ก่อนเหตุใดจึงไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อน”

มั่วหยางยิ้มไม่พูดจา

เขาไม่คิดจะอธิบายกับมู่ชิงเกอ ว่าขอเพียงแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกันนาง เขาก็ล้วนแต่ระมัดระวังปิดซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครมาสืบรู้ได้

ยามคํ่าคืน หลังจากมู่ชิงเกอสิ้นสุดการฝึกฝนแล้วก็ไม่ง่วงนอน พาโห่วและไป๋สี่เข้าไปเดินเล่นในส่วนลึกของเขาอวี้เหยียน

โดยไม่ทันรู้ตัวก็เดินเข้าไปในหุบเขาลึกแห่งหนึ่งแล้ว

ทั้งสองด้านของหุบเขาเป็นกำแพงที่สูงชันของภูเขาสูง ตระหง่านเสียดฟ้า ตรงกลางมีแม่นํ้าตื้นๆ คดเคี้ยวอยู่สายหนึ่ง ชะล้างจนสามารถมองเห็นหินกลมๆ ได้อย่างชัดเจน

เดินตามสายนํ้านั้นไป ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็สูดจมูก เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “กลิ่นหอมของสมุนไพรลอยมาจากไหนกัน?”

กลิ่นหอมอ่อนๆ เจือมากับสายลมยามคํ่าคืนในภูเขา เป็นกลิ่นหอมของสมุนไพร มู่ชิงเกอเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ แน่นอนว่าคุ้นเคยกับกลิ่นหอมของสมุนไพรดี ดังนั้นนางได้กลิ่นแล้ว แต่อีกสองคนด้านข้างของนางกลับไม่ได้รับรู้ถึงอะไรเลย

“มีกลิ่นหอมสมุนไพรที่ไหนกัน?” ไป๋สี่ออกแรงสูดดมแต่ก็ยังคงดมกลิ่นอะไรไม่ได้

นางมองไปที่โห่ว โห่วก็ทำหน้าหยิ่งยโสเอ่ยว่า “อย่ามามองข้า ข้าไม่ใช่อาจารย์ปรุงยา แยกไม่ออกว่ามีกลิ่นหอมของสมุนไพรหรือไม่”

มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจคนทั้งสอง คิดในใจแล้วก็เดินไปตามกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ลอยมา

ไป๋สี่กับโห่วก็ทำได้เพียงแต่เดินตามนางไปยังส่วนลึกของหุบเขา

ส่วนลึกของหุบเขายิ่งเดินไปก็ยิ่งกว้างขึ้น แม่นํ้าสายนี้ก็ค่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามคนล้วนแต่ได้ยินเสียงนํ้าไหล

มู่ชิงเกอสูดดมไม่หยุด กลิ่นหอมของสมุนไพรนั้นยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

จนนางสามารถระบุกลิ่นสมุนไพรเหล่านี้ได้บางส่วนแล้ว ว่ามันเป็นสมุนไพรชนิดไหน

เดินไปอีกครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดลง

ไป๋สี่และโห่วก็หยุดลงตาม เพียงแต่ว่าบรรยากาศรอบด้านภายในสายตาของพวกเขานั้นไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นๆ ก็ไม่ใช่ว่าเต็มไปด้วยวัชพืชเหมือนเดิมหรือ?

แต่ในสายตาของมู่ชิงเกอกลับเปล่งประกายยินดีออกมา นางรีบก้าวไปข้างหน้าในทันใด เอ่ยอย่างดีใจว่า “คิดไม่ถึงว่าแค่ออกมาเดินเล่นก็จะได้กำไรถึงที่ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับปลูกสมุนไพรมาก!”

พูดแล้วนางก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ลงไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่นํ้า ยืนอยู่ตรงด้านหน้า ‘วัชพืช’ แล้วก้มร่างลงไป

ในความมืดไป๋สี่มองเห็นการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจว่า “วัชพืชเหล่านี้นั้นเป็นสมุนไพรงั้นหรือ?”

ประโยคนี้โห่วไม่มีคำตอบ

เขาก็เพียงแต่จดจำได้แต่ยาพวกที่หาได้ยากและมีประโยชน์กับเขาเท่านั้นไม่เหมือนกับมู่ชิงเกอที่รู้จักสมุนไพรนับร้อยนับหมื่น

ทั้งสองคนกำลังจะขยับกายตามไป แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นในทันใดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา เดี๋ยวจะทำให้สมุนไพรดีๆ เหล่านี้เสียหาย”

โห่วกัดฟัน ดูเหมือนจะไม่พอใจกับการกีดกันของมู่ชิงเกอ สบถอย่างหยิ่งผยองไปหนึ่งคำ หันกายเดินไปข้างหน้า หาสถานที่สบายๆ ข้างแม่น้ำ จากนั้นก็เอนนอนลงไป

ไป๋สี่ยินอยู่ริมฝั่ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “มีสมุนไพรเยอะงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างดีใจ ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่า นางก้มอยู่ไป๋สี่คงมองไม่เห็น จึงได้เอ่ยไปว่า “ไม่ผิด สมุนไพรที่นี่อย่างน้อยก็มีประมาณร้อยชนิดขึ้นไป อีกทั้งยังมีอายุเป็นร้อยปีพันปีทั้งนั้น มีค่ามาก”

พูดจบแล้วนางก็ไม่สนใจไป๋สี่อีก แต่กลับเริ่มเก็บสมุนไพรอย่างระมัดระวัง

“หญ้ากุยเสอร้อยปี!”

“ดอกจื่อยู่!”

“หญ้าจิ่วเหวิน!”

“เคราจูหลิง…”

มู่ชิงเกอคิดคำนวณชนิดของสมุนไพรเหล่านี้ในใจ ถึงแม้สมุนไพรเหล่านี้จะไม่ได้ถือว่าหายากมาก แต่ก็มีอายุที่ยาวนานเพียงพอ ประโยชน์ของมันนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สมุนไพรชนิดเดียวกันจะสามารถเทียบได้ เป็นอาจารย์ปรุงยาคนหนึ่ง นางมีความรู้สึกเหมือนกับเดินเล่นอยู่แล้วเจอเงินอย่างนั้น!

มู่ชิงเกอเดินหาเก็บไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งพบเจอสมุนไพรที่หายากมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้นางยิ่งดีใจ รู้สึกว่าตนเองได้รับโชคก้อนใหญ่!

เงาร่างของมู่ชิงเกอค่อยๆ หายไปจากสายตาของไป๋สี่ นัยน์ตาของนางฉายแววร้อนใจ คิดจะไล่ตามไป แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนมู่ชิงเกอ

โห่วปรือตาขึ้นมามองนางแวบหนึ่งแล้วก็เอ่ยว่า “งูน้อย เจ้าก็อย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป ในระยะร้อยลี้นี้ล้วนแต่ถูกข้าจับตาดูเอาไว้แล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่มีอันตรายอะไรหรอก”

คำพูดของโห่วทำให่ไป๋สี่สงบใจลงได้มาก

นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับมู่ชิงเกอที่หานชุ่นเป็นต้นมา ทุกคนรอบกายของนางก็ล้วนแต่ร้อนใจกับความปลอดภัยของนางมากยิ่งขึ้น

“ยังมีผลชาดด้วย!” มู่ชิงเกอมองเห็นผลไม้สีแดงบนต้นไม้ต้นหนึ่ง นางตื่นเต้นมากรีบก้าวไปด้านหน้าสองก้าว “ผลชาดนั้นเป็นโอสถโดยธรรมชาติ กินหนึ่งผล สามารถล้างไขกระดูก หลังจากนั้นก็ยังเพิ่มพลังจิตได้อีก!”

ไม่ได้ลังเลมาก มู่ชิงเกอเอากล่องหยกออกมา เก็บเอาเหล่าผลชาดบนต้นไม้ลงมาวางไว้ในกล่องอย่างระมัดระวัง

หลังจากเก็บผลชาดเสร็จ นางก็เงยหน้าขึ้น มองไปเห็นระหว่างรอยแยกของหินมีเส้นหญ้าที่ดูเหมือนเส้นผมบางทั้งยังดูเหมือนหนอนโอนเอนสั่นไหวไปตามสายลมอยู่

เมื่อมองเห็นหญ้านี้แล้ว นัยน์ตาของนางก็หดตัวลง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version