ตอนที่ 358
สนามรบโบราณของเทพมาร
หญ้าต้นน้อยที่โอนเอนสั่นไหวไปมาตามสายลมนั้น ดูเหมือนกัปเส้นผม ทั้งยังดูเหมือนหนอนบางชนิด มองไปแล้วก็ชวนให้คนรู้สึกขนลุก
แต่ในพริบตาเดียวที่มู่ชิงเกอมองเห็นมัน นัยน์ตาคู่นั้นกลับยิ่งเปล่งประกาย เงาร่างวาบไป ตัวคนก็ไปโผล่ขึ้นที่ตรงหน้าของซอกหินนั้นแล้ว
“เป็นหญ้าซือฉงจริงๆ!” หลังจากยืนยันอีกครั้ง ในที่สุดมู่ชิงเกอก็มั่นใจถึงที่มาของหญ้าแปลกประหลาดชนิดนี้
หญ้าซือฉง!
หญ้าซือฉง!
มู่ชิงเกอตื่นเต้นจนปลายนิ้วสั่นระริกเบาๆ นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะเจอหญ้าซือฉงที่นี่
มีหญ้าซือฉง เช่นนั้นก็เหลือวัตถุดิบที่จะช่วยฟื้นคืนชีพให้แก่มู่เหลียนเฉิงอีกเพียงแค่ชนิดเดียวแล้ว!
“เลือดของเทพมาร!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยของอย่างสุดท้ายออกมาด้วยนํ้าเสียงหนักแน่น
สูดหายใจเข้าลึกๆ มู่ชิงเกอตั้งสติสงบจิตใจ เอากล่องหยกออกมาอีกครั้ง เก็บเอาหญ้าซือฉงในซอกหินลงมา เก็บลงไปในกล่องอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้ซือมั่วจะเคยพูดว่าจะช่วยนางหาเลือดของเทพมารมา แต่มู่ชิงเกอก็ไม่อยากจะคอยพึ่งพิงซือมั่วไปทุกเรื่อง เมื่อสามารถจัดการเรื่องราวด้วยตนเองได้ก็จัดการด้วยตนเองจะดีกว่า
หลังจากเก็บกล่องหยกที่บรรจุหญ้าซือฉงไว้ดีแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พึมพำกับตนเองว่า “ดูแล้ว การเดินทางครั้งต่อไปก็คือต้องไปสนามรบโบราณของเทพมารสักครั้ง”
ไป๋สี่รออยู่ที่ริมนํ้า รอเกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้วถึงได้เห็นมู่ชิงเกอขมวดคิ้วเดินกลับมา นางดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ท่าทางเคร่งขรึม
มาจนถึงริมฝั่ง มู่ชิงเกอก็กระโดดมาจากริมฝั่งอีกด้าน ตกลงข้างกายของไป๋สี่
“ชิงเกอ เจ้าเป็นอะไรไป?” ไป๋สี่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
เมื่อได้ยินเสียงของไป๋สี่ โห่วก็ลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นมานั่ง นัยน์ตาที่ดูดุดันอำมหิตคู่นั้นของเขามองมาที่มู่ชิงเกอและก็มองออกว่านางในตอนนี้นั้นจิตใจไม่ค่อยอยู่กับ เนี้อกับตัว
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก เดินไปหาโห่ว นั่งลงข้างเขา เอ่ยปากถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดกับข้าถึงสนามรบโบราณของเทพมาร ช่วยพูดให้ข้าฟังอีกที”
“สนามรบโบราณของเทพมาร? ชิงเกอ ในปีที่ผ่านมานี้ เจ้าล้วนแต่สืบหาข่าวคราวเกี่ยวกับมัน คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะเข้าไปหรอกใช่ไหม?” ไป๋สี่เดินเข้ามาแล้วเอ่ย ถามอย่างตกตะลึง
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่ไป๋สี่และเอ่ยว่า “การฟื้นคืนชีพให้มู่เหลียนเฉิงจำเป็นต้องใช้เลือดของเทพมาร ที่ข้าคิดว่าจะสามารถเก็บเอาเลือดของเทพมารได้ก็มีเพียงแต่สนามรบที่เล่าลือกันมาแห่งนี้เท่านั้น”
“ก็ไม่ใช่การเล่าลือเท่านั้นหรอก สนามรบโบราณนี้มีอยู่จริงๆ อีกทั้งยังอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง เพียงแต่ว่า คนที่รู้ วาไปที่นั้นอย่างไรนั้นมีน้อยเกินไปเท่านั้น” โห่วเอ่ยขึ้น
ไป๋สี่ขมวดคิ้ว “ที่นั่นอันตรายเกินไป เจ้าไม่ต้องไป ข้าจะไปให้เจ้าเอง”
“เจ้ารู้ว่าไปอย่างไรงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป๋สี่
ไป๋สี่ถอนหายใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วสถานที่แห่งนั้นเมื่อหมื่นปีก่อนก็ไม่ใช่ความลับอะไร มีคนมากมายรู้จักว่าอยู่ที่ไหน ไปอย่างไร เพียงแต่ว่าไม่มีใครยอมไปเขตหวงห้ามนั้น”
“ลองพูดมา” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้ง เอ่ยกับทั้งสองคน
ไป๋สี่มองไปทางโห่ว ขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ลูกพี่โห่ว ยังคงเป็นท่านพูดเถอะ”
โห่วเอามือรองหัว เอนหลังลงไปพิงผนังเขาด้านหลัง เอ่ยกับไป๋สี่ว่า “ในเมื่อเจ้านึกขึ้นมาได้แล้ว เจ้าก็พูดเถอะ ข้าขี้เกียจเปลืองนํ้าลาย”
ไป๋สี่มุมปากกระตุก มองไปยังมู่ชิงเกอ
ตอนนี้มู่ชิงเกอถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมา “ความทรงจำของเจ้าฟื้นฟูอีกแล้วงั้นหรือ?”
ไป๋สี่พยักหน้า “ฟื้นฟูได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”
พูดแล้วนางก็ยิ้มอย่างขมขื่น พูดออกมาว่า “ที่ไม่ควรจะจดจำได้ก็จดจำได้แล้ว ที่ควรจดจำได้ก็จดจำได้แล้วเช่นกัน”
‘คำพูดนี้ทำไมฟังแล้วถึงรู้สึกว่ามีเรื่องราวอะไรอยู่ภายใน?’ มู่ชิงเกอพึมพำอยู่ภายในใจ
ไป๋สี่สูดหายใจเข้าลึกๆ มองมู่ชิงเกออย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “สนามรบโบราณนั้นมีอยู่ตั้งแต่นับแสนปีก่อน พูดกันว่าในครั้งนั้นเผ่าเทพและเผ่ามารทำสงครามครั้งใหญ่อย่างดุเดือด สงครามในครั้งนั้นทำให้เทพมารตายลงไปนับไม่ถ้วน แผ่นดินแยกแตก สายนํ้าไหลกลับ ท้องฟ้าถูกทำลาย เปลวไฟตกลงมาจากฟากฟ้า โลกมนุษย์นับไม่ถ้วนได้รับผลกระทบไปด้วยถูกทำลายสลายหายไป เพราะเหตุนั้นทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายสูญพันธุ์ลงไป ต่อมาหลังจากสงครามครั้งใหญ่ผ่านไป เทพมารที่เหลืออยู่ ก็ร่วมกันปิดผนึก นับแต่นั้นมาสนามรบโบราณอันนั้นก็ล่องลอยไปภายในโลกต่างๆ ดุจดั่งวิญญาณที่ล่องลอย”
ภายใต้การอธิบายของไป๋สี่ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเหมือนเกิดฉากภาพขึ้น เป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน สองฝ่ายที่ต่อสู้กันล้วนแต่แข็งแกร่งจนทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตหวาดหวั่น ฟ้าดินยอมสยบ
ภูเขาแม่นํ้าแหลกสลาย สิ่งมีชีวิตมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ไม่เพียงพอที่จะอธิบายโศกนาฏกรรมในเวลานั้นได้
“แต่ว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผนึกในครั้งนั้นมีรอยหลวม ภายในสถานที่บางแห่งในบางโลกสามารถเปิดช่องว่างรอยหนึ่ง เข้าไปในสนามรบโบราณได้ ส่วนในโลกแห่งยุคกลางนั้นก็มีสถานที่เช่นนั้นอยู่” ไป๋สี่เอ่ย
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
ไป๋สี่มองนาง เข้าใจการคาดเดาของนาง พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดไม่ผิด เพียงแต่เข้าไปด้านในบางครั้งเจ้าก็อาจจะสามารถพบเจอคนของโลกอื่นได้ เจ้าก็น่าจะชัดเจนดีว่าอาศัยพลังฝึกปรือของเจ้าในตอนนี้นั้น ยังไม่ถือว่าเป็นสุดยอดของโลกแห่งยุคกลาง หากว่าเข้าไปด้านในแล้ว พบกับคนของโลกอื่น ส่วนคนของโลกอื่นคนนั้นกลับมีพลังฝึกปรือสูงกว่าเจ้าไปไกลมาก หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็จะยิ่งเสี่ยงอันตรายมาก อีกทั้งสิ่งนี้ก็ยังไม่ใช่อันตรายเพียงอย่างเดียวที่จะพบ”
“ยังมีอะไรอีก?” เสียงของมู่ชิงเกอดูเคร่งเครียดขึ้น
“เจ้าต้องรู้ว่า เผ่าเทพและมารนั้นล้วนเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งมากวิญญาณของพวกเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีพลังฝึกปรือสูงลํ้า แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่ก็มีเพียงร่างกายที่สลายไป จิตวิญญาณไม่แน่ว่าจะหายไปด้วย บรรดาวิญญาณที่ล่องลอยเหล่านั้นถูกกักขังอยู่ในช่องว่างแห่งนั้นมานับแสนปี เกรงว่าอาจจะบ้าคลั่งไปนานแล้ว หากเห็นว่ามีคนเข้าไปก็กลัวว่าอาจจะคิดอยากจะแย่งชิงเพื่อเกิดใหม่ แล้วหนีออกไปจากที่นั้น” ไป๋สี่เอ่ยเสริม
เมื่อไป๋สี่พูดถึงการแย่งชิงนั้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็หรี่เล็กลงเล็กน้อย ความลับอันยิ่งใหญ่ที่นางซ่อนไว้อยู่ในใจ ความลับที่ไม่มีใครได้รู้มาก่อนนั้นก็เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้
“อันตรายเหล่านี้ล้วนแต่ทำได้เพียงคาดเดาออกมา ที่นั้นได้ถูกผนึกมานับแสนปีแล้ว ภายในนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นก็ไม่มีใครรู้มีหลายปัจจัยมากเกินไป อันตรายที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นก็เยอะเกินไป อย่าพูดแต่เจ้าเลย แม้ว่าจะเป็นลูกพี่โห่วไปเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาตนเองให้ปลอดภัยไร้เรื่องราวได้ ดังนั้นข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะไปเลี่ยงอันตรายเช่นนี้” ไป๋สี่พูดจบ แล้วก็ส่ายหน้า
มู่ชิงเกอเก็บเอาคำพูดของนางไปคิดอยู่ในใจอย่างละเอียด แล้วก็เงยหน้ามองไป๋สี่
นัยน์ตาของนางคู่นั้นฉายแววแน่วแน่และดื้อดึง
นี่ทำให้ไป๋สี่ถอนหายใจเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงแค่เลือดของเทพมารงั้นหรือ? เจ้าก็ให้ผู้ชายของเจ้าคนนั้น บีบให้หนึ่งหยดก็ได้แล้ว หากว่าเจ้าปวดใจก็สามารถให้เขาจับลูกน้องสักคนมา เอาเลือดมาชามหนึ่ง เหตุใดเจ้าต้องไปเสี่ยง ทิ้งใกล้แล้วไปเอาไกลด้วย?”
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หัวเราะขึ้นมา นางส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากว่าข้าเอาแต่จะพึ่งพิงเขาไปทุกเรื่อง เช่นนั้นแล้วข้ายังจะอยู่ที่นี่ไปอีกทำไมเล่า? คงจะแต่งงานกับเขาไป นานแล้ว จากนั้นก็เข้าไปหลบอยู่ใต้ปีกของเขาไม่ใช่ว่าดีแล้วหรือ”
“นั้นก็ไม่เลว” ไป๋สี่พยักหน้าเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอหัวเราะเอ่ยว่า “ที่แต่ก่อนข้าสนใจสนามรบโบราณของเทพมารก็เพราะคิดที่จะเอาเลือดหยดหนึ่งของเทพมารมา คิดแล้วถ้าหากว่าไม่สามารถเอาจากที่ นั้นออกมาได้ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากเขา ในใจก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย แต่หลังจากฟังเจ้าพูดเช่นนี้ แล้ว ข้าชักจะเกิดความสนใจในสนามรบโบราณของเทพ มารแห่งนี้ขึ้นมาแล้ว”
“นี่ เจ้าไม่ได้ยินถึงอันตรายที่อยู่ในนั้นงั้นหรือ? อีกทั้งยังสามารถพบเจอของของโลกอื่นอีก” ไป๋สี่พูดออกไปอย่างตกตะลึง
ใครจะรู้ว่า มู่ชิงเกอจะเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารมีรอยแยกที่สามารถเข้าสู่สนามรบโบราณแห่งนี้อยู่ไหม?”
ไป๋สี่ชะงัก เอ่ยตอบว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามีกี่ตำแหน่งที่สามารถเข้าสู่สนามรบโบราณของเทพมารได้ แต่ข้าสามารถแน่ใจได้เลยว่า แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารไม่มีอย่างแน่นอน”
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าไป๋สี่แน่ใจมาจากอะไร แต่หลังจากได้ยินคำตอบของนางแล้ว นัยน์ตาก็ฉายแววผิดหวัง
ไป๋สี่มองเห็นความผิดหวังในแววตาของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าคงจะไม่ได้กำลังคิดว่า เข้าไปแล้วอาจจะมีโอกาสได้พบมู่เทียนอินคนนั้นอีกอยู่ใช่ไหม? เจ้าในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ช่องว่างแห่งนั้นไม่ได้มีขอบเขตจำกัดหรอกนะ”
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าข้าค่อนข้างใจร้อนไปหน่อย ข้ายังไม่เคยแค้นใครขนาดนี้มาก่อน”
“เจ้าอย่าคิดมากไป จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวันทีเจ้าจะฆ่าเขาได้ ล้างแค้นแทนหยวนหยวนและเจียงหลี” ไป๋สี่เอ่ยปลอบ
“อืม” มู่ชิงเกอตอบอย่างแน่ใจ
ความมั่นใจเช่นนี้ไม่ได้เสแสร้ง แต่เป็นความมั่นใจในความสามารถของตนเอง
“เด็กน้อย เจ้าอยากจะไปสนามรบโบราณก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” ทันใดนั้นโห่วก็เอ่ยปากขึ้นมา
เพียงแค่เขาพูดขึ้น ไป๋สี่ก็เบิกตากว้างมองดูเขา ไม่สนใจความหวาดกลัวที่มีต่อเขาตะโกนออกไปว่า “ท่านบ้าไปแล้วเหรอ! สถานที่แห่งนั้นชิงเกอจะไปได้อย่างไร?”
โห่วเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วก็มองมู่ชิงเกอ “เหตุใดนางถึงจะไปไม่ได้? สนามรบโบราณแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ดีต่อการฝึกฝน ในเมื่อนางคิดจะล้างแค้น เช่นนั้นก็ต้องไปสถานที่ที่สุดโต่งเพื่อฝึกฝน หากอยู่ในลั่วซิงเฉิงทั้งวัน ต่อให้พลังฝึกปรือสูงขึ้นกว่านี้ แต่พอเวลาต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ จะมีประโยชน์อะไร?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย นางมองไปยังไป๋สี่ด้วยนัยน์ตาที่แน่วแน่ “ข้าอยู่เงียบๆ ในลั่วซิงเฉิงมาสองปีแล้ว และก็ถึงเวลาที่จะเริ่มฝึกฝนคนเดียวแล้ว”
“ฝึกฝนคนเดียว? เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” ไป๋สี่เอ่ยถามอย่างตกตะลึง
มู่ชิงเกอพูดถึงความคิดในใจออกมา “อาศัยช่วงเวลาที่เหมิงเหมิงเลื่อนระดับในครั้งนี้ข้าก็ถือว่าตัดทางถอยของตนเองไปสายหนึ่ง รอออกจากเมืองเทียนผิงแล้ว ข้าจะไปสนามรบโบราณคนเดียว พวกเจ้ากลับไปได้”
“ไม่ได้! หากต้องไปข้าก็จะไปกับเจ้า” ไป๋สี่โต้แย้ง
“อยากจะอยู่ข้างกายข้า ก็ต้องรู้จักเรียนการเป็นผู้ติดตามบ้าง” มู่ชิงเกอมองนางแล้วเอ่ยขึ้น
ช่องว่างกำลังเลื่อนระดับ นางสามารถเอาของจากด้า ในออกมาได้ใส่ของเข้าไปได้ แต่ว่าตนเองกลับไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้ชั่วคราว และก็ไม่สามารถพาคน เข้าไปได้บางทีรอจนการเลื่อนระดับเสร็จสมบูรณ์ เหมิงเหมิงตื่นขึ้นมาแล้วนางก็จะสามารถนำคนเข้าออกได้อย่างอิสระ
แต่เป็นเช่นนั้นแล้วกลับทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนได้ทำลายเรือที่เป็นทางถอยแล้วกระโดดเข้าไปในสนามรบ
ประโยคนี้ทำให้ไป๋สี่ไม่มีคำจะพูดต่อ ครู่หนึ่งนางถึงได้พูดออกมาว่า “หากว่าเจ้าตายอยู่ในนั้นล่ะจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะไม่ตาย!” มู่ชิงเกอพูดออกมาอย่างมั่นใจ
นางต้องมีชีวิตอยู่เพื่อไปล้างแค้นมู่เทียนอิน ทั้งยังต้องแต่งขบวนสักสิบลี้แต่งเอาซือมั่วเข้ามา!
มองดูแววตาที่ไม่มีความลังเลของมู่ชิงเกอแล้ว ไป๋สี่ก็ได้แต่ยอม แต่ว่า นางกลับเสนอขึ้น “ไม่ให้ข้าไปด้วยนั้นได้ แต่ข้าจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก หากว่าเจ้าออกมาพร้อมอาการบาดเจ็บ อย่างน้อยข้าก็ยังได้พาเจ้ากลับไปยังลั่วซิงเฉิงได้”
“ไม่ต้อง ข้ามีเสี่ยวไฉ่” เสี่ยวไฉ่ที่มู่ชิงเกอเอ่ยถึงก็คือชื่อที่นางมอบให้แก่โชคตัวนั้น ถึงแม้ว่าชื่อจะดูพื้นๆ แต่ก็เข้ากับมันมาก!
ไป๋สี่จ้องมองนาง ไร้คำพูดที่จะเอ่ย