ตอนที่ 359
ตระกูลจีประกาศหาลูกเขย
ในวันที่สองมู่ชิงเกอย้อนกลับมาเมืองเทียนผิงจากเขาอวี้เหยียน แต่เดิมคิดว่าหลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจะทำตามที่โห่วบอก เดินทางไปสนามรบโบราณของเทพมาร แต่คิดไม่ถึงว่ามีแขกที่เหนือความคาดหมายเข้ามาทำให้แผนที่นางวางเอาไว้วุ่นวาย
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน?” มู่ชิงเกอมองไปยังจีเหยาฮั่วที่มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างแปลกใจ
เพียงแค่จีเหยาฮั่วมองเห็นมู่ชิงเกอก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ชี้ไปที่นางแล้วต่อว่า “ดีเชียวนะ! มู่ชิงเกอ มาถึงภาคเหนือก็ไม่บอกข้าสักคำ ทำให้ข้าต้องเสียเวลาไปหาเจ้าถึงลั่วซิงเฉิง! อ้อมตั้งรอบหนึ่งแต่กลับอ้อมมาถึงประตูบ้านของตนเอง”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยถามว่า “เจ้าหาข้าทำไม? พัดของเจ้าข้าก็ให้คนส่งไปแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้ายังจะมาพูดอีก ของที่มีค่าเช่นนั้น เจ้าน่าจะบอกให้ข้าไปเอาด้วยตนเองถึงจะถูก! กลับให้เขี้ยวมังกรส่งมา ทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวน นอนไม่หลับไปหลายวัน กลัวว่าจะถูกพวกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือบุกปล้นเอาไป” จีเหยาฮั่วรู้สึกหวาดหวั่นลูบๆ หน้าอกตนเอง
มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างหมดทางเลือก “ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เสียหน่อย ใครจะไปปล้นกัน? เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า?”
จีเหยาฮั่วถูกท่าทางที่ดูไม่สนใจของนางนี้ทำให้คลุ้มคลั่ง ทั้งไม่รู้จะด่าว่าอย่างไรดี จึงได้แต่เพียงเปลี่ยนประเด็นพูดว่า “ในเมื่อเจ้าก็มาภาคเหนือแล้ว เหตุใดจึงไม่ตามข้าไปเล่นบ้านสักรอบ”
“ไปบ้านเจ้าทำไม?” มู่ชิงเกอมองแล้วถามเขาไปอย่างสงสัย
แต่จีเหยาฮั่วกลับเข้ามาใกล้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ที่เรียกเจ้าไปก็แน่นอนว่ามีเรื่องดีรอเจ้าอยู่”
“ไม่สนใจ” มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
เรื่องดีที่สามารถออกมาจากปากของจีเหยาฮั่วได้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร!
จีเหยาฮั่วยิ้มอย่างยินดี “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธไป เป็นเรื่องดีจริงๆ อิ๋งเจ๋อก็จะมา พวกเราก็ไม่ได้นัดเจอกันมานานแล้ว อาศัยโอกาสนี้พวกเราไปนัดรวมตัวกัน”
พูดแล้วเขาก็ยกมือขึ้นโบก พัดเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นมาในมือของเขา
มองเห็นพัดเล่มนั้นแล้วมู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วขึ้น พัดเล่มนี้เป็นพัดที่นางหลอมขึ้นให้จีเหยาฮั่ว เดิมคิดที่จะหลอมยุทธภัณฑ์ระดับเทวะชั้นยอดให้เขา แต่คิดไม่ถึงว่า ก่อนที่นางจะหลอม จีเหยาฮั่วกลับไม่รู้ว่าไปหาจิตวิญญาณมาจากไหนสายหนึ่ง ให้นางใส่เข้าไปในพัดเพื่อกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธ
ดังนั้นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นที่สองที่หลอมขึ้นโดยนาง ก็เลยถือกำเนิดขึ้นเช่นนั้น
จีเหยาฮั่วเล่นกับพัดในมือครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มหวานให้กับมู่ชิงเกอ “เจ้าอุตส่าห์ลำบากหลอมยุทธภัณฑ์ให้ข้า ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้าดีๆ เลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็อยู่ด้วยกันแล้วดังนั้นเจ้าห้ามปฏิเสธ”
มู่ชิงเกอถอนหายใจ เอ่ยกับเขาว่า “ข้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการจริงๆ”
จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างสนใจว่า “เรื่องอะไรถึงต้องเร่งรีบขนาดนี้? ช้าไปไม่กี่วันก็ไม่ได้งั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอมองจากท่าทางของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าหากไม่สำเร็จตามเป้าหมายจะไม่ยอมเลิกรา หากว่านางไม่ตกลงเกรงว่าเขาคงจะพัวพันนางต่อไป เดินไปไหนก็จะ เดินตามแน่
อย่างหมดทางเลือก มู่ชิงเกอทำได้เพียงแต่เอ่ยอย่างอดสูว่า “ข้าอยู่บ้านเจ้าได้นานสุดเพียงแค่สามวันเท่านั้น”
มู่ชิงเกอคำนวณอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปในสนามรบโบราณแห่งเทพมาร นางก็จำเป็นต้องเตรียมการสักหน่อย เช่นเรื่องโอสถอะไรพวกนี้ที่เป็นของที่ขาดไม่ได้ เพราะตอนนี้นางตัดทางถอยของตนเองไปแล้ว
ดังนั้น ระยะนี้นางก็สามารถตามจีเหยาฮั่วไปยังตะกูลจีได้สักครั้งจริงๆ
“ดี ดี ดี! เพียงแค่เจ้ายอมไป เช่นนั้นทุกอย่างก็แล้วแต่เจ้า” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างเร่งรีบ
พูดไปเขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า“เจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วใช่ไหม หากว่าจัดการเรื่องที่นี่เสร็จหมดแล้ว ก็ไปกันเถอะ”
มู่ชิงเกอชะงัก “เร่งรีบขนาดนั้นเชียว?”
“เร่งสิ! ไม่อาจเสียเวลาได้” จีเหยาฮั่วพยักหน้า
ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ แต่ก็คิดไม่ออกว่าจีเหยาฮั่วคิดอะไรในใจ สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมีความคิดอย่างไร หากไม่ใช่เรื่องที่จะทำร้ายนางก็พอ
มู่ชิงเกอคิดเช่นนี้แล้วก็พยักหน้าไป
จากนั้น ทั้งสองคนก็ออกไปจากเมือง เมื่อไปถึงนอกเมืองแล้ว มู่ชิงเกอก็ปล่อยเสี่ยวไฉ่ออกมา
เพียงแค่เสี่ยวไฉ่ออกมา ชั่วขณะนั้นปีกที่มีสีสันสดใสก็ทำให้จีเหยาฮั่วหลงใหลจนเกือบจะพุ่งเข้าไปหา นํ้าลายไหลออกมาเป็นทาง
“นี่เป็นพาหนะของเจ้างั้นหรือ? สวยมากเลย! ข้าเองก็อยากมีสักตัว” นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วเปล่งประกายวาววาบมองจ้องเสี่ยวไฉ่ ทำให้เสี่ยวไฉ่ส่งสายตารังเกียจมา ครั้งหนึ่งเบ้หน้าใส่
มันหันมามองมู่ชิงเกออย่างน่าสงสาร ดูเหมือนกำลังพูดว่า ‘เจ้านาย ท่านรีบเอาเจ้าบ้าตาเป็นประกายคนนี้ออกไปเร็วๆ เถอะ!’
มู่ชิงเกอดึงคอเสื้อของจีเหยาฮั่วอย่างขบขัน ลากเขาออกมาไกลแล้วก็พูดกับเขาว่า “เสี่ยวไฉ่ของข้าเป็นของหายาก เจ้าอย่าได้คิดเลย”
นางพูดจบแล้ว เสี่ยวไฉ่ก็ยังร่วมมือส่งสายตาภาคภูมิใจไปให้จีเหยาฮั่ว
จีเหยาฮั่วอ้าปากพูดอย่างเสียใจว่า “พาหนะดีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ใช่ของข้าบ้าง?”
มู่ชิงเกอพาเขากระโดดเล็กน้อย นั่งลงบนหลังของเสี่ยวไฉ่ นางเอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “บอกมา ตระกูลจีของเจ้าไปทางไหน”
จากนั้นจีเหยาฮั่วค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เมืองของตระกูลจีชื่อว่า เมืองวั่นเข่อ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเทียนผิง”
เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป เสี่ยวไฉ่ก็กระพือปีกบิน พาทั้งสองคนขึ้นไปกลางอากาศ ‘วูบ’ ผ่านไป หายไปจากพื้นที่ของเมืองเทียนผิง
“ให้ตายสิ! เร็วเกินไปแล้ว!” จีเหยาฮั่ววุ่นวายใช้มือจัดทรงผมของตนเองที่ถูกลมพัดจนยุ่งแล้วเอ่ยออกมาอย่างตกตะลง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยออกมาอย่างดูมีเหตุผลว่า “ความเร็วของเสี่ยวไฉ่ก็ต้องเร็วแน่นอนอยู่แล้ว”
“อิงตามความเร็วเช่นนี้ วันนี้พวกเราก็คงจะไปถึงเมืองวั่นเข่อทันเวลาอาหารเย็นพอดี” จีเหยาฮั่วยื่นหน้าเข้ามาตรงหน้าของมู่ชิงเกอ เผยรอยยิ้มออกมา
เมืองวั่นเข่อ เมืองของตระกูลจีแห่งภาคเหนือ เมืองนี้ติดกับเมืองหลักของภาคเหนือ เมืองโหรวเป่ย เป็นเมืองใหญ่ติดอันดับของภาคเหนือ สำหรับคนของ ภาคเหนือแล้ว เมืองวั่นเข่อก็เหมือนกับเมืองหลักแห่งที่สองของภาคเหนือ
มู่ชิงเกอให้เสี่ยวไฉ่ลงที่ชายขอบของเมืองวั่นเข่อ เพราะไม่คิดจะทำให้เกิดความแตกตื่นมากเกินไป
หลังจากเก็บเสี่ยวไฉ่แล้ว มู่ชิงเกอถึงได้หันมามองจีเหยาฮั่วที่ยังเหมือนหาคำอธิบายไม่ได้
จีเหยาฮั่วมองเขาอย่างอิจฉา “เหตุใดแต่ก่อนข้าถึงไม่เคยมีความคิดที่จะจับอสูรเวหาสักตัวให้ตนเองมาก่อนนะ?”
พูดแล้วก็พึมพำกับตนเอง “แต่ประเด็นก็คือข้าไม่ใช่คนของตระกูลจิงในภาคกลาง ไม่สามารถฝึกสัตว์อสูรได้ ต้องเชิญคนของตระกูลจิงมาช่วยฝึกสัตว์อสูร วิญญาณนั่นก็จะยุ่งยากมากไปแล้ว”
พูดจบเขาก็มองมายังมู่ชิงเกออย่างสงสัยแล้วถามว่า “ชิงเกอ เจ้าทำอย่างไรให้เสี่ยวไฉ่ของเจ้าเชื่อฟังขนาดนี้? หรือว่าเจ้าให้คนของตระกูลจิงช่วยงั้นหรือ?”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ถึงแม้ว่าข้างกายของนางจะมีคนของตระกูลจิงอยู่คนหนึ่ง แต่ว่าเสี่ยวไฉ่นั้นไม่ใช่จิงไห่เป็นคนทำให้เชื่อง
น่าจะพูดได้ว่าในตอนที่ซือมั่วมอบเสี่ยวไฉ่ให้นางนั้น มันก็เชื่อฟังและเชื่องมากอยู่แล้ว แต่ทว่า เรื่องราวเหล่านี้แน่นอนว่านางไม่อยากจะอธิบายให้จีเหยาฮั่วฟัง จึงเอ่ยว่า “อสูรเวหาต้องฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก หลังจากค่อยๆ สร้างความสัมพันธ์กับมันแล้ว มันก็จะเชื่อฟังเจ้า”
คำพูดนี้ของนางไม่ใช่พูดไปอย่างนั้นในมือขององครักษ์เขี้ยวมังกรทุกคนล้วนแต่ มือสูรเวหาและก็ล้วนแต่ได้มาเช่นนี้
“พูดเช่นนี้ข้าก็ต้องไปหาไข่นกมาสักใบน่ะสิ!” จีเหยาฮั่วเข้าใจในทันที
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้ปฏิเสธ
ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “เพียงแต่ว่า แค่ไข่ใบหนึ่ง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อฟักออกมาแล้วจะงดงามหรือน่าเกลียด? หากว่าของที่ฟักออกมาน่าเกลียดเกินไป ไม่เข้ากับคนหล่อเหลางามสง่าเช่นข้า แล้วจะทำอย่างไร?”
มู่ชิงเกอหมดคำจะพูด
มีบางเวลา นางก็รู้สึกนับถือความคิดของจีเหยาฮั่วจริงๆ ที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไป เลย
เห็นจีเหยาฮั่วกำลังดำดิ่งอยู่ในความคิดของตนเองอยู่ มู่ชิงเกอก็หมดทางเลือกเอ่ยเร่งเขาไป “ไปเถอะ ไม่ใช่เจ้าพูดเองว่าจะรีบไปทานอาหารเย็นมิใช่หรือ?”
เมื่อถูกมู่ชิงเกอขัดความคิด จีเหยาฮั่วถึงได้ตื่นขึ้นมาจากความคิดเรื่องอสูรเวหารีบเอ่ยขึ้นว่า “ใช่ ใช่ ใช่ ใช่! พวกเรารีบเข้าเมืองกันเถอะ”
จากนั้นเขาก็ลากแขนเสื้อของมู่ชิงเกอเข้าไปในเมืองวั่นเข่อ
มู่ชิงเกอมองเห็นท่าทีของเขาแล้ว ในใจก็บ่นออกมาอย่างหมดทางเลือก “เจ้านี่เป็นลำดับที่สองบนทำเนียบชิงอิงจริงๆ น่ะหรือ?”
“ประมุขน้อยจี!”
“คารวะประมุขน้อยจี!”
“ประมุขน้อยจีกลับมาแล้วหรือ!”
“ประมุขน้อยจี!”
“ประมุขน้อย!”
“ประมุขน้อย!”
ตลอดเส้นทาง มู่ชิงเกอถือว่าได้สัมผัสถึงระดับความนิยมของจีเหยาฮั่วในเมืองวั่นเข่อแล้ว
นับตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนชรา ชายหนุ่มถึงหญิงสาว ผู้เฝ้าเมืองถึงประชาชน ขอเพียงแค่มองเห็นเขาก็ล้วนแต่ทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น ส่วนเขาก็ยิ้มพยักหน้า ตอบอย่างไม่รังเกียจว่าจะยุ่งยาก บางครั้งก็ยังตอบรับไปหลายประโยค
ความเป็นคนง่ายๆ เป็นมิตรน่าคบหาของจีเหยาฮั่วทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึง
นางยังจำได้ว่าในตอนแรกที่พบกันและจีเหยาฮั่วบีบให้นางประลองกับตนเองนั้น ก็ได้จับมู่เสวี่ยอู่เป็นตัวประกัน คุกคามอย่างไร้ศีลธรรม ช่างยากจะจิตนาการถึงจริงๆ ว่าไอ้สารเลวที่อหังการคนนั้นจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้ากับคนได้ง่ายดายตรงหน้า
เพราะว่าจีเหยาฮั่วนั้นเป็นที่นิยม ดังนั้นมู่ชิงเกอที่มากับเขาก็เลยถูกสายตาจำนวนไม่น้อยจับจ้องมองไปด้วย
ในสายตาที่จับจ้องมองเหล่านี้ มีหลากหลายอารมณ์ ตั้งแต่รอยยิ้มไปจนถึงแปลกใจ ซึ่งล้วนแต่ทำให้นางรู้สึกแปลกๆ ในใจเกิดความรู้สึกบางอย่างที่คนทั้งโลกล้วนแต่เข้าใจ มีเพียงแต่นางทีมึนงงอยู่ มู่ชิงเกอที่กำลังมึนงงเล็กน้อยถูกจีเหยาฮั่วพานางเข้าไปในตระกูลจี รอจนกระทั่งเข้าไปยังศาลาหลังหนึ่งแล้ว นางถึงได้ตื่นขึ้นมา พบว่าตนเองไม่มีความทรงจำแม้กระทั่งว่าประตูตระกูลจีมีลักษณะเป็นอย่างไรด้วยซํ้า
กระพริบตา ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็มองเห็นว่าในศาลานั้นมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง และคนๆ นี้ก็เป็นคนที่นางรู้จัก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ พวกเราเพิ่งมาถึง เจ้าก็มาถึงแล้ว” จีเหยาฮั่วยิ้มแล้วเดินเข้าไป วางมือลงบนบ่าของอีกฝ่าย
ส่วนเขากลับปัดมือของจีเหยาฮั่วทิ้งด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ปัดๆ ไหล่ของตนเอง มองแล้วพยักหน้าเล็กน้อยให้แก่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ให้เขาแล้วเอ่ยว่า “จีเหยาฮั่วบอกว่าเจ้าก็มา แต่เดิมข้าก็ไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว”
อิ๋งเจ๋อเหลือบมองจีเหยาฮั่วแวบหนึ่ง ไม่สนใจท่าทียิ้มแย้มของเขา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เขาส่งสารหาข้า บอกว่าเกิดเรื่องเร่งด่วน ขอให้ข้ามาช่วยชีวิต”
“ช่วยชีวิต?” มู่ชิงเกอมองจีเหยาฮั่วอย่างสงสัย ดูแล้วก็ดีๆ อยู่ ต้องการให้ช่วยชีวิตอะไรกัน?
จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ช่วยชีวิตนั้นจริง เพียงแต่ว่าที่ช่วยนั้นไม่ใช่ชีวิตของข้า แต่เป็นอีกคน”
คำตอบของเขาทำให้มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน
จากนั้นจีเหยาฮั่วก็ยกมือขึ้นโบกเล็กน้อย เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ขึ้น
มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อมองไป เห็นหญิงสาวท่าทางสง่างามเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้
เวลานี้เอง จีเหยาฮั่วถึงเอ่ยว่า “ระยะนี้ตาเฒ่าบ้านข้าคิดแต่จะให้เทียนเทียนแต่งออกไป ประกาศหาลูกเขย ข้าคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรน้องสาวของข้าก็ไม่อาจจะแต่งกับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าได้ ดังนั้นข้าจึงคิดถึงพี่น้องที่ดีของข้าสองคน!”