ตอนที่ 371
ข้าคิดว่าจะต้องตายแล้ว
“ถูกพิษ?” นัยน์ตาของเว่ยมั่วลี่ฉายแววมึนงง
ตอนนี้ สภาพของเขาดูสะบักสะบอมมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทำให้คนมองเห็นอารมณ์บนใบหน้าของเขาได้ไม่ค่อยชัดเจน เพียงแต่สามารถคาดเดาเอาจากแววตาของเขาได้
“ข้าถูกพิษงั้นหรือ?” เว่ยมั่วลี่พึมพำกับตนเอง ปฏิกิริยาของเขาทำให้คนที่เหลืออีกสี่คนตกใจ
เหตุใดท่าทางของเว่ยมั่วลี่ถึงดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกพิษเลย? แล้วจะยังมีใครกันที่สามารถวางยาพิษได้โดยที่เว่ยมั่วลี่ไม่รู้สึกตัวได้?
เห็นเขาดูมึนงง มู่ชิงเกอจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ “หลังจากเจ้าเข้ามาในสนามรบโบราณของเทพมารแล้วพบเจออะไร? หรือในตอนก่อนที่เจ้าจะสูญเสียสตินั้นพบเจอกับอะไร?”
คำถามนี้ในที่สุดก็ทำให้นัยน์ตาของเว่ยมั่วลี่ปรากฎร่องรอยครุ่นคิดขึ้นมา
ทั้งสี่คนไม่ได้ไปรบกวนเขา
สายตาของจีเหยาฮั่วกวาดมองผ่านเข็มทองบนหัวของเว่ยมั่วลี่อย่างบังเอิญ อดไม่ได้ที่จะกลืนนํ้าลาย เข็มทองนั้นไม่ใหญ่ แต่ว่าแทงลงไปอย่างนั้นยังคงดูโหดร้ายไปหน่อย
ชั่วขณะนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจว่าจะไม่ไปยั่วยุมู่ชิงเกออีก ระดับสีทองนั้นไม่น่ากลัว ระดับสีทองที่สามารถหลอมยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพออกมาได้นั้น เขาก็ยังรับมือได้ แต่ว่าถ้าระดับสีทองแล้วทั้งหลอมยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพ ทั้งปรุงยาได้นั้น เขาต้องระมัดระวังแล้ว
เกิดว่าไม่ระวังทำให้เขาโกรธขึ้นมา เขาอาจจะแทงตนเองไปหนึ่งเข็ม หรือไม่ก็วางยาพิษ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไร?
“ข้าเข้ามาในสนามรบโบราณของเทพมาร…” ในขณะที่จีเหยาฮั่วกำลังคิดเรื่องไร้สาระอยู่นั้น เว่ยมั่วลี่ก็เอ่ยปากขึ้นมา
เสียงของเขาแหบเล็กน้อย มู่ชิงเกอเอานํ้าออกมา หลังจากเอาให้เขาดื่มแล้วเขาถึงได้พูดต่อ “ข้าฝึกฝนจนพบกับอุปสรรค ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะหาทางทะลวงระดับ เริ่ม แรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่นี่นั้นเงียบสงบมาก โดดเดี่ยวมาก ดูเหมือนว่าทั้งฟ้าดินมีแต่ข้าเพียงคนเดียว ข้ามุ่งหน้าเข้าไปด้านในไม่หยุด ไม่รู้ว่าเดินไปไกลแค่ไหน หลัง จากนั้นก็ได้พบกับ…”
ทันใดนั้นเว่ยมั่วลี่ก็หยุดลง ดูเหมือนว่าจะไม่รู้จะอธิบายลักษณะของสิ่งที่ตนเองเห็นอย่างไรดี
ทั้งสี่คนก็ไม่ได้เร่งเขา เพียงแต่ให้เขาค่อยๆ คิด
เว่ยมั่วลี่ในตอนนี้ ความทรงจำเบาบางมาก ถ้าหากว่ามีคนแทรกอาจจะทำให้เขาคิดอะไรก็ไม่ออกขึ้นมา
“…ข้า…ข้าพบตัวประหลาดชนิดหนึ่ง ข้าไม่เคยพบเห็นตัวประหลาดเช่นนี้มาก่อน พวกเขาดูเหมือนว่ากำลังตามหาอะไรบางอย่างในสนามรบโบราณ ตอนนั้นข้า เกิดความสงสัยขึ้นมา จึงลอบตามไป ข้าตามไปนานมาก ก็ไม่รู้ว่าครึ่งปีหรือว่าหนึ่งปีข้าก็ไม่แน่ใจ และพวกเขาก็ไม่ได้พบเห็นข้าเลย สรุปแล้วข้าก็ติดตามพวกเขาไป เข้าไปในส่วนลึกของสนามรบโบราณเรื่อยๆ…ข้ามองเห็นพวกเขากำลังรวบรวมวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ภายในสนามรบโบราณและก็อะไรอื่น…”
ดวงตาทั้งคู่ของเว่ยมั่วลี่เบิกกว้าง ภายในดวงตาเหมือนจะปรากฎภาพที่เห็นใน ตอนนั้น
“ต่อมาข้าก็ถูกพวกเขาพบเห็นเข้า หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูมาใส่ข้าจากนั้นข้าก็จดจำอะไรก็ไม่ได้ ดูเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในความฝันอันยาวนาน ภายในความฝันนั้นข้ารู้สึกว่ามีคนจำนวนมากต้องการฆ่าข้า ดังนั้นข้าก็ต้องฆ่าพวกเขา ข้าไม่หยุดฆ่า ฆ่าคนที่คิดจะฆ่าข้าเหล่านั้นเรื่อยๆ ภายในสมองของข้า เหลือเพียงแต่คำว่าฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
ดวงตาของเว่ยมั่วลี่เบิกโต เต็มไปด้วยเส้นเลือด เอ็นคอก็ปูดโปน อารมณ์แปรปรวน
มู่ชิงเกอรีบส่งพลังจิตเข้าไปในเข็มทองบนหัวของเขาในทันที ถึงได้ทำให้เขาค่อยๆ สงบลงมาได้
การอธิบายของเขาทำให้หัวใจของทั้งสี่คนล้วนแต่เกิดความเย็นยะเยือกขึ้น
จีเหยาฮั่วเอ่ยถามว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตัวประหลาดพวกนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร?”
“ตัวสีเขียว…บางตัวสูงใหญ่ บางตัวนั้น…ผอมมาก หนังหุ้มกระดูก…รูปร่างดูสยดสยอง ดวงตาสีเขียว ใบหูใหญ่…มือของพวกเขาเป็นกรงเล็บ…อีกทั้ง…พวกเขาล้วนแต่ลำตัวเปลือยเปล่า…” นํ้าเลียงของเว่ยมั่วลี่สั่นเล็กน้อยขณะที่กำลังอธิบายตัวประหลาด
“เจ้ายังจำได้ใหมว่าครั้งแรกที่เจ้าเข้ามาในสนามรบโบราณนั้นพลังฝึกปรืออยู่ระดับไหน?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้นมา
จุดนี้เว่ยมั่วลี่จำได้อย่างชัดเจน ตอบตรงๆ ว่า “ระดับสีทองชั้นหนึ่ง”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น สายตาของอีกสามคนก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา
“เป็นอะไรไป?” เห็นท่าทีของไม่กี่คนนี้ดูแปลกไป เว่ยมั่วลี่จึงเอ่ยถามขึ้นมา
มู่ชิงเกอมองเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าในตอนนี้อยู่ระดับสีทองชั้นสอง”
“อะไรนะ!” เว่ยมั่วลี่ตกตะลึง
แต่ไม่นานเขาก็คิดไปถึงท่าทางของคนตรงหน้าที่เผยร่องรอยแปลกประหลาดเมื่อครู่ สีหน้าของเขาจึงครึ้มลงไปอย่างไม่น่าดูเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ แสดงว่าข้าสูญเลียสติไปนาน อาจจะถึงหลายปี”
“ข่าวคราวของเจ้าที่อยู่ในโลกแห่งยุคกลางครั้งสุดท้ายก็เมื่อหกปีก่อน” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยปากออกมา
“หกปี…หกปีแล้ว…” เว่ยมั่วลี่หลุดเสียงออกไป
ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ดีๆ มารับรู้ว่าตนเองเป็นบ้าไปหกปีก็ล้วนแต่จะรู้สึกแย่กระมัง
ภายในถํ้าเงียบลงอีกครั้ง
ผ่านไปอย่างยาวนาน เว่ยมั่วลี่ถึงได้พูดว่า “ถ้าหากว่าพิษในร่างกายของข้าไม่มีทางรักษาให้หายได้ สุดท้ายแล้วข้าจะเป็นอย่างไร?”
ปัญหานี้เขาถามมู่ชิงเกอ
หลังจากที่เขาขึ้นขึ้นมา ก็มองเห็นมู่ชิงเกอคอยเฝ้าอยู่ข้างกายของเขา ส่วนอีกสามคนเฝ้าอยู่ห่างออกไป จึงได้คาดเดาออกว่าใครช่วยให้ตนเองฟื้นขึ้น
ดวงตาที่ลอดผ่านเส้นผมของเขาออกมาเผยร่องรอยของความหวัง
มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ดูหนักอึ้งว่า “พิษชนิดนี้ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก หากว่าสามารถหาตัวประหลาดที่เจ้าพูดถึงพบได้บางที อาจจะยังพอมีโอกาสถอนพิษ ถ้าหากว่าถอนพิษไม่ได้… พิษชนิดนี้ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกายและพลังฝึกปรือของเจ้า แต่ว่าจะกัดกร่อนสติเจ้าไปเรื่อยๆ ทำให้เจ้าสูญเสียความเป็นตัวเอง หากไม่ตกอยู่ในความบ้าคลั่งก็อาจจะกลายเป็นหุ่นเชิดของคนที่วางยาพิษ”
“โหดเหี้ยมจริงๆ!” จีเหยาฮั่วพูดออกมาอย่างคับแค้น ไม่ฆ่าโดยตรงเลย แต่กลับค่อยๆทรมานหลังจาก ทรมานเสร็จแล้วก็ยังทำให้คนไม่ต่างจากศพเดินได้ถูก คนควบคุม ขอเพียงแต่เป็นคนที่พอมีศักดิ์ศรีก็ล้วนแต่ไม่สามารถทนกับผลลัพธ์เช่นนี้ได้
เว่ยมั่วลี่นิ่งเงียบลงไป เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ที่รุนแรงออกมา
ทันใดนั้น นัยน์ตาของเขาก็เผยร่องรอยขัดขืนต่อสู้ขึ้นมาสายหนึ่ง สติกำลังค่อยๆ หายไป
ปฏิกิริยาของเขาทำให้พวกจีเหยาฮั่วสามคนยืนขึ้นในทันที มองเขาอย่างระแวง ส่วนเว่ยมั่วลี่กลับมองไปยังมู่ชิงเกอ ดวงตาที่ถูกเส้นผมบดบังเต็มไปด้วยความขอร้อง “ถ้าหากสุดท้ายแล้วหาทางไม่ได้ ก่อนจะออกไปจากที่นี่ก็ให้ฆ่าข้าซะ! ขอร้องเจ้าล่ะ!”
สามารถทำให้ผู้ที่ครองอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงมาหลายปีพูดคำว่า ‘ขอร้อง’ ออกมาได้ คิดดูก็รู้แล้วว่าในใจ ของเขาในตอนนี้นั้นทรมานเพียงใด เขาไม่คิดจะทิ้งโอกาสมีชีวิตอยู่ไปง่ายๆ แต่ก็ไม่คิดจะกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานที่ไร้ความเป็นมนุษย์หรือถูกคนควบคุม
“ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้า ให้คำสัญญา
จากนั้นมู่ชิงเกอก็รีบถอนเข็มทองบนหัวของเว่ยมั่วลี่ออกมา จากนั้นก็กดจุดชีพจรด้านหลังของเขาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้เขาสลบลงไป
หลังจากที่เว่ยมั่วลี่สลบลงไปแล้ว ท่าทางของทั้งสามคนถึงได้ดูผ่อนคลายลง
แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญกลับเหมือนเป็นหินก้อนใหญ่ที่กดทับในใจของทุกคนให้หนักอึ้ง
“ทำให้เขาสลบไป สามารถผ่อนความเร็วในการกัดกร่อนของพิษภายในร่างกายเขาได้” มู่ชิงเกอเก็บเข็มทองแล้วก็อธิบายกับทั้งสามคน
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” จีเหยาฮั่วมองทุกคนแล้วเอ่ยถาม
จะทำอย่างไรงั้นหรือ? ปัญหานี้ค่อนข้างตอบยากจริงๆ การพบเจอของเว่ยมั่วลี่ทำให้การฝึกฝนในสนามรบโบราณเพิ่มอันตรายขึ้นไปหลายส่วน
คนอื่นจะเป็นอย่างไรนั้นมู่ชิงเกอควบคุมไม่ได้ เพียงแต่นางจะต้องเดินต่อไปอย่างน้อยก็ต้องได้เลือดแห่งเทพมารมา
“ยันต์เคลื่อนย้ายของพวกเรามีผลสามเดือน หลังจากสามเดือนแล้วถึงจะสามารถพาพวกเราออกไปได้” เวลานี้เอง อิ๋งเจ๋อก็พูดออกมาหนึ่งประโยค
ความหมายนั้น ชัดเจนดีแล้ว แม้ว่าคิดจะพาเว่ยมั่วลี่ออกไปในทันทีก็ไม่สามารถทำได้
ซีเซียนเสวี่ยก็พูดขึ้นมาเรียบๆ ว่า “ของข้าก็เช่นเดียวกัน แต่ทว่าข้าเข้ามาก่อนพวกเจ้าหนึ่งวันก็จะต้องออกก่อนพวกเจ้าไปหนึ่งวัน” พูดจบแล้วนางก็มองไปยังมู่ชิงเกอ
แต่มู่ชิงเกอในตอนนี้กำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง ไม่ได้มองเห็นสายตาของนางที่ส่งมา
ทั้งสี่คนไปมั่งล้อมกองไฟใหม่อีกครั้ง ภายในถํ้าเงียบสงบ
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไม่กี่คนนี้แล้วเอ่ยปากว่า “อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป มันอาจเป็นโชคดีของพวกเราที่ได้พบเจอกับเว่ยมั่วลี่ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราได้รู้ว่าภายในสนามรบโบราณนั้นไม่ได้มีแค่เพียงพวกเรา แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อีกทั้งสิ่งมีชีวิตนี้ก็สามารถส่งคลื่นเสียงออกมาทำลายสติของฝ่ายตรงข้ามได้”
“คลื่นเสียง?” ซีเชียนเสวี่ยมองไปยังมู่ชิงเกออย่างประหลาดใจ
จีเหยาฮั่วและอิงเจ๋อก็มองมาอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยกับทั้งสามคนว่า “เมื่อครู่เว่ยมั่วลี่ก็พูดแล้วว่า ตัวประหลาดนั่นคำรามใส่เขาครั้งหนึ่ง เสียงแสบหูมาก จากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว และนับแต่นั้นมาที่สติของเขาถูกโจมตีและเสียหาย ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าคลื่นเสียงประหลาดอาจจะเป็นหนึ่งในวิธีโจมตีของตัวประหลาดนั้น มันก็เหมือนกับพิษทำลายสติที่ส่งผ่านมาทางเสียง หลังจากเข้าสู่สมองแล้ว ก็เริ่มทำลายไม่หยุด ดูดกินสติและระบบสมอง…”
มู่ชิงเกอพูดไป แต่กลับพบว่าสายตาของทั้งสามคนยิ่งดูแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
รอนางตอบสนองกลับมาถึงได้เข้าใจในทันทีว่า ตนเองได้พูดคำศัพท์ที่คนในโลกนี้ไม่เข้าใจไปกองใหญ่ สีหน้าของนางฉายแววกระดากใจ พูดกลบเกลื่อนว่า “ก็ ประมาณนี้แหละ พวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว”
ทั้งสามคนพยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เพียงแต่สบตากันแวบหนึ่ง จีเหยาฮั่วเอ่ยว่า “ก็หมายถึงว่าเสียงของตัวประหลาดเหล่านี้นั้นมีพิษ เพียงแค่พบเจอ พวกเราก็อาจจะถูกพิษแล้วก็กลายเป็นดั่งเช่นเว่ยมั่วลี่ได้ใช่ไหม”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “สามารถทำความเข้าใจเช่นนี้ได้”
“เช่นนั้นถ้าหากว่าพวกเราพบเจอพวกมันจะต้องรับมืออย่างไร? ฆ่าพวกเขาให้ตายก่อนที่พวกเขาจะใช้เสียงงั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
จะต้องรับมือกับตัวประหลาดเหล่านั้นอย่างไรเป็นคำถามที่ควรให้ครุ่นคิดมาก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอจึงเอ่ยว่า “ฆ่าพวกเขาก่อนที่จะส่งเสียงนั้นเป็นวิธีหนึ่ง แต่ทว่า พวกเรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวประหลาดเหล่านี้มาก พวกเขายังมีกระบวนท่าโจมตีอื่นๆ อีกหรือไม่ หรือไม่ก็มีพลังในการป้องกันเป็นอย่างไร พวกเราก็ล้วนแต่ไม่รู้ ดังนั้น ถ้าหากว่าพบเจอพวกเราจะต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ไม่เปิดเผยตัวเองออกไปง่ายๆ เพียงแต่พบเจอแล้วก็ให้ปิดประสาทหู ของตนเองซะ”
ทั้งสามคนพยักหน้าด้วยท่าทางที่ดูเคร่งเครียด “เช่นนั้นเขาละ?” จีเหยาฮั่วขี้ไปทางเว่ยมั่วลี่อีก
ปัญหานี้…
พวกเขาไม่สามารถพาเว่ยมั่วลี่ที่สลบเดินทางไปด้วยได้ตลอด ทิ้งคนไว้ที่นี่ดูแลเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ค่อยได้
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “ปัญหานี้ค่อยพูดกันใหม่ พวกเจ้าล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บ พักผ่อนให้หายดีก่อน ข้าจะเฝ้ายามเอง”
ภายในสนามรบโบราณแยกกลางวันหรือกลางคืนไม่ออก มู่ชิงเกอยืนมือไพล่หลังอยู่ปากถํ้า มองไปยังท้องฟ้าสีเทา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ภายในถํ้าด้านหลังของนาง เว่ยมั่วลี่ยังคงสลบอยู่ จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อก็ล้วนแต่กำลังนั่งสมาธิพักรักษาตัว ภายในช่องว่างแห่งนี้ อันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ใครก็ไม่กล้าวางใจลงได้
ดังนั้น ต้องรีบรักษาบาดแผลให้หาย เมื่อตนเองปกป้องตนเองได้แล้วก็จะได้ไม่เป็นภาระแก่เพื่อนร่วมกลุ่ม
ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา มู่ชิงเกอไม่ต้องหันกลับไปมองก็สามารถเดาออกได้ว่าเป็นใครกำลังเดินออกมา
กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งลอยผ่านจมูก ปลายตาของมู่ชิงเกอมองเห็นชายกระโปรงของซีเซียนเสวี่ย
นางหันไปมองหญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างกายของตนเอง เอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่ไปพักผ่อน?”
ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้า มองเขาด้วยสายตาที่ดูอ่อนโยน “นอนไม่หลับ”
มู่ชิงเกอพูดไม่ออก เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
ซีเซียนเสวี่ยยืนอยู่ข้างกายของเขาอย่างสงบ มองไปยังท้องฟ้าที่ดูหดหู่ของสนามรบโบราณ ดูเหมือนว่าทุกๆ จุดของช่องว่างแห่งนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายที่หนักอึ้ง แต่ว่าเมื่อยืนอยู่ข้างๆ ของคนผู้นี้ มองเห็นเสน่ห์บนร่างของเขากลับทำให้ซีเซียนเสวี่ยรู้ลึกถึงพลังแห่งชีวิตสายหนึ่ง เกิดความรู้สึกมีโอกาสและมีความหวัง
“ข้าคิดว่าวันนี้จะต้องตายเสียแล้ว” ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยก็เอ่ยปากออกมา
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดไปว่า “ไม่หรอก”
ซีเซียนเสวี่ยกลับส่ายหน้ายิ้มออกมา “ถ้าหากว่าพวกเจ้าไม่ปรากฎตัวออกมา ข้าก็คงจะตายไปในเงื้อมมือของเว่ยมั่วลี่จริงๆ”
“เจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตระกูลซี ทั้งยังเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทพ จะต้องมีฝีมือหรือวิธีในการเอาชีวิตรอดอยู่บ้าง” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาเรียบๆ
ซีเซียนเสวี่ยชะงัก ยิ้มบางๆ ออกมา นางมองมู่ชิงเกอ นัยน์ตามีร่องรอยของความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน “ที่เจ้าพูดนั้นไม่ผิด เพียงแต่ในก่อนที่ข้าจะเข้ามา ก็ได้ทิ้งวิธีในการเอาชีวิตรอดเหล่านั้นไปหมดแล้ว”
มู่ชิงเกอมองนางอย่างตะลึง “ตัดทางถอยไปหมดเลยงั้นหรือ?”
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า “ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะสองปีมานี้จิตใจข้าไม่สงบ ฝึกปรือได้ช้ามาก ข้าคิดอยากจะอาศัยการฝึกฝนในครั้งนี้ในภาวะความเป็นความตายสามารถผ่านด่านบางอย่างได้ทำให้จิตใจของข้าสงบลงได้อีกครั้ง การตายอยู่ที่นี่อยู่ร่วมกับบรรดาเทพมารนับแสนปี กอนก็ถือว่าไม่เลว แต่ว่าวันนี้ในตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับเว่ยมั่วลี่และสิ้นหวัง ในตอนที่เจ้าปรากฎตัว ในตอนนั้นเองข้าถึงได้รู้สึกถึงว่าที่จริงแล้วข้ากลัวตายมาก”
คำพูดของซีเซียนเสวี่ยทำให้มู่ชิงเกอไร้คำพูดจะต่อคำ
ภายในคำพูดของนางเหมือนจะทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยความรู้สึกบางอย่าง ที่ทำให้มู่ชิงเกอค่อนข้างสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ความรู้สึกสับสนเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องอธิบายอะไรออกไป “ธิดาเทพซี ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจ…”
“เรียกข้าว่าเซียนเสวี่ยเถอะ คนในครอบครัวของข้าก็เรียกข้าเช่นนี้ไม่เคยเรียกข้าว่าธิดาเทพอะไรนั่น” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยปากตัดบทพูดของเขา
ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอ รวบรวมความกล้าหาญแล เอ่ยว่า “เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเมื่อเป็นธิดาเทพแล้ว ก็ไม่สามารถแต่งงานได้ตลอดชีวิต ยิ่งอย่าได้พูดถึงเรื่องว่าจะ ชอบใครสักคนเลย กฎนี้แต่เดิมข้าก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอะไร แต่ไม่คิดว่าจะมีวันที่ข้าเกลียดแค้นกฎนี้ขึ้นมาได้”
มู่ชิงเกอฟังจนรู้สึกว่าปากคอแห้งผาก คิดจะอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร