Skip to content

พลิกปฐพี 372

ตอนที่ 372

คนที่อยู่ในใจของมู่ชิงเกอ

นางคิดจะบอกซีเซียนเสวี่ยว่าความจริงแล้วตนเองเป็นผู้หญิง แต่ซีเซียนเสวี่ยกลับไม่ปล่อยโอกาสให้ตนเองได้เอ่ยปาก

“พวกเราต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสามเดือน เจ้าสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้าสามเดือนได้หรือไม่? หลังจากสามเดือนแล้ว หากสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ข้าก็จะไม่พัวพันเจ้าอีก เจ้าทำตามใจข้าแล้วข้าถึงจะสามารถวางความรู้สึกลงได้จริงๆ” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยความต้องการของนางออกมา

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าใจความหมายของซีเซียนเสวี่ย

บางที ตัวนางอาจจะกลายเป็นจิตมารในใจของซีเซียนเสวี่ยไปโดยไม่รู้ตัว เป็นเคราะห์กรรมแห่งความรัก ซีเซียนเสวี่ยเป็นคนฉลาด รู้ได้เร็วและก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถถลำลึกลงไปได้ ดังนั้นถึงได้คิดมาที่นี่เพื่อใช้ความเป็นความตายในการลืมความรัก

แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าในวันที่สองที่มาถึงที่นี่จะมาพบกับตนเอง

ซีเซียนเสวี่ยคงรู้สึกว่าในเมื่อชะตาชีวิตเป็นเช่นนี้หลบหลีกไปก็ไม่สู้เข้าเผชิญหน้า จึงคิดจะใช้เวลาสามเดือนในสนามรบโบราณทำตามความรู้สึกภายในใจ หลังจาก จากไปแล้วก็จะได้ปล่อยวางความรู้สึกนี้ลง ธิดาเทพซีผู้นี้คิดจะใช้ข้าช่วยนางผ่านด่านรัก?’ ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เข้าใจ

ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอ ภายในดวงตาฉายแววคาดหวัง เห็นนางไม่พูดไม่จาจึงพูดต่อว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ทำอะไรที่ผิดกฎ เมื่อออกไปจากที่นี่ได้แล้วก็จะไม่พัวพันเจ้าต่ออก”

พูดไปนางก็ขบริมฝีปากเอ่ยว่า “ก็ถือ…ก็ถือซะว่าเป็นการชดใช้ต่อสิ่งที่เจ้าทำกับข้าในครั้งแรกที่พบกันเป็นอย่างไร?”

ครั้งแรกที่พบกัน? ครั้งแรกเป็นแบบไหน?

ทันใดนั้นภาพก็โผล่ขึ้นมาในหัวของมู่ชิงเกอ วันนั้นในตระกูลซางเมืองฝูซา ซีเซียนเสวี่ยมาลอบฆ่านาง แต่กลับถูกนางตีก้น

อา…

ทำกรรมเองก็ต้องรับกรรมเองจริงๆ!

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มอย่างขมขื่นออกมา ในที่สุดก็พยักหน้าภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของซีเซียนเสวี่ย

เอาเถอะ สามเดือนที่อยู่ร่วมกันกับซีเซียนเสวี่ยก็ถือเป็นการแก้ไขบุญคุณความแค้นระหว่างพวกนางไปแล้วกัน

เห็นมู่ชิงเกอพยักหน้าแล้ว ซีเซียนเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มออกมา นางพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมอกของมู่ชิงเกอ พิงไหล่ของเขา หลับตาลงเอ่ยว่า “ขอบคุณ”

แผ่นหลังของมู่ชิงเกอแข็งทื่อขึ้นมา สองมือไพล่อยู่ด้านหลังไม่กล้าเคลื่อนไหว เพราะกลัวว่าอาจจะทำให้ซีเซียนเสวี่ยเกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้

“เจ้าคิดจะให้ข้าทำอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้า เอ่ยว่า “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ทำตัวเหมือนดั่งปกติก็ดีแล้ว”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

การกระทำของซีเซียนเสวี่ยในตอนนี้สามารถทำความเข้าใจได้ว่าเป็นการฝึกฝน เป็นด่านหนึ่งในอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก ก็เหมือนกับที่นางเคย เผชิญกับมารในใจในหานชุ่น พูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ ด่านรักของซีเซียนเสวี่ยผูกไว้อยู่กับตัวของนาง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการถอนพิษด้วยพิษ จากนั้นก็ลืมทุกอย่างให้หมดสิ้น ไม่ให้จิตใจเกิดความคิดถึงขึ้นอีก

สามเดือนนี้ ก็เหมือนกับครั้งนั้นในแควันฉินที่นางทำตามใจฉินอี้เหลียนก่อนที่นางจะตาย

มู่ชิงเกอรู้ว่าผู้หญิงที่กำลังพิงไหล่นางอยู่นั้นมีความเข้าใจดีว่าตลอดทั้งชีวิตของนางนั้นไม่อาจรักใครได้ เพราะนางเป็นธิดาเทพ นางเกิดมาก็ต้องเลียสละตนเองให้เทพ ถ้าหากว่านางต่อต้าน ก็จะทำให้คนที่นางรักและตระกูลของนางพบเจอกับหายนะ

ซีเซียนเสวี่ยพิงมู่ชิงเกออยู่ครู่หนึ่งถึงยอมจากไหล่ของเขาไป

นางก้มหน้าแล้วก็ทัดเส้นผมที่ตกลงมาไว้ที่ข้างหู สีหน้าดูเขินอาย “ข้ากลับเข้าไปพักผ่อนก่อน เจ้าเองก็อย่าได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปล่ะ”

พูดแล้วนางก็หันกายเดินเข้าไปในถํ้า

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ใช้สายตาส่งนางจากไป มือของนางเกี่ยวกระดิ่งที่หว่างเอวขึ้นมาสั่นเบาๆ

กระดิ่งสั่นเบาๆ เกิดเสียงกระดิ่งออกมา แต่กลับไม่มีการตอบกลับเลย

มู่ชิงเกอมองกระดิ่งแล้วพึมพำเสียงเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้สั่นกระดิ่งด้วยตนเองมานานแล้ว เจ้ายุ่งมากเลยหรือ? ยุ่งจนไม่มีเวลาสั่นกระดิ่งเลยงั้นหรือ?”

นางไม่รู้สึกตัวเลยว่าภายในนํ้าเสียงนั้นแฝงความแง่งอนเอาไว้อยู่

จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝน บาดแผลบนร่างกายก็ฟื้นฟูไปไม่น้อยแล้ว ส่วนซีเซียนเสวี่ยนั้นบาดเจ็บหนักที่สุด ภายในเวลาสองวันนี้จึงไม่สามารถใช้พลังจิตได้

ทั้งสี่คนยืนขมวดคิ้วอยู่ในถํ้ามองดูเว่ยมั่วลี่ที่กำลังสลบอยู่

พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปได้ตลอด เช่นนั้นก็ต้องจัดการปัญหาเรื่องจะทำอย่างไรกับเว่ยมั่วลี่

“พาเขาไปด้วยนั้นไม่อาจทำได้ เพราะหากพบเจอกับอันตราย พวกเราเองก็ต้องเอาตัวรอด เขาก็จะเป็นอันตราย” จีเหยาฮั่วพูดออกมา

อิ๋งเจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย

ซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้ว “หากว่าให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ เกิดว่ามีอันตรายอะไร หรือไม่ก็หากเขาฟื้นขึ้นมาแล้วบ้าคลั่งล่ะ จะทำอย่างไร? ถึงตอนนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะหาวิธีแก้พิษเจอ พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะหาเขาได้ที่ไหน”

นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทุกคนลังเล

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่พูด เดิมทีนางก็มีวิธีแก้ปัญหา นั้นก็คือเก็บเอาเว่ยมั่วลี่เข้าไปในช่องว่าง แต่ว่านางเพิ่งเข้าสู่ระดับสีทองได้ไม่นาน ช่องว่างกำลังเลื่อนระดับ แม้แต่เหมิงเหมิงก็ยังหลับอยู่ ช่วงเวลานี้นางสามารถเก็บสิ่งของได้ เอาของออกมาได้ แต่กลับไม่สามารถบรรจุคนเป็นๆ เข้าไปได้

คิดแล้วคิดอีก มู่ชิงเกอถึงได้พูดว่า “เอาเขาทิ้งไว้ที่นี่แหละ ข้าจะทำให้เขาหลับต่อไป แล้วก็ลงอาคมไว้ในถํ้า ป้องกันไม่ให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วเดินออกไป ตอนที่พวกเราจากไปก็ปิดถํ้าเอาไว้แล้วทำสัญลักษณ์ เวลาไม่ถึงสามเดือนไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร”

“อาคม? เจ้าเป็นอาคมด้วยหรือ?” จีเหยาฮั่วพูดออกมาอย่างตกตะลึง ตอนนี้เขาอยากรู้จริงๆ ว่า ยังมีอะไรอีกที่มู่ชิงเกอทำไม่เป็น!

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย “นิดหน่อย เรื่องอื่นไม่กล้ารับรอง แต่หากต้องการหยุดยั้งเขาไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก”

“ดี! เช่นนั้นก็ทำเช่นนี้ ต้องการให้พวกเราช่วยอะไรก็พูดมาได้เลย” จีเหยาฮั่วเอ่ย

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มสร้างอาคมขึ้นในถํ้า นางก้มลงวาดๆ ที่พื้น ซีเซียนเสวี่ยรออยู่เงียบๆ ด้านข้าง คอยส่งศิลาวิญญาณและอุปกรณ์อื่นๆ ให้เขา เรื่อยๆ

จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อยืนอยู่ด้านข้าง มองดูเว่ยมั่วลี่และก็มองดูพวกเขาทั้งสองกำลังช่วยเหลือกันอยู่ จีเหยาฮั่วใช้แขนกระทุ้งอิ๋งเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างกาย เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนดูไม่ค่อยธรรมดา!”

อิ๋งเจ๋อเหลือบมองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะดูแคลนความอยากรู้อยากเห็นของเขา

เมื่อไม่มีคนตอบ จีเหยาฮั่วก็ขบริมฝีปาก ใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยาก เห็นจ้องมองมู่ชิงเกอกับซีเซียนเสวี่ยอย่างไม่ละสายตา

เมื่อวาดอาคมเสร็จแล้ว อาคมที่ค่อนข้างซับซ้อนเหล่านั้นทำให้อีกสามคนไม่ เข้าใจเลยแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา โบกๆ มือ มองไปยังทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเว่ยมั่วลีว่า “แบกเขาเข้ามา”

จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อแบกเว่ยมั่วลี่ขึ้นมาแล้วก็ทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ วางเขาลงไปยังใจกลางอาคมจุดที่มีอักษรสลักไว้เยอะที่สุด เพิ่งจะวางลง ทั้งสองคนก็รีบกระโดดออกมา ทันใดนั้น อาคมก็เปล่งแสงสีทองพุ่งขึ้นมา ลอยอยู่บนถํ้า ปกคลุมเว่ยมั่วลี่ไว้ทั้งตัว

ทั้งสามคนมองดูฉากนี้อย่างตะลึง อาคมที่สาบสูญหายไปนับหมื่นปี ตอนนี้ยังมีคนใช้เป็นอยู่ซึ่งทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ

เก็บความตะลึงในใจกลับไปแล้วทั้งสี่คนก็ออกไปจากถํ้า แล้วก็เอาหินที่มีขนาดพอๆ กับปากถํ้ามาปิดถํ้าเอาไว้

เพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น มู่ชิงเกอได้วางอาคมไว้บนก้อนหินที่ปิดปากถํ้าอีกครั้ง

เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ถึงแห้ว่าเว่ยมั่วลี่จะฟื้นตื่นแล้วทำลายอาคมด้านในได้ หินยักษ์ที่อยู่ด้านหน้าก็ไม่อาจผลักออกได้ง่ายๆ เขาออกไปได้ยากเช่นนี้อันตรายด้านนอกก็ยากจะเข้าไปเช่นเดียวกัน

“เช่นนี้พวกเราก็สามารถไปได้อย่างวางใจแล้ว!” จีเหยาฮั่วตบมือยิ้มแย้มออกมา

มู่ชิงเกอมองไปยังซีเซียนเสวี่ย เอ่ยกับนางว่า “ผ่านไปอีกสองวันเจ้าถึงจะสามารถใช้พลังจิตได้ สองวันนี้ก็ให้ตามติดข้า อย่าไปไหนไกล”

ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ ท่าทางที่ดูเชื่อฟังเช่นนั้นทำให้จีเหยาฮั่วประหลาดใจมาก!

ภายในความทรงจำ ธิดาเทพผูนี้ศักดิ์สิทธิ์และสูงศักดิ์ไม่แปดเปื้อนกับเรื่องราวทางโลกนี่? เหตุใดจึงมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเช่นนี้ได้?

นางที่อยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอในเวลานี้นั้นเหมือนกับเป็นภรรยาสาวผู้เชื่อฟัง เป็นซีเซียนเสวี่ยจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอมองไปยังจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ

นางมองเห็นอาการตกตะลึงในแววตาของจีเหยาฮั่ว แต่ก็หมดปัญญาที่จะอธิบาย

ช่วยซีเซียนเสวี่ยฝ่าด่านรัก เป็นเรื่องส่วนตัวของซีเซียนเสวี่ย นางอาศัยโอกาสตอนที่ทั้งสองกำลังฝึกฝนอยู่ถึงได้พูดกับตนเอง นั้นก็หมายถึงว่านางไม่ได้อยากให้ทุกคนรู้

มู่ชิงเกอเดินไปด้านหน้าสุด ประสาทสัมผัสของนางดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่เดินอยู่ด้านหน้าสุดนั้นก็เพื่อรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหน้าได้เร็ว จะได้ตั้งตัวได้ทัน

เพียงแค่มู่ชิงเกอขยับ ซีเซียนเสวี่ยก็ขยับตาม นางทำตามคำสัญญา ไม่ได้ทำตัวติดมู่ชิงเกอ เพียงแต่เดินข้างเขา ไม่ได้จูงมือ

ทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว อิ๋งเจ๋อก็จะก้าวเท้าเดินตามเช่นกัน แต่ว่า เท้าของเขาเพิ่งจะก้าวออกไปก็ถูกจีเหยาฮั่วดึงเอาไว้

อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วมองดูเขา แต่กลับเห็นเขามีท่าทีที่ดูตะลึงอยู่

“พวกเขาทั้งสองต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน! มีปัญหาอย่างแน่นอน!” จีเหยาฮั่วเอ่ยออกไปอย่างประหลาดใจ

อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว “พวกเขามีปัญหาอะไร? ที่ข้าเห็นคนที่มีปัญหาน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า”

“โอ้ย! เจ้าท่อนไม้มิน่าละเจ้าถึงได้ไม่มีภรรยาสักที หรือว่าเจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสนิทสนมขึ้นมา?” จีเหยาฮั่วพูดออกมาอย่างไม่ได้ดั่งใจ

ดูเหมือนว่าเขาได้ลืมไปแล้วว่าเจ้าท่อนไม้ที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นเป็นคนในดวงใจของน้องสาวตนเอง

อิ๋งเจ๋อมองเขาเรียบๆ ดูเหมือนกำลังพูดว่า ‘พูดเหมือนกับว่าเจ้ามีภรรยาอย่างนั้นแหละ’

“ข้าก็ไม่ได้เห็นว่าพวกเขามีอะไรผิดปกตินี่” อิ๋งเจ๋อตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

จีเหยาฮั่วกลอกตาขาวใส่เขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความดูแคลน

“ข้ารู้เพียงแต่ว่า หากพวกเรายังไม่ไปก็จะไล่ตามพวกเขาไม่ทันแล้ว” อิ๋งเจ๋อเสริมไปอีกหนึ่งประโยค

ประโยคนี้ในที่สุดก็ดึงดูดใจของจีเหยาฮั่วได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปชั่วขณะ ลากอิ๋งเจ๋อพร้อมเอ่ยว่า “รีบเดินรีบเดิน! เดินไปพูดไป!”

ทั้งสองคนเร่งฝีเท้าไล่ตาม ในตอนที่อิ๋งเจ๋อคิดจะไล่ตามไปติดๆ นั้น จีเหยาฮั่วกลับดึงเขาเอาไว้พูดออกมาอย่างแตกตื่นว่า “ข้าคิดออกแล้ว!”

อิงเจ๋อมองเขาแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดอะไรออก?”

จีเหยาฮั่วยักคิ้วหลิ่วตา พูดอย่างขี้เล่นว่า “เจ้าลืมแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ที่บ้านของข้า ข้าได้ถามชิงเกอไปว่ามีคนในใจหรือยัง? แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?”

อิ๋งเจ๋อคิดแล้วตอบว่า “มีแล้ว”

“นั้นก็ถูกแล้ว!” จีเหยาฮั่วกระตือรือร้นขึ้นมา ภายในดวงตามีเปลวไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นลุกโชน เอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “วันนั้นเขาพูดด้วยท่าทางลึกลับ ข้าเดาว่าคงจะไม่สะดวกใจให้คนอื่นรับรู้ตอนนี้มองเห็นธิดาเทพซี… เจ้ายังจำคำที่นางพูดเมื่อสองปีก่อนในลั่วซิงเฉิงได้หรือไม่?”

นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อหดตัวลง ในที่สุดนํ้าเสียงก็แฝงร่องรอยของความตกตะลึง “เจ้าจะพูดว่า คนที่อยู่ในใจของมู่ชิงเกอก็คือซีเซียนเสวี่ยงั้นหรือ?”

จีเหยาฮั่วพยักหน้าอย่างได้ใจ “อีกอย่าง ตามที่ข้าดู ธิดาเทพซีก็ชอบชิงเกอของพวกเรามากเช่นกัน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version