ตอนที่ 381
ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเต็มไปหมด!
“สุสานเทพ? นั่นคืออะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น
“ชิงเกอ เจ้าไม่รู้จักสุสานเทพงั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วตอบกลับมา ไม่ทันได้ถามรายละเอียดกับซีเซียนเสวี่ยก็ถูกคำพูดของมู่ชิงเกอดึงดูดไปแล้ว
มู่ชิงเกอพยักหน้าเงียบๆ
นางมีหลายเรื่องที่รู้เพียงแค่ครึ่งเดียว
คนข้างกายที่เข้าใจดี ก็มีแต่บอกนางว่ายังเร็วเกินไปที่จะรู้
ใช่แล้ว! ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็คิดขึ้นมาได้ว่าเหล่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษของตระกูลซางเคยพูดว่า รอนางถึงระดับสีทองแล้วก็ให้ไปพบพวกเขา พวกเขาจะตอบปัญหาที่นางสงสัยทั้งหมด?
‘ดูแล้ว หลังออกไปจากที่นี่แล้วต้องกลับไปที่พื้นที่ตระกูลของตระกูลซางสักครั้ง’ มู่ชิงเกอวางแผนในใจ
“เจ้ากลับไม่รู้จักสุสานเทพงั้นหรือ? เจ้า…รอเดี๋ยว” จีเหยาฮั่วพูด แล้วก็มองไปยังซีเซียนเสวี่ยอย่างกะทันหัน เอ่ยถามนางอย่างจริงจังว่า “ธิดาเทพซี ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ นั้นเป็นความจริงงั้นหรือ? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญมาก”
อิ๋งเจ๋อก็พยักหน้าจ้องมองซีเซียนเสวี่ย
ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็นความจริง เรื่องนี้นั้น อีกไม่นานตำหนักเทพก็จะส่งข่าวไปยังตระกูลบรรพกาลต่างๆ ข้าคิดว่าหลังจากพวกเจ้าออกไปจากที่นี่แล้วกลับไปยังตระกูลก็จะรู้เอง”
จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อสูดลมหายใจเข้า สบตากัน
มีเพียงแต่มู่ชิงเกอที่ยังมึนงงอยู่
หลังจากจีเหยาฮั่วประมวลข่าวสารนี้ไปแล้ว ถึงได้หันมาอธิบายให้มู่ชิงเกอฟังว่า “ชิงเกอ เจ้ารู้จักที่มาของตระกูลบรรพกาลของพวกเราหรือไม่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “คนในตระกูลบรรพกาลนั้นมีสายเลือดของเทพอยู่ในร่างกาย”
จีเหยาฮั่วพยักหน้า “ดังนั้น ในตระกูลบรรพกาลของพวกเรา มีโอกาสที่จะกลายเป็นเทพได้มากที่สุด!”
เขายกมือขึ้นในใจกลางมือของเขาปรากฎพายุหมุนสีครามออกมา
“หากสายเลือดเทพของรุ่นหลังมีความเข้มข้นมากก็จะกลายเป็นรากวิญญาณ ของข้านั้นเป็นรากวิญญาณลมโดยกำเนิด!” จีเหยาฮั่วพูดกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูดจา สำหรับรากวิญญาณลมโดยกำเนิดของจีเหยาฮั่วนั้น นางรู้มานานแล้ว จึงไม่ได้ตกใจ อย่าว่าแต่เขาเลยแม้แต่ซีเซียนเสวี่ยที่มีรากวิญญาณนํ้าโดยกำเนิด และอิ๋งเจ๋อที่มีรากวิญญาณพละกำลัง นางก็ล้วนแต่รู้ดี
แน่นอนว่าที่นางรู้ก็ต้องขอบคุณซือมั่ว
“เหตุใดเจ้าถึงไม่แปลกใจเลย?” จีเหยาฮั่วเก็บพายุหมุนกลับ มองมู่ชิงเกออย่างมึนงง
เขาที่จริงจังได้ไม่ถึงสามวินาทีทำให้มู่ชิงเกอไร้คำจะเอ่ย นางส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่เพียงแต่รู้ว่าเจ้ามีรากวิญญาณลมโดยกำเนิด ยังรู้ว่าซีเซียนเสวี่ยมีรากวิญญาณนํ้าโดยกำเนิดและอิ๋งเจ๋อมีรากวิญญาณพละกำลังอีกด้วย”
เมื่อนางพูดจบซีเซียนเสวี่ยและอิ๋งเจ๋อก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ต้องรู้ว่าเรื่องรากวิญญาณของพวกเขาล้วนแต่เป็นความลับสุดยอดของตระกูลไม่เคยเปิดเผยออกสู่ภายนอกมาก่อน
แต่ว่ามู่ชิงเกอที่แม้แต่สุสานเทพก็ไม่รู้จักกลับรู้ดีถึงรากวิญญาณของพวกเขา นี่หมายถึงอะไร? เป็นใครที่เปิดเผยออกไป? หรือครึ่งหนึ่งในโลกแห่งยุคกลางรู้กันไปหมดแล้ว?
ความรู้สึกถึงอันตรายผุดขึ้นมาจากกันบึ้งหัวใจของทั้งสามคน
มู่ชิงเกอมองท่าทีของพวกเขาออก จึงเอ่ยปากว่า “วางใจเถอะ คนที่บอกข้านั้นจะไม่คุกคามพวกเจ้า และก็จะไม่บอกคนอื่น”
คำรับรองของนางทำให้ทั้งสามคนรู้สึกผ่อนคลายลง
จีเหยาฮั่วไอออกมาเบาๆ พูดหยั่งเชิงว่า “ชิงเกอ เจ้าก็มีรากวิญญาณโดยกำเนิดด้วยใช่ไหม?”
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า
ในเมื่อทุกคนล้วนแต่เปิดเผยต่อหน้านางแล้ว นางก็ไม่กล้าปิดบัง เพียงแต่ว่า นางไม่ได้มีรากวิญญาณแค่เพียงอันเดียว ดังนั้นนางจึงไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด
“ข้าก็ว่าแล้วเชียว!” จีเหยาฮั่วตบมือ เอ่ยอย่างสนใจว่า “ตระกูลซางเป็นสายเลือดของอาจารย์หลอมศาสตรา หากร่างกายของเจ้าไม่ใช่รากวิญญาณเพลิงก็ต้องเป็น รากวิญญาณทอง ดีมาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราก็สามารถเข้าไปยังสุสานเทพด้วยกันได้แล้ว!”
“เจ้ายังไม่พูดเลยว่าอะไรคือสุสานเทพ แล้วจะไปสุสานเทพทำอะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย
“ให้ข้าเล่าเอง รอเขาพูดจบก็ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลาไปมากเท่าไหร่” ซีเซียนเสวี่ยหัวเราะ เอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า ถึงอย่างไรให้ใครอธิบายก็เหมือนกัน อีกอย่างนางเห็นด้วยกับคำพูดของซีเซียนเสวี่ย หากให้จีเหยาฮั่วอธิบายทั้งหมด เกรงว่าคงจะทำให้นางเกิด อารมณ์อยากจะตีคนขึ้นมา!
“นี่! ธิดาเทพซี ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมรบที่ดีต่อกัน อย่าให้ร้ายกันเช่นนี้สิ!” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
ซีเซียนเสวี่ยไม่สนใจเขา เริ่มอธิบายให้มู่ชิงเกอฟังว่า “หลังจากผ่านระดับสีทองชั้นหกแล้วก็จะเข้าสู่ระดับข้ามผ่านในระดับข้ามผ่านจะต้องผ่านเคราะห์อัสนีสามครั้ง ทุกๆ ครั้งก็จะแข็งแกร่งขึ้น แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนยอดเท่านั้น”
“ส่วนยอด?” มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย เดิมนางคิดว่าซีเซียนเสวี่ยจะอธิบายเรื่องสุสานเทพเลย ไม่คิดว่านางจะเริ่มจากระดับฝึกปรือ
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คนที่มีพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยนั้น ขอเพียงแต่ฝึกฝนอย่างมานะ บากบั่นก็สามารถเข้าสู่ระดับข้ามผ่านได้โดยไม่มีปัญหา มากนัก แต่ว่าเคราะห์อัสนีสามครั้งนั้นไม่ได้ง่ายดายเหมือนการฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง และภายในเคราะห์อัสนีสามครั้งนั้น จะทำให้รากวิญญาณโดยกำเนิดกลายเป็นประตูสวรรค์”
มู่ชิงเกอเม้มปาก
จากการอธิบายของซีเซียนเสวี่ยทำให้นางพบว่าตนเองไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรอีกมากมาย จึงไม่พูดจา รอนางอธิบาย
“ที่เรียกว่าประตูสวรรค์นั้นที่แท้แล้วก็คือวาสนาแห่งเทพ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างนี้หลังจากผ่านเคราะห์อัสนีครั้งแรกไปแล้ว หากเป็นคนที่มีรากวิญญาณโดยกำเนิด จะปรากฎรากวิญญาณออกมา ผ่านเคราะห์อัสนีครั้งที่สองจะเพิ่มประสิทธิ์ภาพของรากวิญญาณ ผ่านเคราะห์อัสนีครั้งที่สามรากวิญญาณจะกลายเป็นประตูสวรรค์ ส่วนคนที่ไม่มีรากวิญญาณนั้นพวกเขาต้องใช้การปล้น ประตูสวรรค์ซึ่งมีสองวิธี วิธีที่หนึ่งก็คือกินโอสถชนิดพิเศษระดับมหาเทพกลายเป็นรากวิญญาณเทียม แต่วิธีเช่นนี้หลังจากมีประตูสวรรค์แล้วก็จะทำให้พลังของพวกเขาเทียบกับคนที่มีรากวิญญาณที่แท้จริงไม่ได้ ส่วนวิธีที่สองก็คือยึดประตูสวรรค์! ไปยึดประตูสรรค์ของคนที่มีรากวิญญาณโดยกำเนิด แล้วก็แทนที่! ส่วนคนที่ถูกคนแย่งเอาประตูสวรรค์ไปก็จะวิญญาณแตกสลาย”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดซือมั่วถึงเตือนนางอยู่เสมอว่าอย่าเปิดเผยเรื่องที่ตนเองมีพลังพิเศษสายฟ้าให้ใครรู้
ที่แท้ในนี้ยังมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่!
รากวิญญาณ ประตูสวรรค์แย่งชิง…
คำเหล่านี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนนับไม่ถ้วนบ้าคลั่งขึ้นมา
นางเข้าใจแล้วว่าทำไมคนจากตระกูลใหญ่เช่นพวกตระกูลของซีเซียนเสวี่ยและจีเหยาฮั่วถึงได้ปิดเรื่องราวเรื่องรากวิญญาณโดยกำเนิดของตนเองไม่ให้คนนอกรู้ เพราะว่าเมื่อมีสิ่งล่อใจขนาดนี้แล้ว แม้พวกเขาจะเป็นทายาทของตระกูลใหญ่ ก็ต้องพบกับภัยอันตรายอย่างแน่นอน
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึงมาก แต่ซีเซียนเสวี่ยยังพูดไม่จบ นางพูดต่อว่า “แต่ว่า คิดจะทะลวงออกจากขอบเขตต้องห้ามของโลกแห่งยุคกลางเข้าไปสู่แผ่นดิน ใหญ่แห่งเทพมารนั้นจะมีเพียงแค่ประตูสวรรค์นั้นไม่ได้ ยังต้องมีสิทธิ์แห่งเทพด้วย! สิทธิ์แห่งเทพก็เหมือนกับ สิทธิ์ในการเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร”
‘สิทธิ์แห่งเทพ!’ มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำๆ นี้ เพราะเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลซางเคยพูดกับนางมาก่อน
“ส่วนในสุสานเทพก็เป็นสถานที่ที่เทพในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารล่มสลาย หลังจากพวกเขาตายแล้ว สิทธิ์แห่งเทพของพวกเขาก็จะกลับไปในสุสานเทพ สุสานเทพ นั้นเป็นช่องว่างแห่งหนึ่ง หลายพันปีถึงจะเปิดออกสักครั้ง ส่วนครั้งนี้นั้นตำหนักเทพได้รับข่าวสารจากเทพว่าสุสานเทพจะเปิดขึ้นในหลังจากนี้อีกห้าปี ถึงตอนนั้นบรรดาศิษย์ของแต่ละตระกูลบรรพกาลก็ล้วนแต่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในสุสานเทพ เพื่อแย่งชิงสิทธิ์แห่งเทพ ได้สิทธิ์ในการเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร” ซีเซียนเสวี่ยอธิบายอย่างชัดเจน
“เช่นนั้นสุสานมารล่ะ? เหมือนกันกับสุสานเทพหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอีก
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า “สุสานมารก็คือสถานที่ของมารทุกคน ที่นั้นก็มีสิทธิ์ในการเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า ตามธรรมดาแล้วคนที่ใช้ สิทธิ์ที่ได้จากสุสานมารเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นมีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งวิธีการฝึกฝนของพวกเขาก็ไม่เหมือนกับพวกเรา เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เพียงแต่เคยได้ยินอาจารย์พูดว่าครั้งนี้นั้นสุสานเทพและสุสานมารจะเปิดขึ้นพร้อมกัน มีบางพื้นที่อาจจะทับซ้อนกัน พวกเราอาจจะมีโอกาสได้พบเจอคนที่ฝึกฝนจะเป็นมาร นับจากโบราณมา เผ่าเทพและมารก็เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ไม่แน่ว่าเพียงแค่พบกันอาจจะเกิดศึกขึ้นมา ดังนั้นภายในห้าปีนี้พวกเราจะต้องพยายามพัฒนาฝีมือให้สูงขึ้น!”
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ เข้าใจแล้ว
หลายพันปีที่ผ่านมานี้ไม่มีใครสามารถเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้ มาตอนนี้อีกเพียงห้าปีกลับมีโอกาส ถึงตอนนั้นการแข่งขันแย่งชิงคงจะดุเดือดมาก
เกรงว่าคงจะไม่ได้เพียงแค่รุ่นเดียว คนที่อายุมากบางคนก็จะต้องคว้าโอกาสนี้อย่างแน่นอน!
‘ดูแล้ว ต้องเร่งความเร็วในการฝึกฝน ไม่สามารถผ่อนคลายได้!’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจเงียบๆ
มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังเหล่าเทพมารที่ถูกผนึกไว้ด้านล่าง ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเขาไม่มีสิทธิ์แห่งเทพงั้นหรือ?”
เพียงแค่ถามออกไปทั้งสามคนก็ชะงัก
แต่ซีเซียนเสวี่ยกลับเข้าใจความหมายของนาง ส่ายหน้าอธิบายว่า “เพียงแค่คนของเผ่าเทพสูญสลาย สิทธิ์แห่งเทพของเขาก็จะจากไปเอง เข้าไปอยู่ในสุสานเทพ”
“สิทธิ์แห่งเทพ…นอกจากสิทธิ์แห่งเทพจะเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าสามารถเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้แล้ว ยังแสดงถึงอะไรอีก?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พึมพำออกมา
ปัญหานี้นางไม่เข้าใจ จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อก็ไม่เข้าใจ ในทั้งสี่คน คนที่รู้เรื่องภายในมาบ้างนั้นก็มีเพียงแค่คนเดียวคือธิดาเทพแห่งตำหนักเทพ ซีเซียนเสวี่ย
“พูดกันว่า…คนของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ที่อยู่ในเผ่าเทพ เพียงแค่เกิดมาก็จะมีสิทธิ์แห่งเทพ เฉพาะคนที่มีสิทธิ์แห่งเทพเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนได้หากว่าเกิดขึ้นมาแล้วไม่มีสิทธิ์แห่งเทพก็จะเป็นเพียงแค่คนไร้ประโยชน์หรืออาจจะถูกทอดทิ้ง หรือบางทีก็ถูกลดระดับลงไปในโลกอื่น” ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เอ่ย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่นขึ้น เอ่ยเสียงเข้มว่า “หากเป็นเช่นนี้ แล้วที่พวกเราแย่งชิงสิทธิ์แห่งเทพกันก็เพื่อจะได้เข้าไปฝึกฝนภายในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารน่ะสิ”
ทั้งสามคนพยักหน้าลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จากนั้น ทั้งสี่คนก็เงียบลงอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง จีเหยาฮั่วถึงได้เอ่ยอย่างยินดีว่า “ยังมีเวลาอีกตั้งห้าปีมิใช่หรือ? รอห้าปีแล้วพวกเราก็ไปยังสุสานเทพด้วยกัน รอถึงตอนนั้นก็รวมกลุ่มอีกครั้ง อาศัย ความสามารถของพวกเราสี่คน บวกกับลองดูชิว่าจะลากเว่ยมั่วลี่มาเข้าร่วมด้วยได้ไหม ถึงตอนนั้นภายในสุสานเทพ ใครจะสามารถแย่งชิงกับพวกเราได้?”
หลังจากสอบถามรายละเอียดเรื่องสุสานเทพ สิทธิ์แห่งเทพและประตูสวรรค์เสร็จ ทั้งสี่คนถึงได้ตั้งสติ เดินไปข้างหน้าต่อ
ใต้เท้ายังเป็นบรรยากาศของการต่อสู้ ตลอดเส้นทางนั้น ทั้งสี่คนมองบรรยากาศใต้เท้าไปอย่างเงียบเชียบ ชั่วเวลาเดียวไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้หมด
“พวกเจ้าดูด้านนั้น!” ทันใดนั้น ซีเซียนเสวี่ยก็ชี้ไปยังจุดที่นูนออกมาทางด้านขวา
ทั้งสามคนหยุดฝีเท้า มองไปยังจุดที่นางชี้
ตรงจุดนั้นนูนออกมาจริงๆ ภายในพื้นราบเรียบเช่นนี้ทำให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
ทั้งสี่คนสบตากันแวบหนึ่ง ตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่มีการพูดคุย ทั้งสี่คนเข้าไปใกล้ๆ จุดที่นูนขึ้นมาพร้อมกัน
หลังจากเข้าใกล้มากขึ้นแล้ว พวกเขาก็พบว่า บริเวณที่นูนขึ้นนั้นถูกเจาะเป็นหลุมขนาดใหญ่ ปากหลุมมีพื้นที่ถูกเจาะออกมากองอยู่
“ระวัง!” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดฝีเท้า ยื่นมือออกไป ขวางไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้นางมองหลุมที่ถูกเจาะนั้นอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าชะล่าใจ
การเตือนของนางทำให้ทั้งสามคนเข้าใจ
ในที่นี่นอกจากตัวพวกเขาเองแล้วยังไม่ทันได้เห็นคนอื่น
แต่อยู่ดีๆ ที่นี่ก็มีหลุมโผล่ออกมา เป็นใครกันแน่ที่ขุด หรือว่าเจาะมาจากด้านล่างก็ไม่มีใครรู้
“พวกเขาคงจะไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ใช่ไหม?” จีเหยาฮั่วกลืนนํ้าลายลง รู้สึกหวาดกลัว
การคาดเดานี้ของเขายิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา
มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าขึ้นคืนชีพแล้ว เกรงว่าพวกเราก็คงอยู่มาไม่ถึงตอนนี้หรอก”
ไม่ว่าจะเป็นใครหากถูกผนึกอยู่ที่นี่เป็นแสนปี เกรงว่าเพียงแค่ฟื้นคืนชีพก็คงจะบ้าคลั่งไปแน่นอน
“เช่นนั้นหลุมนี้..” ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอ นํ้าเสียงฉายแววลังเล
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก “ยังจำเหล่าตัวประหลาดที่เว่ยมั่วลี่พูดถึงได้ไหม?”
ตัวประหลาด!
ใช่! ตัวประหลาด!
การเตือนของมู่ชิงเกอทำให้พวกเขาคิดขึ้นมาได้
เว่ยมั่วลี่เคยพูดว่า ตัวประหลาดเหล่านั้นดูเหมือนว่ากำลังเก็บรวมรวมอะไรจากซากร่างของเทพมารอยู่
“หรือว่าหลุมนี้เป็นตัวประหลาดขุดขึ้นมา? เพื่อเก็บสิ่งของงั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วคาดเดาออกไป
มู่ชิงเกอพยักหน้า “มีโอกาสเป็นไปได้” เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วก็เปล่งประกาย ยืดหลังตรง โบกพัดก้าวเดินมาข้างหน้า “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ข้าไปสำรวจดูก่อน พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ คอยสนับสนุนข้า”
ซีเซียนเสวี่ยมองแผ่นหลังของจีเหยาฮั่วแล้วก็พูดไปหนึ่งประโยคว่า “คนๆ นี้ภายในความหยาบกระด้างก็มีความละเอียดอ่อนอยู่บ้าง รู้อยู่แล้วว่าต้องมีคนไปสำรวจ จึงแย่งออกไปสำรวจก่อน”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ มองแผ่นหลังของจีเหยาฮั่ว
แต่เดิมจีเหยาฮั่วก็เป็นคนเช่นนี้ มองไปแล้วดูเหลาะแหละชอบทำตามใจตนเองแต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก ยอมรับคมดาบแทนคนที่ตนเองยอมรับ
หากไม่ใช่ว่านางมองเห็นจุดๆ นี้แล้วจะคบเขาเป็นเพื่อนทำไม?
เวลานี้เอง จีเหยาฮั่วก็เดินไปถึงขอบของหลุมใหญ่ ลมเย็นพัดออกมาจากหลุมทำให้เขาอดสั่นไม่ได้ รู้สึก เหมือนตกเข้าไปอยู่ในถํ้านํ้าแข็ง หนาวเย็นจนพลังจิตใน
ร่างไหลวนช้าลง
เขาปรับตัวเล็กน้อย รอจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ก็ยื่นหัวออกไปสำรวจหลุมดำ
เขาขมวดคิ้ว นัยน์ตาที่ฉายแววเคร่งขรึม ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น หลุดเสียงตะโกนออกไป “ให้ตาย! ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเต็มไปหมด!”