Skip to content

พลิกปฐพี 382

ตอนที่ 382

เจ้าสนใจในซากศพอย่างนั้นหรือ?

“…ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะวะวะวะวะวะวะวะ…” เสียงของจีเหยาฮั่ว สะท้อนไม่หยุด สะท้อนผ่านหูพวกมู่ชิงเกอกลับไปกลับมา

จีเหยาฮั่วรีบเอามือปิดปากของตนเอง นัยน์ตาฉายแววตระหนก เขารู้สึกยำเกรงพื้นที่แห่งนี้มาก

ไม่อาจไม่ยำเกรงได้! แม้แต่เกล็ดหิมะจากกลิ่นอายแห่งความตายยังทำให้เขาได้แต่ป้องกัน

ทั้งยังมีเศษวิญญาณของเทพมารอีก จิตวิญญาณแห่งอาวุธในพัดของเขายังเป็นทารกอยู่ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!

“ดูแล้ว น่าจะไม่มีเรื่องอะไร พวกเราไปดูกันเถอะ” ในตอนที่เสียงของจีเหยาฮั่วสะท้อนเสร็จแล้วนั้นมู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยกับอีกสองคน

ทั้งสามคนเข้าไปหาจีเหยาฮั่ว

จีเหยาฮั่วแสดงสีหน้าอดสู เอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจพูดจาเสียงดังนะ เพียงแค่ตกใจมากไปหน่อย”

“ตกใจอะไร?” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วถามออกไป

จีเหยาฮั่วชี้นิ้วมือไปที่ปากหลุม แล้วเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “เจ้าไปดูเอง”

นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อฉายแววสงสัย แต่ยังคงทำตามที่จีเหยาฮั่วพูด เดินไปยังปากหลุม เมื่อมาถึงปากหลุมแล้ว เขาก็ทำแบบจีเหยาฮั่ว ยื่นหัวเข้าไปดู ภาพที่สะท้อนเข้ามาในสายตา ทำให้ลมหายใจของเขาสะดุด นัยน์ตาหดตัวลง พริบตาเดียวก็ฉายแวววาววาบ ขึ้นมา!

ครู่หนึ่ง แสงสว่างบนนัยน์ตาของเขาถึงได้ทึบลงไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันไปเอ่ยกับมู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยว่า “ที่นี่มียุทธภัณฑ์ระดับเทวะมากมายเก็บไว้เป็นอย่างดี”

“พี่น้อง อาวุธเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่บรรดาทหารของเผ่าเทพมารหลงเหลือเอาไว้จากแสนปีก่อน อีกทั้งทุกชิ้นยังเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ!” จีเหยาฮั่วตบบ่าของอิ๋งเจ๋อด้วยความตื่นเต้นพร้อมเอ่ยกับเขา

ทั้งสองคนสบสายตากัน นัยน์ตาล้วนแต่มีความตื่นเต้นในการค้นพบสมบัติ

ซีเซียนเสวี่ยเดินไปข้างหน้าและมองลงไปในหลุม นัยน์ตาของนางก็เผยร่องรอยของความยินดี หันไปเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พวกเราพบเจอภัยอันตรายมาตลอดเส้น ทาง ในที่สุดก็ถือว่าได้ของปลอบใจบ้างแล้ว”

ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเยอะขนาดนี้ทั้งยังเป็นของที่เทพมารเมื่อแสนปีก่อนเคยใช้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนๆ ก็ล้วนเป็นสมปีติลํ้าค่า แม้ว่าจะเป็นตำหนักเทพก็ยังเกิด ความโลภ

มู่ชิงเกอเดินไปเป็นคนสุดท้าย นางยืนอยู่ขอบหลุม มองลงไปในปากหลุม และก็เห็นกองยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเหล่านั้น ล้วนแต่มีสภาพสมบูรณ์อีกทั้งมีหลากหลายชนิด ที่สำคัญก็คือล้วนแต่เป็นยุทธภัณฑ์ระดับเทวะชั้นสูง

แต่ว่านางก็ไม่ได้เผยสีหน้ายินดีเหมือนดั่งเช่นทุกคน แต่กลับขมวดคิ้วขึ้น

เดิมทีจีเหยาฮั่วรอคอยสีหน้าตะลึงจากมู่ชิงเกอ รออยู่ครู่หนึ่งก็เห็นนางนิ่งเงียบไม่พูดจา จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเอ่ยว่า “ที่แท้อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหา เทพนั้นแตกต่างออกไป มองเห็นยุทธภัณฑ์ระดับเทวะมากมายขนาดนี้ก็ไม่ตื่นเต้นเลย! ขอบเขตเช่นนี้ทำให้ข้า ได้แต่เงยหน้าชื่นชมแล้ว! ”

“พูดไร้สาระ” อิ๋งเจ๋อค่อยๆ ส่ายหน้ารู้สึกหมดหนทาง

ซีเซียนเสวี่ยก็ส่งสายตาเย็นชามาให้เขา

อา!

จีเหยาฮั่วกะพริบตา ในใจรู้สึกอดสูมาก เขาก็เพียงแต่ล้อมู่ชิงเกอเล่นไปประโยคหนึ่งเท่านั้น ถึงกับทำให้ทุกคนโกรธเลยหรือ?

“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว! พอใจหรือยัง!” ผู้กล้าที่ดีต้องแก้ไขปัญหาทันที จีเหยาฮั่วเข้าใจสถานการณ์และยอมแพ้ในทันที

“ผิดไปแล้วจริงๆ” ใครจะรู้ว่าอิ๋งเจ๋อและซีเซียนเสวี่ยยังไม่เอ่ยปาก เสียงของมู่ชิงเกอก็ดังขึ้นมา

ซีเซียนเสวี่ยและอิ๋งเจ๋อชะงัก เดินไปหามู่ชิงเกอ

ส่วนจีเหยาฮั่วยืนอยู่ที่เดิม พูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ชิงเกอ ข้าเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าโกรธจริงๆ งั้นหรือ!”

มู่ชิงเกอหันมองเขา ค่อยๆ ส่ายหน้า ชี้ไปที่ปากถํ้าแล้ว เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ยินว่าเจ้าพูดว่าอะไร ที่ข้าพูดว่าผิดไปแล้วก็คือที่นี่”

เอ?

แผ่นหลังของจีเหยาฮั่วแข็งทื่อขึ้นมา ท่าทีเคร่งเครียดแล้วก็รีบเดินเข้ามาในทันที

ทั้งสี่คนรวมตัวอยู่ด้วยกัน แล้วมองไปยังกองยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ แต่กลับมองไม่เห็นว่ามีอะไรผิดไปตรงไหน

“ไอหยา ชิงเกอ เจ้าอย่าได้ทำเป็นมีลับลมคมในอีกเลย มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” ดูไปครู่หนึ่ง จีเหยาฮั่วก็พูดออกมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอทึบลงหลายส่วน เอ่ยเสียงเบาว่า “หรือพวกเจ้าไม่สังเกตเห็นว่าที่นี่มีบางอย่างหายไป?”

“อะไรหายไป?” จีเหยาฮั่วยังคงมึนงง

“ซากร่าง!” นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยเปล่งประกายวาบ พูดอย่างเคร่งเครียด

“ซากร่าง?” จีเหยาฮั่วมองไปที่นางอย่างแปลกใจ

ตอนนี้เองอิ๋งเจ๋อก็ค่อยๆ พยักหน้า ท่าทีดูเคร่งขรึม “ไม่ผิด! ก่อนหน้านี้พวกเราถูกยุทธภัณฑ์ระดับเทวะดึงดูดความสนใจไป จึงลืมความผิดปกติไป”

“นี่! พวกเจ้าเกินไปแล้วนะ! รังแกเพราะว่าข้าโง่ใช่ไหม? พูดแต่คำพูดที่ข้าไม่เข้าใจอยู่นี้นแหละ” จีเหยาฮั่วพูดอย่างโมโห

อิ๋งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเขา เอ่ยกับเขาว่า “พวกเราเดินมาตลอดทาง เจ้ามองเห็นอะไรที่ใต้เท้า?”

“มองเห็นอะไร?” จีเหยาฮั่วค่อยๆ คิด พึมพำเอ่ยว่า “ก็มองเห็นภาพการต่อสู้เมื่อแสนปีก่อนมิใช่หรือ?”

พูดจบ แล้วนัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง ตอบสนองกลับมา

อิ๋งเจ๋อเห็นเขามีการตอบสนองแล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ผิด เป็นภาพของการต่อสู้ แต่ที่นี่กลับมีเพียงแค่กองอาวุธ ไม่มีคน”

“ใช่แล้ว! คนล่ะ? คนของเผ่าเทพมารล่ะ?” จีเหยาฮั่ว เดินวนรอบปากหลุมอยู่หลายรอบแต่กลับไม่พบเห็นอะไร

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดการคาดเดาของตน เองออกมา “ซากร่างเหล่านี้อาจจะถูกคนที่ขุดหลุมนี้เอาไป”

“เก็บเอาซากร่างของเผ่าเทพมารไปทำอะไร?” จีเหยาฮั่ว เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

ปัญหานี้มู่ชิงเกอหมดหนทางที่จะตอบ ทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า

“หรือเป็นคนที่มาจากโลกอื่นเป็นคนทำ?” ซีเซียนเสวี่ยมองไปยังทั้งสามคนแล้วคาดเดาออกมา

“เป็นคนของโลกไหนกันถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้? ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะกองอยู่กลับไม่เอา เอาไปแต่ซากร่าง?” จีเหยาฮั่วพูดออกมาอย่างไม่เข้าใจ

อิ๋งเจ๋อเอ่ยเสียงเข้มว่า “เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียว ก็คือยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา กลับกัน ซากร่างของเผ่าเทพ มารมีประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า”

“ตอนนี้ข้าเพียงแต่คิดว่า คนที่เอาซากร่างไปกับคนที่ทำร้ายเว่ยมั่วลี่จะเป็นกลุ่มเดียวกันหรอไม่” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

ปัญหานี้ทำให้ทั้งสามคนใจเต้นแล้วก็นิ่งเงียบลงไป

อาศัยฝีมือของเว่ยนิ่วลี่ยังไม่สามารถโจมตีตัวประหลาดเหล่านั้นคืนได้ แล้วพวกเขาละ? มู่ชิงเกอยังดี แต่พวกเขาสามคนนั้นอันตรายแล้ว

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเตรียมใจที่จะพบเจอตัวประหลาดนั้นไว้แล้ว ทั้งยังคิดจะหาตัวประหลาดเหล่านั้นมาเพื่อหาวิธีช่วยเหลือเว่ยนิ่วลี่

แต่ว่าเมื่อรู้สึกว่าใกล้เข้ามาจริงๆ แล้ว ในใจของพวกเขาก็เกิดความเคร่งเครียดขึ้นมา

“ถ้าหากว่าพบเจอกับตัวประหลาด พวกเราจะต่อสู้อย่างไร?” จีเหยาฮั่วพูดถึงประเด็นสำคัญ

ตามการอธิบายของเว่ยมั่วลี่ พวกเขารู้ข่าวสารของอี ฝ่ายน้อยเกินไป รู้เพียงแต่ว่าพวกเขาสามารถใช้เสียงโจมตี และเว่ยมั่วลี่ก็ถูกโจมตีเช่นนั้น

แต่นอกเหนือจากนั้นล่ะ?

“อย่าเพิ่งตื่นตกใจไป ยังมีโอกาสที่จะเป็นผู้ฝึกฝนจากโลกอื่นก็เป็นไปได้” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบ

ซีเซียนเสวี่ยเม้มริมฝีปาก “ผู้ฝึกฝนจากโลกอื่นกล้าขุดที่นี่ แล้วนำเอาซากร่างไป คงจะไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูหรือมิตร พวกเราต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

อิ๋งเจ๋อก้มลงไป ยื่นมือไปสัมผัสขอบหลุม หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว เขาถึงได้ยืนขึ้นมาเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “รอยขุดจากปากหลุมนี้เหมือนว่าได้ผ่านเวลามาสักระยะหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครขุด ก็คงไปไกลแล้ว”

“อย่าเพิ่งไปสนใจคนเหล่านั้นเลย มาคิดว่าจะทำอย่างไรในตอนนี้ดีกว่า?” จีเหยาฮั่วชี้ไปที่กองยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเอ่ยถามออกมา

ความหมายของเขาก็คือถามว่าจะเอาอย่างไรกับยุทธภัณฑ์ระดับเทวะมากมายขนาดนี้

ปัญหานี้ทำให้ซีเซียนเสวี่ยและอิ๋งเจ๋อหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ว่าพวกเขายังควบคุมตนเองได้ดีอยู่ รอให้มู่ชิงเกอตัดสนใจ พวกเขาได้ถือเอามู่ชิงเกอเป็นผู้นำกลุ่มไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงแต่เป็นเพราะเขามีระดับพลังสูงที่สุด แต่เป็นเพราะความเยือกเย็นของเขา ทั้งยังมีความฉลาดเฉลียว!

สามารถทำให้บรรดาผู้ยอดเยี่ยมยอมรับให้เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มได้ นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากและจะมีประโยชน์ต่อเขามากในอนาคต

เมื่อเห็นทั้งสามคนมองมาที่ตนเอง มุมปากของมู่ชิงเกอก็กระตุก เอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ในเมื่อล้วนแต่ไร้เจ้าของ พวกเจ้าอยากเอาไปก็เอาไปเถอะ”

คำพูดของนางทำให้สีหน้าของทั้งสามคนเกิดความยินดีขึ้นมา

ไม่ต้องให้นางต้องสั่งซํ้า ทั้งสามคนก็รีบเคลื่อนไหวในทันที

ยังคงเป็นจีเหยาฮั่วที่รวดเร็ว เขากระโดดลงไปในหลุม ส่งยุทธภัณฑ์ระดับเทวะขึ้นมาทีละชิ้น ไม่นาน อิ๋งเจ๋อก็ตามลงไป ยื่นส่งยุทธภัณฑ์ระดับเทวะขึ้นมาด้วยเช่นกัน

ซีเซียนเสวี่ยนั่งอยู่ปากหลุม คอยรับเอายุทธภัณฑ์ระดับเทวะที่ทั้งสองคนส่งขึ้นมาวางไว้บนพื้น

นางไม่ได้เก็บเข้าไปในแหวนจัดเก็บของนาง แต่กลับรอทุกคนมาจัดสรรด้วยกัน นี่เป็นของที่ทั้งสี่คนพบเจอด้วยกัน แน่นอนว่าต้องแบ่งออกเป็นสี่ส่วน

ส่วนมู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิมดูเหมือนกำลังจมดิ่งอยู่ในความคิดของตนเอง

‘ในเมื่อพวกนั้นกล้าขุดพื้นนำเอาซากร่างไป เช่นนั้นก็หมายความว่าซากร่างเหล่านี้ไม่มีอันตราย…’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายออกมา

ใต้พื้นนี้เก็บรักษาซากร่างไว้ดีมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่นางต้องการอยู่พอดี!

เมื่อตัดสินใจแล้ว มุมปากของมู่ชิงเกอก็ฉีกออกเป็นรอยยิ้ม นางเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วก็กระโดดลงไปในหลุม

อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็กระโดดลงมา ทำให้จีเหยาฮั่วที่กำลังตั้งใจเก็บยุทธภัณฑ์ระดับเทวะตกใจ

ไม่รอให้เขาถาม มู่ชิงเกอก็เดินเข้าไปด้านในคนเดียว

ใต้พื้นนี้เป็นเหมือนกับเป็นอีกช่องว่างหนึ่ง เพียงแต่ถูกพื้นที่โปร่งใสผนึกเอาไว้แยกออกจากโลกภายนอก

มู่ชิงเกอเดินออกจากขอบเขตที่เหลือเพียงยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ ในที่สุดก็มองเห็นบรรดาเหล่าซากร่างที่กำลังต่อสู้อยู่ เทพมารเหล่านี้ยังคงอยู่ในท่วงท่าเดิม แม้แต่ นัยน์ตาก็ยังฉายแววแค้นเคือง

สายตาของมู่ชิงเกอไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของเหล่าทหารเล็กๆ เพียงแต่หันไปมองซากร่างของแม่ทัพ จากที่นางมองเทพมารที่มีระดับพลังยิ่งสูง หยดสายเลือดของพวกเขาก็จะยิ่งบริสุทธิ์และแข็งแกร่ง โอกาสที่มู่เหลียนเฉิงจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็จะมากขึ้นหน่อย

นางเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ค้นหาจุดมุ่งหมายของนาง

มู่ชิงเกอลอบคิดคำนวณในใจ อย่างน้อยก็ต้องหาซากร่างที่เหมาะสมสักสองถึงสามร่าง หากว่าครั้งแรกปรุงยาไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสครั้งที่สองครั้งที่ สาม

ทันใดนั้น ด้านหลังของนางก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา นางหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นจีเหยาฮั่วตามมา

“ชิงเกอ เจ้าจะไปไหน? ไม่อาจไปต่อได้แล้วนะ เกิดว่ามีบางร่างยังไม่ตายสนิทแล้วเกิดตื่นขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร?” จีเหยาฮั่วพูดจาล้อเล่นกับมู่ชิงเกอ แต่ใน นัยน์ตากลับฉายแววเป็นห่วง

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ให้กับคำเตือนของเขา “ข้าไม่ไปไกลเกินไปหรอก เลือกสักร่างสองร่างได้ก็จะกลับไปแล้ว”

สีหน้าของจีเหยาฮั่วฉายแววแปลกประหลาดขึ้นมา เขาหดตัวลงเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าสนใจในซากศพอย่างนั้นหรือ? เป็นงานอดิเรกอะไรกัน?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version