Skip to content

พลิกปฐพี 383

ตอนที่ 383

ทะลวงเขตแดน โดนซุ่มโจมตี!

สนใจในซากศพงั้นหรือ?

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก รู้ว่าสีหน้าของตนเองในตอนนี้คงดูแย่มาก เจ้านี้จะไม่พูดคำที่ชวนให้คนเข้าใจผิดได้หรือไม่?

“ข้าต้องการซากศพมาปรุงยา” มู่ชิงเกอกันฟันอธิบายออกไปหนึ่งประโยค

เดิมนางคิดว่า ตนเองอธิบายเช่นนั้นแล้วจะหยุดความคิดเหลวไหลของจีเหยาฮั่วได้

แต่ใครจะรู้ว่าเพียงแค่พูดออกมา สีหน้าของจีเหยาฮั่วจะเปลี่ยนเป็นดูแย่กว่านางเสียอีก อดไม่ได้ที่จะออกไปอาเจียนแห้งๆ อยู่ด้านข้าง

ปฏิกิริยาที่รุนแรงของเขาทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น

กำลังคิดจะถามด้วยความเป็นห่วง แต่พอจีเหยาฮั่วรู้สึกได้ว่าเท้าของเขาขยับ ก็รีบยกมือขึ้นมา ห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้ในทันที “เจ้า…เจ้าอย่าเพิ่งเข้ามา”

“เจ้าเป็นอะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ

แต่สีหน้าของจีเหยาฮั่วกลับเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง “เจ้าบอกข้ามาว่ายาที่เจ้าปรุงขึ้นมานั้นล้วนแต่ปรุงมาจากซากศพใช่หรือไม่?”

ที่แท้ก็กลัวสิ่งนี้!

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าใจว่า เหตุใดปฏิกิริยาของจีเหยาฮั่วถึงได้รุนแรงเช่นนี้!

เดิมทีนางก็คิดจะล้อเล่นกับเขาไปสักสองสามประโยค แต่ตอนนี้ธุระหลักยังไม่สำเร็จ จึงไม่มีเวลาให้ผ่อนคลาย นางจึงเอ่ยว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าต้องการ ซากร่างของเทพมารเพราะว่าข้าต้องการปรุงยาพิเศษชนิดหนึ่ง”

“จริงหรือ?” จีเหยาฮั่วสอบถามเพื่อความแน่ใจไปอีกรอบ

มู่ชิงเกอสีหน้าดำคลํ้า

จีเหยาฮั่วรีบเก็บเสียงกลับทันที โบกมือให้กับมู่ชิงเกอ ความหมายก็คือเขาจะกลับไปก่อน ไม่ถ่วงเวลามู่ชิงเกอแล้ว ให้เขาระมัดระวังตัวด้วย

จีเหยาฮั่วจากไปอย่างรวดเร็ว มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างขบขันหันกลับไปตามหาเป้าหมายของนางต่อ

สายตาของนางกวาดมองไปยังเหล่าซากศพอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดนางก็มองไปเห็นร่างๆ หนึ่ง

ซากร่างนี้ขี่อยู่บนสัตว์อสูรเทวะ ชี้ดาบขึ้นฟ้า ดูห้าวหาญ ชุดเกราะบนร่างกายนั้นงดงามมาก เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ของเผ่าเทพ ที่สำคัญก็คือกลิ่นอายผู้กล้าบนหว่างคิ้วของเขาทำให้มู่ชิงเกอเกิดความรู้สึกว่าเข้ากันกับมู่เหลียนเฉิง

“เป็นเจ้านี่ล่ะ!” มู่ชิงเกอตัดสินใจ ชูมือขึ้นเก็บร่างของแม่ทัพเผ่าเทพเข้าสู่ช่องว่าง นี่รวมไปถึงชุดเกราะและดาบที่อยู่บนตัวของเขาด้วย

เมื่อทำเป้าหมายสำเร็จไปหนึ่งอย่างแล้วในใจของมู่ชิงเกอก็เกิดมีกำลังใจขึ้นมา

อย่างน้อยเป้าหมายในการเข้ามายังสนามรบโบราณของเทพมารของนางก็สำเร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง นางค้นหาต่อ มองตามสายตาแม่ทัพเผ่าเทพไปยังฝั่งตรงกันข้าม นางมองไปเห็นแม่ทัพเผ่ามารคนหนึ่ง แม่ทัพเผ่ามารสวมเพียงแค่เกราะหนัง รูปลักษณ์ดูลุ่มลึกเด็ดเดี่ยว ผมยาวเหมือนคลื่นซัดกระจาย บนหน้าผากผูกสายคาด ฝังอัญมณีสีสันสวยงามก้อนหนึ่ง

มู่ชิงเกอจ้องดูอย่างละเอียดก็พบว่าคนของเผ่ามารนั้นมีกำลังกายแข็งแกร่งกว่าคนของเผ่าเทพจริงๆ รูปร่างสูงใหญ่ดูองอาจ

อีกทั้งคนของเผ่ามารดูเหมือนว่าจะใช้อาวุธน้อยมาก พวกเขาส่วนมากล้วนแต่ใช้มือเปล่า

มู่ชิงเกอจำได้ว่าภายในเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนนั้น มีคำอธิบายคร่าวๆ ว่า เผ่ามารถือกำลังกายเป็นสำคัญ คิดว่าร่างกายของตนเองนั้นเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด บางทีอาจจะเป็นเพราะสิ่งนี้คนของเผ่ามารจึงใช้อาวุธกันน้อยมาก

สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปบนร่างอันสูงใหญ่ของแม่ทัพเผ่ามารแล้วก็ลอบพยักหน้า ชูมือขึ้นเก็บเขาเข้าไปในช่องว่าง

เมื่อได้ซากร่างเทพมารสองร่างแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้หันหน้าไปทางปากหลุม

อิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วยังคอยส่งยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะขึ้นไปไม่หยุด มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ พึมพำไปว่า “ดูแล้วยังมีเวลาเลือกอีกร่างหนึ่ง”

มู่ชิงเกอเริ่มต้นหาไปในซากร่าง เดินไปครู่หนึ่ง ที่นี่ก็ดูเหมือนเป็นสนามรบอีกสนามหนึ่ง แม่ทัพสองฝ่ายที่สู้กัน ไม่ใช่สองคนที่นางเก็บเข้าไปก่อนหน้านี้

มู่ชิงเกอมองไปยังแม่ทัพเผ่าเทพคนนั้น เขาดูผอมเพรียวหล่อเหลา แต่ว่าความดุดันบนหว่างคิ้วกลับไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าแม่ทัพเผ่ามารฝั่งตรงข้ามเลย

มู่ชิงเกอมองออกว่าสนามรบด้านที่เขานำทัพนี้ บรรดาทหารเผ่าเทพต่างกดดันเผ่ามารได้ แม้แต่แม่ทัพเผ่ามารก็ยังถูกลูกศรปักหน้าอก ร่างกายเอนกลับไปด้านหลัง

ส่วนลูกศรก็มาจากคันธนูที่อยู่ในมือของแม่ทัพเผ่าเทพคนนั้น ด้านหลังของเขาแบกซองลูกศร ที่เอวก็ยังมีดาบโค้งวงพระจันทร์ห้อยอยู่

มู่ชิงเกอยิ้ม เก็บแม่ทัพเผ่าเทพคนนั้นเข้าสู่ช่องว่าง พร้อมกับไม่ปล่อยให้อาวุธของเขาหลุดรอดไป

“ชิงเกอ ได้พอสมควรแล้ว” ในเวลานี้เองเสียงของจีเหยาฮั่วก็ดังมาจากปากหลุม

มู่ชิงเกอหันมองออกไป เห็นพวกเขาเก็บยุทธภัณฑ์ระดับเทวะได้พอสมควรแล้ว กำลังจะขึ้นจากหลุม

มู่ชิงเกอยิ้ม เดินเข้าไปหาพวกเขา

ทั้งสามคนนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย รู้อยู่ชัดเจนว่าด้านในยังมียุทธภัณฑ์ระดับเทวะอีกมากมาย อีกทั้งยังแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย แต่พวกเขาก็ไม่โลภมาก เพียงแต่เก็บเอายุทธภัณฑ์ระดับเทวะที่กองอยู่บริเวณปากหลุมไปเท่านั้น มู่ชิงเกอกระโดดขึ้นไปบนปากหลุม ทั้งสามคนนั้นได้จัดเรียงยุทธภัณฑ์ระดับเทวะที่เก็บมาได้เรียบร้อยแล้ว

“ทั้งหมดมี 1,300 ชิ้น แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนก็จะได้ 325 ชิ้น” ซีเซียนเสวี่ยนับเสร็จแล้วก็บอกทุกคน

มู่ชิงเกอเอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าไม่ได้เข้าร่วมในการเก็บยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเหล่านี้กับพวกเจ้า ไม่ต้องนับข้า”

แต่ว่าคำพูดนี้ของนางกลับทำให้ทั้งสามคนไม่เห็นด้วย “พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน เมื่อได้รับประโยชน์ก็ต้องแบ่งกัน” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ย

อิ๋งเจ๋อก็พยักหน้าเห็นด้วย

จีเหยาฮั่วยิ้มแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “หากว่าในใจของเจ้ายังไม่ยอมรับ ต่อไปก็ปรุงยาให้พวกเรามากหน่อยก็ได้แล้ว อีกอย่างถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ ซึ่งอาจจะไม่สนใจในยุทธภัณฑ์ระดับเทวะ แต่มันเป็นของที่เทพมารเคยใช้ เจ้าเก็บไว้เพื่อเอาไปมอบให้แก่ลูกน้องก็ได้”

ในเมื่อทั้งสามคนล้วนแต่พูดเช่นนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็ได้แต่พยักหน้า

ซีเซียนเสวี่ยนั้นยุติธรรมมาก เอายุทธภัณฑ์ระดับเทวะชนิดเดียวกันแบ่งออกเป็นสี่กอง จำนวนก็เท่ากัน หากว่าพบเจอยุทธภัณฑ์ระดับเทวะที่พิเศษๆ หน่อยก็ให้คนละหนึ่งอัน เวียนกันไป

หากว่ามู่ชิงเกอ จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อชอบพออันไหนเป็นพิเศษ ก็แบ่งให้โดยเฉพาะ

จีเหยาฮั่วนั้นมีพัดที่มู่ชิงเกอหลอมให้แล้ว จึงไม่ได้เลือกที่ของตนเองชอบ ยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเหล่านี้ก็คิดจะมอบให้ตระกูล เพื่อให้ตาเฒ่าพอใจ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ

มู่ชิงเกอนั้นมีทวนหลิงหลง ทั้งยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตรา แน่นอนว่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้

ดังนั้น สุดท้ายแล้วอิ๋งเจ๋อจึงเลือกอาวุธยาวชิ้นหนึ่งที่ดูคล้ายทวนก็ไม่ใช่ คล้ายง้าวก็ไม่เชิงมาเป็นอาวุธชิ้นใหม่ของเขา

หลังจากจัดแบ่งยุทธภัณฑ์ระดับเทวะเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็โบกมือเก็บของที่เป็นของตนเอง

อีกสามคนก็เช่นเดียวกัน

เมื่อจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จแล้วพวกเขาถึงได้เดินทางต่อ

“ต้องปิดหลุมนี้หรือไม่?” ก่อนจะไป ซีเซียนเสวี่ยก็เสนอออกไป

จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อล้วนแต่มองไปยังมู่ชิงเกอ

ส่วนมู่ชิงเกอกลับค่อยๆ ส่ายหน้า “อยู่ที่นี่ก็เป็นเหมือนสุสานอยู่แล้ว ปิดหรือไม่ปิดจะมีอะไรแตกต่างออกไป? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีกลุ่มคนที่นำซากร่างไปอยู่ หากพวกเราปิดหลุมแล้วก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”

ดังนั้น ทำไมต้องเสียเวลาด้วย?

คำพูดของนาง ทำให้จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อก็เห็นด้วย

ซีเซียนเสวี่ยคิดแล้วก็พยักหน้า

ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วเอ่ยว่า “ชิงเกอ เจ้าว่าคนเหล่านี้จะเอาซากศพมาปรุงยาเหมือนเจ้าหรือไม่?”

ใช้ซากศพมาปรุงยางั้นหรือ?!

สีหน้าของซีเซียนเสวี่ยกับอิ๋งเจ๋อเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูเป็นอย่างมาก

จีเหยาฮั่วมองทั้งสองคนอย่างสะใจ ในที่สุดก็มีคนถูกมู่ชิงเกอทำให้ตกใจเหมือนเขาแล้ว

มู่ชิงเกอมองความรู้สึกสนุกของจีเหยาฮั่วออก อธิบายกับสองคนว่า “ข้าต้องการเลือดของเทพมารเพื่อปรุงยาชนิดพิเศษ แต่คนที่เอาซากร่างไปเหล่านั้น ข้าแน่ใจว่าจุดมุ่งหมายพวกเขาไม่เหมือนข้าอย่างแน่นอน”

นางต้องการเลือดของเทพมาร เพื่อปรุงยาฟื้นคืนชีพให้กับมู่เหลียนเฉิง

หรือคนที่เอาซากศพไปเหล่านั้นก็เอาซากศพไป เพื่อฟื้นคืนชีพให้คนเช่นกัน? แต่ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงต้องเอาซากศพไปมากถึงขนาดนี้ด้วย? ต้องการฟื้นคืนชีพให้คนสักกี่คนกัน?

เมื่อคิดอย่างละเอียดดู ก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้

การอธิบายของมู่ชิงเกอทำให้สีหน้าของซีเซียนเสวี่ยและอิ๋งเจ๋อดูดีขึ้นมาหน่อย

ซีเซียนเสวี่ยจ้องมองจีเหยาฮั่วแวบหนึ่ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พวกเรารีบไปเถอะ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ทั้งสี่คนจัดรูปแบบตามเดิมและเดินทางต่อ

“สนามรบแห่งนี้กว้างใหญ่ขนาดไหนกันแน่? พวกเร เดินไปข้างหน้าไม่หยุด เดินมาหลายวันแล้ว กลับยังไม่ถึงใจกลางสักที เหมือนอยู่ที่ชายขอบตลอด” ซีเซียนเสวี่ยถอนหายใจ

พวกเขาเดินจนเหนื่อยและพักถึงสองครั้งแล้ว ตอนนี้ถึงได้เดินออกจากที่ราบประหลาดนั่นได้

ใต้เท้าไม่ใช่พื้นที่โปร่งใสอีกต่อไปและก็มองไม่เห็นภาพการสู้รบอีกแล้ว พื้นดินกลับคืนสู่สีดำ ภูเขาสีดำรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นดูชัดเจนขึ้น

แต่ก็ยังคงห่างจากพวกเขาไปไกลอยู่

ที่นี่ยังคงเป็นพื้นที่ที่กลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นดังเดิม

ยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย ดูเหมือนว่าร่างกายจะเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ยากที่จะยกเท้าขึ้น จีเหยาฮั่วรู้สึกเหนื่อยอ่อน เอ่ยปากออกมาว่า “พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า มันเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ? ดูเหมือนว่าได้แบกภูเขาเดินไปด้วย”

“เป็นแรงโน้มถ่วง!” มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกแปลกกับความรู้สึกนี้ ในชาติก่อนตอนที่นางฝึกฝนอยู่ในหน่วย ก็มักจะเข้าไปฝึกฝนอยู่ในห้องแรงโน้มถ่วง ทุกๆ ครั้งที่ฝึกฝนสำเร็จ กำลังกายของนาง ความอดทน ความเร็ว พละกำลังรวม ทั้งคุณภาพพื้นฐานอื่นๆ ล้วนแต่จะพัฒนาขึ้น

“อะไรคือแรงโน้มถ่วง?” จีเหยาฮั่วถาม

ซีเซียนเสวี่ยกับอิ๋งเจ๋อก็มองมาที่มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่นในใจ นางไม่รู้ว่าจะอธิบายหลักการของแรงโน้มถ่วงให้ทั้งสามคนนี้อย่างไรจึงเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่สามารถรับแรงโน้มถ่วงนี้ได้ไปจนออกจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็จะรู้สึกว่ากำลังด้านต่างๆ ของตนเองพัฒนาขึ้น ดังนั้นสามารถพูดได้ว่า นอกจากพลังจิตที่ไม่ได้พัฒนาขึ้นแล้วด้านอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีการพัฒนา”

มู่ชิงเกอรู้สึกว่า แรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี้คือกระบวนการการปรับตัวให้กับผู้ที่เข้ามา ปรากฏการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ต้องการจะฆ่าคน แต่เป็นการทดสอบมากกว่า นางก็ไม่รู้มันทดสอบอะไรและไม่รู้ว่าใครเป็นผู้จัดวางบททดสอบแรงโน้มถ่วงนี้ขึ้น

“ในเมื่อชิงเกอบอกว่าเป็นของดี เช่นนั้นพวกเราก็ทนต่อไปเถอะ!” จีเหยาฮั่วเอ่ย

ทั้งสี่คนเดินทางเข้าไปด้านในต่อ ยิ่งเข้าไปด้านในก็ยิ่งรู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงเพิ่มมากขึ้น

ร่างกายของพวกเขาค่อยๆ หนักขึ้นจนไม่สามารถยืนตรง ได้ ตัวเอียงไปข้างหน้า มู่ชิงเกอกัดฟัน เงยหน้าขึ้น สายตาวาบทันใดนั้นก็มองไปเห็นแสงสีทองที่ส่องลงมาบนพื้น

ดูเหมือนว่าแสงสีทองนี้ก็คือที่มาของแรงโน้มถ่วง “พวกเจ้าดู นั้นคืออะไรน่ะ!”

มู่ชิงเกอได้ยินเสียงเตือนของอิ๋งเจ๋อดังเข้ามา มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ มองไปด้านหน้า ด้านหน้ามีเงาดำลอยอยู่เต็มไปหมด

ซีเซียนเสวี่ยมองเห็นเงาดำเหล่านั้นแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที “เป็นพวกเขา! เหล่าเศษวิญญาณของเทพมาร!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version