Skip to content

พลิกปฐพี 391

ตอนที่ 391

การโจมตีจิตวิญญาณปะทะเคล็ดวิชาเทวะ

“ส่วนไหนของข้าที่คู่ควรให้เจ้าชอบกัน?” มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ

นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไร แต่เหตุใดจึงทำให้คนเข้าใจผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นซีเซียนเสวี่ยตรงหน้าก็ดี หรือว่าฉินอี้เหลียน ฉินอี้เหยาก็ดี แล้วก็ยังมีบรรดาเหล่าผู้หญิงที่ต่างเคยมอบใจให้นางอีก ตอนนี้นางรู้สึกหมดหนทาง ‘พวกเจ้าคิดว่าข้าดีตรงไหนกัน ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองดีหรือไม่?’

“ข้าก็ไม่รู้” ซีเซียนเสวี่ยบอกคำตอบของตนเองออกมา และคำตอบนี้ก็ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก

“บางที…อาจจะเป็นเพราะอยู่ข้างกายเจ้าแล้วรู้สึกสบาย หรือบางทีอาจเพราะสายตาที่เจ้ามองข้านั้นแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น หรือเพราะอยู่ข้างกายของเจ้าแล้วข้ารู้สึกปลอดภัย” ซีเซียนเสวี่ยพูดออกมา

นางก็พูดได้ไม่ชัดเจนถึงความรู้สึกชอบในใจของตนเอง นางไม่เคยชอบใครมาก่อน มีเพียงแค่มู่ชิงเกอเท่านั้นที่พิเศษในใจของนาง

นับตั้งแต่ที่ได้พบกับเขา ซีเซียนเสวี่ยก็คิดถึงเขามา ตลอดจนเกิดอาการใจลอย

ทุกๆ ครั้งที่มองเห็นมู่ชิงเกอ นางก็ต้องพยายามที่จะควบคุมหัวใจที่เต้นแรงของตนเอง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อสองปีก่อนนั้น นางไม่จำเป็นที่จะต้องไปลั่วซิงเฉิงด้วยตนเองด้วยซํ้า แต่ในครั้งนั้นเมื่อนางได้ยินว่ามู่ชิงเกอเป็นเจ้าเมืองแล้วก็เสนอตัวไปด้วยตนเอง

เพื่อที่จะเห็นเมืองของมู่ชิงเกอและจะได้มองเห็นเขาจากไกลๆ

คำตอบของซีเซียนเสวี่ย ทำให้มู่ชิงเกอไร้คำที่จะเอ่ยตอบ

ที่นางไม่ใช้สายตาที่ผู้ชายคนอื่นมองผู้หญิง นั่นก็เป็นเพราะว่านางไม่ใช่ผู้ชาย กลับไม่คิดเลยว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้หญิงมากมายคิดว่านางนั้นพิเศษออกไป

ความเป็นจริงนั้นมู่ชิงเกอก็ไม่เข้าใจ

นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นหลงใหลนางนั้นเป็นเพราะนางให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่พวกนาง ดูเหมือนว่าขอเพียงแค่มีมู่ชิงเกออยู่ แม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมาก็จะไม่เป็นอะไร

มู่ชิงเกอมาพร้อมกับความรู้สึกปลอดภัย ไม่เพียงแต่สำหรับผู้หญิงเท่านั้น สมควรพูดว่ากับทุกๆ คนที่เข้าใกล้นาง คนที่ถูกนางยอมรับก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้

บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับอาชีพในชาติก่อนของนางหรือ บางทีอาจจะเกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวของนาง

“มู่ชิงเกอ สิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดและไม่เสียใจมากที่สุดก็คือการพบเจ้า” ซีเซียนเสวี่ยพูดออกมา คำพูดของนางเบามากแต่กลับทำให้หัวใจของมู่ชิงเกอเต้นแรง

มู่ชิงเกอหลุบตามองลงไปก็เห็นซีเซียนเสวี่ยหลับตาลงแล้ว นอนหนุนบนขาของตนเอง บางทีท่วงท่าเช่นนี้อาจทำให้นางรู้สึกสบายใจ ได้สูดดมกลิ่นอายของมู่ชิงเกอทำให้นางหลับได้อย่างสบายใจ

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ ไม่ได้ขยับตัว นางรวบรวมสติกลับมาคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ‘การโจมตีของตัวประหลาดสีเขียวเหล่านั้น…คือการโจมตีทางจิตวิญญาณ และเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางก็เป็นการฝึกฝนจิตวิญญาณเป็นหลัก เช่นนั้นกระบวนท่าป้องกันและโจมตีเหล่านั้นจะใช้ได้หรือไม่?’

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ

ความคิดอย่างหนึ่งโผล่ออกมาทำให้นางอยากจะลองมาก

มู่ชิงเกอกำประสานสองมือไว้ด้านหน้าหน้าอก หลับตาลงเข้าสู่การฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง เพื่อศึกษากระบวนท่าการโจมตีและป้องกันเหล่านั้น

สายลมอันเย็นยะเยือกทิ่มแทงกระดูกในสนามรบโบราณม้วนพัดขึ้นมาจากพื้นสีดำ ชั่ววินาทีนี้เงียบสงบมาก

“น่าจะสลัดหลุดแล้วใช่ไหม?” จีเหยาฮั่วใช้มือหนึ่งพยุงอิ๋งเจ๋อ อีกมือหนึ่งคํ้าที่เข่าของตนเอง หายใจอย่างเหนื่อยหอบ

อิ๋งเจ๋อมองเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของเขาแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะสลัดหลุดแล้ว พักผ่อนเถอะ”

จีเหยาฮั่วมองเขาแวบหนึ่ง เม้มปากพยักหน้า

ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นมาก พลังกายและพลังจิตก็ใช้จนแทบหมด แต่เขายังคงค้นหาสถานที่ที่เหมาะสม แล้วถึงได้วางอิ๋งเจ๋อลง จากนั้นเขาถึงได้เอนตัวนอนลง กับพื้นกางขากางแขนอย่างหมดแรง

มองดูท้องฟ้า มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย

หลังจากจีเหยาฮั่วหายใจเป็นปกติแล้ว ถึงได้หันมองอิ๋งเจ๋อ “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

อิ๋งเจ๋อหยิบยาออกมาแล้วกลืนลงไป ส่ายหน้า “เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอกแล้วก็สูญเสียเลือดมากไปเท่านั้น พักผ่อนสักครู่หนึ่งก็ไม่เป็นไรแล้ว”

มองเห็นยาที่เขากินเปล่งแสงสีทอง จีเหยาฮั่วก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยังดีที่ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะป้องกันเหตุสุดวิสัย ชิงเกอจึงเอายาเพิ่มพลังจิตพลังกายและรักษาบาดแผลระดับเทวะแบ่งให้พวกเราเอาไว้บ้าง มิฉะนั้นในครั้งนี้พวกเราคงจะแย่แน่แล้ว”

แน่นอนว่าพวกเขาก็เตรียมยามาเช่นกันแต่กลับไม่มียาระดับเทวะ ส่วนมากล้วนแต่เป็นระดับสมบัติหรือไม่ก็ระดับจิตวิญญาณ

โอสถระดับนี้แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับโอสถระดับเทวะที่มู่ชิงเกอปรุงขึ้นมา

อิ๋งเจ๋อพยักหน้าเงียบๆ เขาจดจำบุญคุณครั้งนี้เอาไว้ในใจแล้ว

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” อิ๋งเจ้อมองไปยังจีเหยาฮั่วที่นอนอยู่กับพื้น จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า”ไม่เป็นไรเพียงแค่หมดแรงเท่านั้น” ตอนนี้สองขาของเขาไร้ความรู้สึกแล้ว มันหนักจน เหมือนจมลงไปในนํ้าตะกั่วอย่างนั้น แต่ว่าเขายังคงแสดงท่าทีที่ดูผ่อนคลายให้อิ๋งเจ๋อเห็น

“เจ้าได้รับบาดเจ็บหนัก รีบพักผ่อนเถอะ ข้าจะเฝ้ายามให้เจ้าก่อน” จีเหยาฮั่วพูดกับอิ๋งเจ๋อ

แต่อิ๋งเจ๋อกลับส่ายหน้า “เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ เจ้าฟื้นฟูได้เร็ว หากว่าตัวประหลาดเหล่านั้นไล่ตามมาอีก เมื่อเจ้าพักผ่อนดีแล้วพวกเราถึงจะมีโอกาสหนีต่อไปได้”

ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากที่จะใช้คำว่า ‘หนี’ เลย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ตัวประหลาดเหล่านั้นแปลกประหลาดจนเกินไป การโจมตีของพวกเขาแทบจะไม่มีประโยชน์เลย ทำได้แต่หนีเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว จีเหยาฮั่วก็ไม่ดื้อดึงต่อ เขากัดฟันนั่งสมาธิบนพื้น หยิบเอายาออกมากิน ก่อนที่จะเริ่มนั่งสมาธินั่นก็หันไปพูดกับอิ๋งเจ๋อว่า “ไม่รู้ว่าตอนนี้ ชิงเกอและธิดาเทพซีเป็นอย่างไรบ้าง”

“พวกเขาน่าจะไม่เป็นอะไร” อิ๋งเจ๋อคิดแล้วก็ตอบอย่างแน่ใจออกไป

จีเหยาฮั่วชะงัก แล้วก็หัวเราะขึ้นมา “ก็ถูก! ตัวประหลาดเช่นมู่ชิงเกอ ไม่สามารถใช้ความคิดปกติพิจารณาดูได้ มีเขาอยู่ด้วยธิดาเทพซีน่าจะปลอดภัยไร้กังวล ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะคิดหาวิธีที่จะฆ่าตัวประหลาดเหล่านั่นได้แล้ว ส่วนพวกเรากลับยังหนีอยู่เลย”

อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบไป

มู่ชิงเกอสร้างความแปลกใจได้มากเกินไปจริงๆ ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งรู้สึกว่าคนๆ นี้ยากที่จะหยั่งถึง เพียงแค่เจ้ารู้สึกว่าเขาไปถึงจุดสูงสุดแล้วเขาก็กลับทะลวงเข้าไปสู่ขอบเขตอื่นอย่างเงียบเชียบเสียแล้ว

อิ๋งเจ๋อคิดไปถึงครั้งแรกที่ตนเองต่อสู้กับมู่ชิงเกอ

เพียงแค่ระยะสามปีกว่าสั้นๆ กระโดดข้ามจากระดับสีเงินชั้นสองขึ้นมาอยู่ระดับสีทองชั้นหนึ่ง โต้กลับเขาได้ สิ่งนี้ไม่สามารถใช้คำว่าพรสวรรค์อธิบายได้ แต่ต้องใช้คำว่า อัจฉริยะ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลานั้น เขาไม่เพียงแต่ฝึกฝนอย่างเดียวแต่เขายังเป็นถึงอาจารย์หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ ทั้งตอนนี้เขาก็ยังรู้สถานะอีกอย่างหนึ่งของมู่ชิงเกอ ซึ่งเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะชั้นสมบูรณ์ ทั้งยังสร้างเมืองลั่วซิงเฉิงอีก ยุ่งวุ่นวายขนาดนี้ก็ยังสามารถนำหน้าทุกคนไปได้

ตอนนี้แม้แต่เว่ยมั่วลี่ที่อยู่ระดับสีทองชั้นสองก็ไม่ใช่คู่มือของเขา…

อิ๋งเจ๋อเม้มริม้ฝีปากแน่น ในใจของเขารู้ดีว่ากำลังของมู่ชิงเกอนั้นไม่สามารถใช้ขอบเขตปกติธรรมดามาอธิบายได้

‘บางทีระดับสีทองชั้นสามถึงจะสามารถต่อสู้กับเขาอย่างสูสีได้?’ อิ๋งเจ๋อคิดคำนวณในใจ ‘แต่สุดท้ายแล้วคนที่จะชนะก็คือมู่ชิงเกอ!’

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรในใจของอิ๋งเจ๋อจึงมีความรู้สึกเช่นนี้

หลังจากครุ่นคิดเสร็จแล้ว อิ๋งเจ๋อถึงได้มองไปยังจีเหยาฮั่ว แล้วก็เห็นเขากำลังนั่งสมาธิพักผ่อนอยู่

ซีเซียนเสวี่ยตื่นขึ้นมาจากความฝัน นางรู้สึกว่านางหลับลึกมาก ความรู้สึกเช่นนี้นางไม่ได้มีมานานแล้ว นางอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจะออกจากตักของมู่ชิงเกอ ลุกมานั่งข้างกายของเขาเลย

นางมองมู่ชิงเกอ แล้วก็พบว่าเขากำลังนั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ ส่วนที่ทำให้ซีเซียนเสวี่ยแปลกใจก็คือ นางไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังฝึกวิชาอะไรถึงได้ทำให้ผิวของเขาเหมือนมีชั้นแสงสีทองเคลือบเอาไว้

ซีเซียนเสวี่ยมองรูปโฉมของมู่ชิงเกอ พิจารณาคิ้วและท่าทีของเขา

นางไม่เคยได้มองมู่ชิงเกออย่างละเอียดอย่างนี้มาก่อน เมื่อได้มองอย่างละเอียดเช่นนี้แล้วถึงได้พบว่ามู่ชิงเกอนั้นหล่อเหลามากจริงๆ ความงดงามของเขาเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างหยินและหยาง เป็นความงดงามที่ลงตัว

ซีเซียนเสวี่ยตั้งใจมองมู่ชิงเกออยู่ แต่ทันใดนั้นก็สบเข้ากับดวงตาอันเรียบสงบของเขา ชั่วขณะนั้นนางก็ตกใจขึ้นมารีบหลุบตาลงมองออกไปด้านนอกยังลุกลี้ลุกลน

ท่าทางเช่นนี้ก็เหมือนกับการขโมยอะไรสักอย่างแล้วถูกเจ้าของจับได้

ทั้งรู้สึกผิด ทั้งอับอาย สองแก้มของซีเซียนเสวี่ยแดงขึ้นมา แต่กลับนั่งอยู่ที่เดิม อย่างกระดากใจ ไม่กล้ามองมู่ชิงเกอ

หลังจากผ่านการเปิดใจมาแล้ว ในตอนนี้มู่ชิงเกอไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเกิดความเข้าใจผิด นางทำเป็นมองไม่เห็นความกระดากใจของซีเซียนเสวี่ยแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่สามารถอยู่นานได้ ถ้าหากว่าพักผ่อนดีแล้วพวกเราก็ต้องจากไปทันที”

รอยแดงตรงแก้มของซีเซียนเสวี่ยจางไปอย่างรวดเร็ว นางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้กับมู่ชิงเกอ ภายในดวงตาไม่มีร่องรอยของความเอียงอายแล้ว

และนางก็ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปแน่นอนว่ารู้สถานการณ์ในตอนนี้ดี

เมื่อลบร่องรอยของการพักแรมออกไปจนหมดแล้ว มู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยก็เดินทางต่อไปข้างหน้า

พวกนางไม่ได้เดินย้อนกลับไปทางเดิม ก่อนที่จะแยกจากจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ พวกเขาก็เดินทางไปยังทิศตรงกันข้าม ถ้าหากว่าพื้นที่แห่งนี้ปกติ ตรงกลางไม่มีรอยแยกแล้วละก็ เช่นนั้นหากเดินต่อไปเช่นนี้ทั้งสี่คนก็จะพบกันอีกครั้ง

กลับกัน หากว่าพวกนางเดินกลับไปทางเดิมก็จะห่างออกไปจากพวกจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อไกลมากขึ้น

“เป็นซากสนามรบโบราณอีกแล้ว” เมื่อมองเห็นซากร่างที่กลายเป็นหินตรงหน้าแล้ว ซีเซียนเสวี่ยก็ขมวดคิ้วขึ้น

มู่ชิงเกอมองดูรอบด้านตอนนี้ยังไม่พบเห็นร่องรอยของตัวประหลาดสีเขียว นางจึงเอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยว่า “เดินไปด้านหน้าต่อเถอะ”

ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า เดินตามมู่ชิงเกอไปติดๆ และก็กวาดตามองความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเดินเข้าไปในส่วนลึกของจากสนามรบโบราณ ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดลง ดวงตาทั้งคู่ของนางจับจ้องไปยังจุดที่ไกลออกไปด้านหน้า ในสายตานางปรากฎสีเขียวที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ

‘มาแล้ว!’ มู่ชิงเกอมองเห็นเงาร่างสีเขียวแล้วในใจก็หนักอึ้งขึ้น

ตัวประหลาดสีเขียวปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งและในครั้งนี้ก็มีจำนวนไม่น้อย ซีเซียนเสวี่ยมองเห็นสีเขียวที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป หลุดเสียงพูดออกไปว่า

“พวกมันอ้อมมาด้านหน้าของพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ไหววูบเล็กน้อย พูดเสียงเข้มออกไปว่า “บางทีอาจจะเป็นคนละกลุ่ม”

ซีเซียนเสวี่ยมองเขาอย่างตกตะลึง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version