ตอนที่ 408
สามคำถาม ทุกท่านคิดดีๆ
‘พระชายา! พระชายา! หญิงสารเลวผู้นี้กลับกล้าแต่งตั้งตนเองเป็นพระชายา!’
เมื่อได้ยินเสียงร้องว่า ‘พระชายา’ ดังเข้ามา เยี่ยนหย่าก็บีบนิ้วตนเองแน่นใบหน้าที่ก้มลงตํ่าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่ากลัว
เสียงฝีเท้าดังมาจากทางบัลลังก์
เยี่ยนหย่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มความอิจฉาในใจลง ทำให้ท่าทางที่ดูบ้าคลั่งกลับกลายเป็นปกติ รักษารอยยิ้มบางๆ เอาไว้แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
นางจัดรูปลักษณ์ของตนเองให้ดูสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอแล้วมันก็ถูกทำลายจนแตกสลายลงไปในพริบตา
เยี่ยนหย่ามองผู้หญิงชุดแดงที่กู่หยาและกู่เย่ยืนคุ้มครองอยู่ที่ด้านซ้ายและขวาอย่างตกตะลึง ตรงหน้าเหมือนจะเหลือเพียงแต่ความงดงามโดดเด่นของนาง เท่านั้น
นางที่เป็นผู้หญิง คนหนึ่งก็ยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเจ้า เมืองย่อยที่เหลือเลย
เมื่อพวกเขามอง เห็นมู่ชิงเกอนั้น ไม่มีใครไม่เผยท่าทางตกตะลึงออกมา ทั้งยังมีอยู่สองคนที่นัยน์ตาฉายแววละโมบ ดูเหมือนคิดจะแย่งสาวงามชุดสีแดงที่ยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์นี้มา
สายตาจาบจ้วงเช่นนี้ มู่ชิงเกอรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
นางกวาดตามองไป นัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก มองไปยังร่างของเจ้าเมืองย่อยที่เหม่อลอยจนเสียมารยาท
เมื่อถูกนางมองก็เหมือนกับโดนนํ้าเย็นราดหัว ทำให้ทั้งสองคนนั้นได้สติขึ้นมาในพริบตา ทั้งสองคนถอนความคิดในสายตากลับ ลอบมองไปรอบๆ ดูว่ามีคนสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของพวกเขาหรือไม่
ไม่ว่าสถานะของมู่ชิงเกอจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้นางก็อยู่ในสถานะของพระชายา พวกเขาไม่อาจจะเผยความคิดของตนเองออกมาแล้วถูกคนจับจุดอ่อนได้ พวกหลิงจิว จี่ฝูทั้งสี่คน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบเจอมู่ชิงเกอเป็นครั้งแรก แต่เมื่อได้พบอีกครั้งก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงเช่นเดิม ความงามของนางแฝงไว้ด้วยความก้าวร้าวดุดัน เพียงเป็นที่ที่นางปรากฎตัวก็สามารถทำให้สีอื่นๆ จืดจางลงได้ และความงามของนางนอกจากจะทำให้ตกตะลึงในแวบแรกได้แล้ว ยังทำให้ยิ่งมองยิ่งหลงใหล ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
“หากว่านางไม่ใช่ผู้หญิงขององค์ราชา ข้าจะต้องแย่งกลับไปให้ได้” ชิงเหยียนพูดออกมาเบาๆ ไฝใต้ตาดูมีเสน่ห์ขึ้นมาหลายส่วน
หลิงลิวพูดออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “หากว่านางไม่ใช่ผู้หญิงขององค์ราชา จะเหลือถึงเจ้างั้นหรือ?”
สาวงามเช่นนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงดอกไม้ประดับแจกัน แต่หากว่ามีไว้ในเรือนได้ก็จะดีมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้ดูอ่อนด้อยอย่างที่พวกเขาคิด
“พวกเจ้าทั้งสองคนหุบปาก” จี่ฝูเตือนทั้งสองคน
เขารู้ว่าสองคนนี้เพียงแต่พูดเล่นๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดจริงจัง แต่คำพูดเช่นนี้ก็ไม่อาจพูดออกมาได้
มู่ชิงเกอมองไปยังคนทั้งเก้าคนในตำหนัก เมื่อมองผ่านเยี่ยนหย่า นางมองเพียงแวบเดียวก็ไม่ได้สนใจอีก เจ้าเมืองย่อยที่ไม่ได้ขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเอง ไม่อาจทำให้นางสนใจได้
ก่อนหน้านี้กู่เย่เคยแนะนำแล้วว่า ภายในบรรดาเจ้าเมืองย่อยที่ไม่สามารถกลับมาได้ทั้งเจ็ดคนนั้นมีอยู่สามคนที่ลอบพูดคุยกับอีกสี่คนในตำหนักนี้ไว้ดีแล้ว ไม่เพียงแต่สี่คนนี้ที่คิดจะฉวยโอกาสเวลาที่ซือมั่วไม่อยู่ก่อกบฏแต่ยังมีสามคนนั้นอีกด้วย ส่วนอีกสี่คนที่เหลือก็จงรักภักดีต่อซือมั่ว เพียงแต่ไม่ค่อยถูกกันกับพวกหลิงจิวสี่คน
ดังนั้นหลังจากซือมั่วหายสาบสูญไป ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองย่อยทั้งสิบหกคนนี้จึงไม่ค่อยดีนัก หากเป็นเช่นนนี้ต่อไปอาจทำให้ทั้งดินแดนมารระส่ำระสายได้
เพราะเป็นเช่นนั้น พวกเขาถึงได้รีบตามนางมาเพื่อรับผิดชอบตำแหน่งของซือมั่วชั่วคราว
อีกทั้งยังต้องรับผิดชอบตำแหน่งอย่างถูกต้องด้วย!
นี่ไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นคู่หมั้นของซือมั่วเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของนาง ว่าสามารถรักษาความสมดุลระหว่างเจ้าเมืองย่อยเหล่านี้ไว้ได้
กู่หยาก้าวออกมา มองไปยังแถวที่มีห้าคน “เจ้าเมือ ย่อยสั่วเซิ่ง เซ่อฉิน ซู่เหยียน ซูเฉวียน เยี่ยนหย่า”
จากนั้น เขาก็มองมาทางฝั่งพวกหลิงจิว แล้วก็เอ่ยปากว่า “เจ้าเมืองย่อยจี่ฝู หลิงจิลิว ชิงเหยียนและชิงเจ๋อก้าวมาข้างหน้าคำนับพระชายา!”
หลังจากคำพูดของเขาจบลง พวกหลิงจิว จี่ฝู สี่คนก็ก้าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ส่วนอีกห้าคนกลับลังเลเล็กน้อย
แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เชื่อสถานะของมู่ชิงเกอ
เยี่ยนหย่าที่ยืนอยู่ตำแหน่งท้ายสุด นัยน์ตาฉายแววลังเลเล็กน้อย ขบริมฝีปากและก็ไม่ได้ก้าวออกไปในทันที นางคิดจะดูว่าที่เหลืออีกสี่คนจะทำอย่างไร
ให้นางเรียกผู้หญิงที่มาจากไหนไม่รู้เป็นพระชายางั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้!
ทั้งห้าคนนี้ไม่ขยับทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นชาขึ้นมา นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว การเคลื่อนไหวนี้ทำให้กระดิ่งที่ห้อยอยู่ที่เอวของนางส่งเสียงดังขึ้น “อย่างไรกัน? เจ้าเมืองย่อยของวังไท่ฮวงกำเริบถึงขั้นที่ไม่ต้องทำตามกฎแล้วงั้นหรือ?’’
คำพูดของมู่ชิงเกอทั้งยังมีเสียงกระดิ่งที่ดังออกมาจากตรงเอวของนาง ทำให้ทั้งห้าคนตกตะลึง พวกเขาล้วนแต่เป็นเจ้าเมืองย่อยคนสำคัญ แน่นอนว่าต้องเคยเห็นว่าที่เอวของซือมั่วนั้นก็ห้อยกระดิ่งสีทองแบบเดียวกันนี้อยู่ไม่ห่าง
องค์ราชาของพวกเขาไม่เคยใส่เครื่องประดับมาก่อน
แต่ว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ สามปีก่อน? สี่ปีก่อน? หรือห้าปีก่อน…อาจจะนานกว่านั้น องค์ราชาของพวกเขากลับห้อยกระดิ่งสีทองอันหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับที่มู่ชิงเกอสวมอยู่ไม่มีผิด
เพียงแค่กระดิ่งนี้ปรากฎออกมา ก็ทำให้พวกเขาเริ่มพิจารณาถึงสถานะของมู่ชิงเกออย่างละเอียดขึ้น
สีหน้าของไม่กี่คนนี้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และในที่สุดก็ก้าวออกมา ความอิจฉาริษยาในใจของเยี่ยนหย่าลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง นางก็สังเกตเห็นกระดิ่งอันนั้นเช่นเดียวกัน ผู้หญิงคนนี้อาศัยอะไรมาใส่กระดิ่งที่เหมือนกันกับองค์ราชา?
นางกัดฟัน ก้าวออกมาตามคนอื่นๆ นางมองไปยังมู่ชิงเกออย่างไม่ยินยอม นัยน์ตาฉายแววอัปยศ
นาง เป็นถึงเจ้าเมืองย่อยผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นเจ้าเมืองย่อยหญิงเพียงคนเดียวของดินแดนมาร ทั้งงดงามและสูงส่ง เป็นหนึ่งไม่มีสอง อาศัยอะไรมาให้นางทำความ เคารพแก่ผู้หญิงสารเลวไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ยั่วยวนองค์ราชา?
แต่ถึงในใจของนางจะไม่ยินยอมอย่างไร ก็ไม่สามารถแสดงท่าทีออกไปตอนนี้ได้
นางยังคงยืนอยู่ท้ายสุด ไม่ได้ทำให้ตนเองดูโดดเด่นจนเกินไป นางเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่สนามรบของนาง ออกไปจากที่นี่แล้ว นางมีวิธีที่จะทวงความเป็นธรรมให้ตนเอง
“ข้าน้อยจี่ฝู”
“ข้าน้อยหลิงจิว…”
“ข้าน้อยชิงเหยียน…”
“ข้าน้อยชิงเจ๋อ…”
“ข้าน้อยสั่วเซิ่ง…”
“ข้าน้อยซู่เหยียน…”
“ข้าน้อยเซ่อฉิน…”
“ข้าน้อยซูเฉวียน…”
“ข้าน้อย…เยี่ยนหย่า…”
“คำนับพระชายา! ขอให้พระชายาครองคู่กับองค์ราชาไปจนตราบฟ้าดินสลาย ปกครองไท่ฮวงให้สงบสุขชั่วนิรันดร์!”
เจ้าเมืองย่อยทั้งเก้าชันเข่าลงข้างเดียวตรงหน้าของตนเอง
ใบหน้าของมู่ชิงเกอไม่ได้มีร่องรอยของความได้ใจแม้สักนิด นางเพียงแต่มองพวกเขาอย่างเรียบเฉยเย็นชา มองดูความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา
วันนี้ที่พบกันก็เพียงเพื่อจะทำให้พวกเขาไม่มีคำพูดอะไรจะมาโต้แย้งเกี่ยวกับสถานะของนางอีก
เพียงแต่ทำให้สถานะของนางมั่นคงแล้ว พวกคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถเอาเลือดหัวใจของซือมั่วออกมาใช้สร้างทายาทได้อีก
เพียงแค่คิดว่าลูกของซือมั่วจะออกมาจากครรภ์ของผู้หญิงคนอื่น นางก็รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ลูกของซือมั่วจะต้องเป็นนางเท่านั้นที่คลอดออกมา!
หากว่าไม่ใช่นาง ซือมั่วก็อย่าได้หวังจะมีลูกอีกตลอดชีวิต!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอแข็งกร้าว นางไม่เคยรู้เลยว่าตนเองจะเผด็จการในเรื่องนี้ขนาดนี้
“ลุกขึ้นเถอะ” มู่ชิงเกอพูดเสียงเรียบ นางไม่ได้ตกใจหรือตื่นกลัว
เจ้าเมืองย่อยที่สนับสนุนซือมั่วทั้งสี่คนลอบพยักหน้า ส่วนอีกสี่คนกลับเริ่มไม่รู้สึกสบายในใจขึ้นมา
ไม่ง่ายดายเลยที่พวกเขาจะมีโอกาส หรือจะต้องทิ้งไปเช่นนี้งั้นหรือ?
เยี่ยนหย่ายืนเงียบๆ อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าในใจคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่ก็ดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาก การสงบเสงี่ยมเจียมตัวนี้ของนางดึงดูดให้หลิงจิวมองเห็นโดยบังเอิญ
ในขณะที่เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่กำลังคิดหาวิธีให้มู่ชิงเกอถอยออกไปจากตำแหน่งพระชายาเองอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากขึ้น
“ข้ารู้ว่าในใจของพวกเจ้าเกิดความสงสัยมากมายต่อข้า วันนี้ข้าจะให้โอกาสสอบถามแก่พวกเจ้า แต่ว่าถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงพระชายา เป็นภรรยาขององค์ราชา ดังนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้ถามเพียงแค่สามคำถาม พวกเจ้าคิดดีแล้วค่อยถามออกมา”
‘ร้ายกาจมาก!’ นัยน์ตาของหลิงจิวเปล่งประกายขึ้นมา บนใบหน้าที่งดงามฉายแววยินดี
เขาคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะเริ่มควบคุมคนได้อย่างเฉียบคมเช่นนี้ ดึงเอาทุกอย่างมาไว้ในมือของตนเอง ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่ชิงเหยียนที่คิดว่ามู่ชิงเกองดงามเกินไปจนดูเหมือนเป็นเพียงไม้ประดับแจกันก็ยังรู้สึกตะลึง
จี่ฝูกับชิงเจ๋อก็มองมู่ชิงเกออย่างประหลาดใจ แล้วก็มองไปทางกู่หยาและกู่เย่ พวกเขาคิดว่าวิธีชิงควบคุมคนก่อนเช่นนี้เป็นความคิดของพวกเขาทั้งสอง
แต่ เมื่อมองเห็นว่าใบหน้าของกู่หยาและกู่เย่ก็ฉายแววประหลาดใจ ถึงได้รู้ว่าพวกเขาเข้าใจผิด
กู่หยาและกู่เย่ตะลึงจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักมู่ชิงเกอดีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกนับถือในวิธีนี้ของนาง เมื่อมองเห็นท่าทางมึนงงของทุกคนแล้ว พวกเขาก็รู้สึกได้ใจขึ้นมา
ผู้หญิงที่องค์ราชาถูกใจ จะเป็นแค่เพียงดอกไม้ประดับแจกันได้อย่างไร? ความร้ายกาจของคุณชายพวกเจ้าเพิ่งจะรู้จักเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง?
‘ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา!’ สั่วเซิ่งมองเซ่อฉิน ลอบสื่อสารกันผ่านสายตา
ซูเฉวียนก็มองซู่เหยียน บนใบหน้าของทั้งสองเองก็แสดงความรู้สึกรับมือไม่ทันออกมา
มู่ชิงเกอมองเห็นท่าทางของพวกเขาแล้ว ก็ยิ้มออกมาเอ่ยว่า “ไม่ต้องระมัดระวังขนาดนี้ พูดคุยกันได้ตามสบายเลย สามคำถาม เมื่อคิดดีแล้วพวกเจ้าค่อยถาม อย่าได้พลาดโอกาสไป”
พูดแล้วนางก็แหวกมุมชุด นั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ที่เตรียมมาเพื่อนางข้างบัลลังก์อย่างผ่อนคลาย ใช้มือเท้าศีรษะเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “หมอหลวงบอกว่า ข้าตั้งครรก์อยู่ไม่อาจทำงานหนักได้”
‘พรืด’ กู่หยาพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ ลอบชูนิ้วโป้งให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอตวัดตามองมาทางเขาอย่างเย็นชา
‘ตั้งครรภ์! ยังไม่ทันได้แต่งเข้าพระราชวังไท่ฮวง ยังไม่ทันได้เข้าสู่ตำหนักจื่อ เฉิน ยังไม่ทันได้เข้าสู่วังซานไห่ก็ พูดเรื่องลูกในท้องของตนเองอย่างไร้ยางอายแล้ว!’ เยี่ยนหย่าโมโหจนกัดฟันแน่น
สีหน้าของพวกสั่วเซิ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในที่สุดสั่วเซิ่งก็ก้าวออกมาถามคำถามแรกกับมู่ชิงเกอ
“ขอบังอาจถามพระชายา เด็กในท้องนั้นตรวจสอบแน่ชัดแล้วหรือว่าเป็นขององค์ราชา?” แค่คำถามแรกของ เขาก็เฉียบคมแล้ว
เยี่ยนหย่าลอบพูดว่าดีมาก นางอยากจะให้มู่ชิงเกอตอบคำถามนี้ไม่ได้
ส่วนพวกหลิงจิวสี่คนก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา กลัวว่ามู่ชิงเกอจะตอบไม่ได้
มีเพียงแค่กู่หยาและกู่เย่เท่านั้นที่เชื่อใจมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลงหัวเราะและเอ่ยว่า “เจ้าเมืองย่อยสั่วเซิ่ง ได้ยินมาว่าภรรยาของเจ้าก็ตั้งครรภ์เช่นเดียวกัน ขอถาม…ว่าเด็กในท้องของภรรยาเจ้าเป็นลูกของเจ้าหรือไม่เล่า?”
สั่วเซิ่งถลึงตากว้าง พูดอย่างโมโหว่า “พระชายา หมายความว่าอย่างไร? เด็กในท้องของภรรยาข้า ก็แน่นอนว่าต้องเป็นลูกข้า?”
“เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไร?” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอดูขี้เล่นขึ้นมาหลายส่วน
สั่วเซิ่งถลึงตากว้างมากยิ่งขึ้น “ทายาทของข้า ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?”
“บังอาจ! ไม่อาจเสียมารยาทต่อพระชายา!” กู่เย่พูดขึ้นอย่างเข้มงวด
แต่มู่ชิงเกอกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจยิ้มแล้วพูดกับสั่วเซิ่งว่า “เด็กในท้องของข้าเป็นขององค์ราชาหรือไม่ ก็มีเพียงแค่องค์ราชาที่รู้ดีที่สุด หากเจ้าเมืองย่อยสั่วเซิ่ง สงสัย รอให้องค์ราชากลับมาแล้วก็ไปถามเขาเองก็แล้วกัน คำถามที่สอง”
สั่วเซิ่งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถลึงตาจ้องมองมู่ชิงเกอ
เห็นสั่วเซิ่งแพ้ลงมาเช่นนั้น ซูเฉวียนก็ก้าวออกมาเอ่ยถามว่า “ขอบังอาจถามพระชายา ในเมื่อองค์ราชาปักใจต่อท่าน แล้วเหตุใดจึงไม่พาท่านเข้าสู่พระราชวังไท่ฮวง? กลับรอจนองค์ราชาหายไปแล้วถึงได้ปรากฎตัว?”
คำถามนี้ก็เฉียบคมเช่นเดียวกัน
แต่มู่ชิงเกอกลับดูผ่อนคลายมาก นางยกมุมปากขึ้น ส่ายนิ้วเบาๆ “เขาอยากจะแต่ง แต่ข้ากลับยังไม่รีบแต่ง หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าช่วงที่เขาอยู่ข้างนอกมีคนคิดจะทำการโง่เง่าขึ้นมา เชิญข้ามา ข้าก็ไม่มา”
นางเข้าใจทุกอย่างแล้วก็บอกจุดมุ่งหมายที่นางมาให้คนพวกนี้ฟังตรงๆ ไปเลย
สิ่งนี้ทำให้พวกหลิงจิวทั้งสี่คนตกตะลึงมาก!
แต่ในตอนที่พวกเขามองไปเห็นสีหน้าที่ดูอึดอัดของพวกสั่วเซิ่งสี่คนแล้วนั้น ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะพูดออกมาอย่างชัดเจนแต่ก็ยังสามารถทำให้พวกที่มีใจคิดไม่ซื่อพวกนี้รู้สึกผิดในใจไม่กล้าซักไซ้ถามต่ออีก
พวกสั่วเซิ่งสี่คนอดกลั้นจนหน้าแดง ทำให้รอยยิ้มของมู่ชิงเกอดูผ่อนคลายขึ้นไปอีก นางหรี่ตาลงพูดขึ้นอีกว่า “คำถามสุดท้าย”
สั่วเซิ่ง เซ่อฉิน ซู่เหยียนและซูเฉวียนชะงักไป เม้มริมฝีปาก ไม่กล้าพูดออกไป พระชายาผู้นี้ร้ายกาจกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก!
เดิมทีพวกเขาคิดว่า พวกกู่หยาจะสุ่มหาหุ่นเชิดมาหลอกพวกเขา เพียงแต่พวกเขาเปิดโปงแผนการนี้ได้ทุกอย่าง ก็จะต้องดำเนินไปตามที่พวกเขาคิดเอาไว้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่จะถูกผู้หญิงเพียงคนเดียวบีบจนหมดหนทางตอบโต้
คำถามสุดท้าย พวกเขาจำเป็นต้องระมัดระวังและรอบคอบ
ทั้งสี่คนมองหน้าสื่อสารกัน เยี่ยนหย่ามองเห็นแล้วก็รู้สึกร้อนใจ แต่ว่านางก็ไม่ได้สอดคำ เรื่องนี้ไม่มีใครมาชักชวนนางให้เข้าร่วมด้วย ดูเหมือนกับว่าลืมนางไปเลยก็ไม่ปาน
‘เพียงแค่มีลูกในท้องก็หยิ่งผยองถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ชิ ข้าจะทำให้เจ้าลิ้มลองรสชาติของการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง’ นัยน์ตาของเยี่ยนหย่าฉายแววอำมหิต
“คำถามที่สามก็คือ…” ซู่เหยียนพูดออกมา