Skip to content

พลิกปฐพี 417

ตอนที่ 417

พระชายาเอาแต่ใจจริงๆ!

งานเลี้ยงในครั้งนี้ทุกคนดื่มกินอย่างไร้รสชาติ นิ่งเงียบรอคอยงานเลี้ยงสิ้นสุด

ทันใดนั้น องครักษ์มารคนหนึ่งก็เข้ามาในตำหนักอย่างรวดเร็ว ไล่นางรำเหล่านั้นไปแล้วมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ยืดกายไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว

นางมององครักษ์มารที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หัวใจเต้นแรง

‘คงไม่ใช่ว่าได้ข่าวของซือมั่วแล้วหรอกนะ?’

ในสายตาของมู่ชิงเกอฉายแววคาดหวังออกมาโดยไม่รู้ตัว

แต่สิ่งที่องครักษ์มารพูดกลับไม่ใช่เรื่องที่นางคาดหวัง

“พระชายา ทัพหน้าส่งข่าวมาว่าเผ่าอี้บุกโจมตีเข้ามาในเขตของเรา ทัพหน้าตึงมือ ขอกำลังเสริมพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงขององครักษ์มารดังมาก ทุกถ้อยคำดังกังวานไปทั่ว

ไม่เพียงแต่มู่ชิงเกอได้ยิน คนอื่นๆ ก็ได้ยินแล้วเช่นกัน

“อะไรนะ! เผ่าอี้มาอีกแล้วหรือ?”

“พวกหนอนน่ารำคาญ!”

“ฆ่าล้างพวกมันจนถึงรังให้สิ้นซาก แล้วก็ต้มพวกมันซะ จะได้ไม่ต้องมาอีก!”

“รัง? เจ้ารู้งั้นหรือว่ารังของพวกมันอยู่ที่ไหน? เผ่าเทพและมารส่งคนออกไปสืบตั้งมากมายก็ไม่มีใครกลับมาได้เลย”

เผ่าอี้?

ม่ขิงงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น ในใจรู้สึกประหลาด

นางคิดมาตลอดว่าบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นมีเพียงแค่เผ่าเทพและเผ่ามาร ส่วนอีกด้านก็คือเผ่าฉงในเหวหนอนโบราณ แต่เผ่าฉงนั้นอยู่แต่ในเหวหนอน ไม่ เคยออกมาด้านนอก และก็ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด ปลีกตัวเร้นกาย ถึงแม้จะต้องทำสงครามที่เป็นปฏิปักษ์กันก็ควรจะเป็นเผ่าเทพและเผ่ามารสิ แล้วเผ่าอี้โผล่ออกมา จากที่ไหนกัน?

สายตาของมู่ชิงเกอมองไปยังกู่หยาและกู่เย่

เมื่อไม่ใช่ข่าวของซือมั่วก็ทำให้ในใจของนางเกิดความผิดหวัง แต่ข่าวว่ามีศัตรูบุกเข้ามากลับทำให้เปลวไฟแห่งสงครามในใจของนางลุกโชนขึ้น

ซือมั่วหายสาบสูญ ความอึดอัดของนางก็ไม่มีที่จะระบาย ตอนนี้มีสงครามมาให้นางทำศึกระบายอารมณ์พอดี

แต่ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าเผ่าอี้คืออะไรกันแน่?

“พระชายา เผ่าอี้มารุกรานแดนมารของพวกเรา พวกเราไม่อาจยอมเป็นอันขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!” ทันใดนั้น สั่วเซิ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังผ้าม่าน เผชิญหน้าพูดกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหันมองเขา มองหาความจอมปลอมไม่เจอ เพียงแค่เขาขยับ เจ้าเมืองย่อยที่ร่วมมือกับเขาก็ก้าวออกมาเช่นกัน

พวกหลิงจิวเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทั้งสี่คนออกมาจากด้านหลังผ้าม่าน ประสานเสียงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าน้อยยินดีนำทัพออกศึก!”

เจ้าเมืองทั้งแปดล้วนแต่เคลื่อนไหว ส่วนคนอื่นๆ หากไม่แสดงเจตนาสักหน่อยจะได้อย่างไร?

ดังนั้นคนที่เหลืออีกสิบกว่าคนก็ล้วนแต่เดินออกมาจากหลังม่าน ยืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

เมื่อไม่มีผ้าม่านบดบัง ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นใบหน้าของมู่ชิงเกอ ได้เห็นพระชายาของพวกเขาอย่างชัดเจน!

พระชายาผู้ที่กดดันพวกเขา คำพูดดุจคมมีด ในใจของพวกเขาล้วนแต่จินตนาการถึงรูปร่างของนางเอาไว้แล้ว แต่ในตอนที่พวกเขาได้พบเห็นเองกับตานั้น ภาพ จินตนาการเหล่านั้นล้วนแต่แตกสลายไปทั้งสิ้น

ผู้หญิงที่ยืนอยู่บนตำแหน่งประธานตรงหน้าสวมชุดสีแดงสดตลอดร่าง ท่วงท่าองอาจเย่อหยิ่ง

บนร่างของนางไม่มีความอ่อนหวานของผู้หญิงธรรมดา แต่มีความสง่างามบ้าบิ่นของผู้ชายเพิ่มเข้ามาแทนหลายส่วน

พระชายางดงามหรือไม่?

คำตอบก็คืองามอย่างไม่ต้องสงสัย!

เมื่อบรรดาชนชั้นสูงเผ่ามารได้เห็นมู่ชิงเกอเป็นครั้งแรก ก็ล้วนแต่ตกตะลึงยืนนิ่งอยู่กับที่ นัยน์ตาที่มองนางมีแต่ความตกตะลึงในความงาม

นางขมวดคิ้วน้อยๆ ภายในดวงตาสดใสฉายแววเรียบเฉย

ราวกับว่านางเป็นราชามาโดยกำเนิด ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นชายหรือหญิง!

เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ถูกบรรยากาศของนางทำให้ยอมศิโรราบ คิดว่ามีเพียงผู้หญิงเช่นนี้ถึงเหมาะกับองค์ราชาผู้เปี่ยมความสามารถและแสนยิ่งใหญ่ของพวก เขา!

“ใครจะบอกข้าได้บ้างว่าเผ่าอี้คืออะไร?” มู่ชิงเกอค่อยๆ พูดขึ้น กวาดตามองไปยังทุกคนที่ออกมาจากหลังม่าน

นางไม่ได้เขินอาย ตอนนี้สงครามกำลังปะทุแล้ว นางจะยังมัวแต่มาสนใจเรื่องที่พวกเขาเสียมารยาทได้อีกหรือ? นางทำเป็นมองไม่เห็นความตะลึงในดวงตาของคนเหล่านั้น ทำเป็นมองไม่เห็นความคิดของทุกคน เพียงแต่ถามปัญหาสำคัญออกมาโดยตรง

จี่ฝูก้าวออกมาข้างหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “กราบทูลพระชายา ที่มาของเผ่าอี้นั้นไม่ชัดเจน เพียงแต่รู้ว่า เผ่าอี้นี้ปรากฎออกมาตั้งแต่หลังสงครามครั้งใหญ่ ระหว่างเผ่าเทพและมารเมื่อแสนปีก่อน เป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่ามารและเผ่าเทพ”

“ศัตรูตัวฉกาจ?” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา

ศัตรูตัวฉกาจของทั้งเผ่ามารและเผ่าเทพ? เป็นเผ่าอะไรกันถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้?

“เผ่าอี้นั้นไปมาไร้ร่องรอย จะปรากฎขึ้นมาโจมตีพวกเราอย่างกะทันหันแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเราสิ้นเปลืองเวลาไปมากมายแต่ก็ยังหาที่มาของพวกมันไม่ได้ อีกทั้งพวกมันยังมีกำลังพลเยอะมาก ทุกครั้งที่ปรากฎก็มีจำนวนมากมาย ปกติแล้วก็เป็นหลายเท่าของกำลังทหารของพวกเรา บวกกับการโจมตีที่แปลกประหลาดของพวกมัน ทำให้ไม่อาจฆ่าให้ตายได้ง่ายๆ ดังนั้นทุกครั้งจึงตึงมือมาก” จี่ฝูเอ่ย

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมืดครึ้มลง สามารถพัวพันเผ่าเทพและมารมาได้นับแสนปีโดยไม่ดับสูญ ก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายถึงความแข็งแกร่งของเผ่าอี้

ตอนนี้ไม่ใช้เวลามาถามถึงที่มาของเผ่าอี้ มู่ชิงเกอมองไปยังองครักษ์มารที่มาส่งข่าวแล้วถามว่า “พวกมันบุกโจมตีที่ไหน?”

องครักษ์มารเอ่ยตอบว่า “เผ่าอี้บุกเข้ามาทางริมแม่นํ้าเมิ่งหลาน ฝั่งพวกเรามีกำลังพลเพียงไม่กี่หมื่น ส่วนอีกฝ่ายมีนับแสน…” เขายังไม่ทันพูดจบ คนอื่นๆ ก็เข้าใจ

แล้ว

“เอาแผนที่ออกมา” มู่ชิงเกอสั่งเสียงเข้ม

กู่หยาและกู่เย่ไม่กล้าชักข้า เอาแผนที่ออกมาในทันที

กู่เย่ใช้พลังมารแสดงแผนที่ของแดนมารออกมากลางอากาศในตำหนัก

ลักษณะภูมิประเทศบนแผนที่นั้นวาดออกมาได้ละเอียดมาก เพียงชั่วครู่ก็สามารถทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจได้แล้ว

สายตาของนางกวาดหาตำแหน่งของแม่นํ้าเมิ่งหลานบนแผนที่

คนยี่สิบกว่าคนล้วนแต่กำลังยืนมองนางเงียบๆ

“นางเข้าใจงั้นหรือ?” มีคนพึมพำออกมาเบาๆ

ภายในแดนมารนั้นไม่มีแม่ทัพหรือทหารที่เป็นผู้หญิง ถึงจะมีแต่พวกนางก็จะมีตำแหน่งที่พิเศษบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่การวางกลยุทธ์หรือบัญชากองทัพ

ดังนั้น พวกเขาจึงแปลกใจกับการกระทำของมู่ชิงเกอว่าอ่านแผนที่เข้าใจจริงหรือไม่ สามารถคาดเดาสถานการณ์ในตอนนี้ออกไหม

มู่ชิงเกอไม่เข้าใจอักษรของเผ่าเทพมาร กู่หยาจึงลอบช่วยเหลือด้วยการลากแผนที่ไปยังตำแหน่งของแม่นํ้าเมิ่งหลาน

ที่เหลือมู่ชิงเกอก็เพียงแต่มองรูปลักษณ์ก็พอ ไม่จำเป็นต้องดูตัวอักษรอีก

นางหรี่ตาเล็กลง ถามองครักษ์มารว่า “เผ่าอี้โจมตีตอนไหนและสถานการณ์ที่แม่นํ้าเมิ่งหลานเป็นอย่างไร?”

องครักษ์มารตอบว่า “เผ่าอี้เริ่มโจมตีในช่วงเช้าเมื่อวาน แรกเริ่มพวกมันก็แกล้งส่งทหารออกมาเพียงหมื่น แม่ทัพเฝ้าแม่นํ้าเมิ่งหลานคิดว่าเป็นเพียงแค่การยั่วยุ จึงไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก และก็ไม่ได้แจ้งข่าวมายังเมืองหลวง แต่หลังจากการศึกจบลงไปแล้วแม่ทัพที่เฝ้าแม่นํ้าเมิ่งหลาน ก็พบการเคลื่อนไหวของเผ่าอี้นับแสนและพบว่าสถานการณ์ตึงเครียด ในตอนที่ส่งข่าวขอความช่วยเหลือออกมา ทั้งสองฝ่ายยังไม่เริ่มต่อสู้ ส่วนตอนนี้เป็นอย่างไรนั้น ข้าน้อยก็ไม่รู้”

“พระชายา ดูแล้วพวกเราต้องรีบไป” จี่ฝูเอ่ยเตือน

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้ง นางมองไปยังเจ้าเมืองย่อยทั้งแปดคนตรงหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “ในมือของพวกเจ้ามีกำลังพลเท่าไหร่?”

นี่เป็นจุดสำคัญ!

จากนั้นนางก็หันไปมองขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องเสบียง แล้วถามว่า “เสบียงของเจ้ามีเท่าไหร่และพอให้ทหารใช้นานแค่ไหน?”

สองคำถาม!

หนึ่งคือมีทหารที่สามารถใช้ได้เท่าไหร่? และสองคือมีเสบียงเท่าไหร่?

คำถามสั้นๆ เพียงสองคำถามกลับทำให้คนอื่นๆ มองออกว่ามู่ชิงเกอไม่ธรรมดา! นางเป็นพระชายา แต่ในคำพูดกลับแสดงให้เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจการทำ สงครามจริงๆ

ความน่าประหลาดใจที่มู่ชิงเกอนำมา ทำให้พวกจี่ฝูสี่คนต้องมองนางใหม่อีกครั้ง

แต่สำหรับพวกสั่วเซิ่งสี่คนแล้ว ยิ่งนางร้ายกาจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขามากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเผ่าอี้บุกโจมตี พวกเขาจึงต้องวางความคิดเอาไว้ชั่วคราว ทุกอย่างรอการศึกสงบค่อยว่ากัน

“ข้าสามารถส่งทหารไปได้หนึ่งแสน!”

“ข้าก็หนึ่งแสน!”

“ข้าส่งไปได้มากที่สุดก็คือแปดหมื่น”

“ข้าก็เช่นกัน”

พวกจี่ฝูสี่คนแสดงเจตนา ทิศที่เขากับหลิงจิวเฝ้ารักษานั้นถือว่าค่อนข้างสงบ จึงสามารถออกกำลังพลได้ถึงสองแสน แต่ทิศที่ชิงเหยียนและชิงเจ๋อเฝ้านั้นอยู่ใกล้กับเผ่าเทพ พวกเขาจึงไม่อาจเอากำลังพลออกมามากเกินไปได้ ดังนั้นจึงเอาออกมาได้คนละแปดหมื่น

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดจา แต่หันไปมองพวกสั่วเซิ่งสี่คน

สั่วเซิ่งรีบเอ่ยในทันทีว่า “ข้าสามารถเอากำลังพลออกมาได้หนึ่งแสนสองหมื่น”

“ข้าก็สามารถเอากำลังพลออกได้หนึ่งแสนสองหมื่น” เซ่อฉินเอ่ยตาม

“ข้าสามารถเอากำลังพลออกได้หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น”

“ข้าเช่นกัน”

ซู่เหยียนและซูเฉวียนก็พูดจำนวนที่ตนเองสามารถเอากำลังพลออกมาได้เช่นเดียวกัน

หลังจากมู่ชิงเกอได้ฟังแล้วก็ยังคงไม่พูดอะไร แต่มองไปยังขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องเสบียง ขุนนางผู้นั้นรีบพูดว่า “หลังจากองค์ราชารับช่วงตำแหน่งต่อก็มีการกำหนดเสบียงที่จะเก็บในแต่ละปี เพื่อใช้ในการศึก แต่เมื่อไม่มีคำสั่งจากองค์ราชา ก็สามารถใช้เสบียงได้เพียงพอแค่หนึ่งเดือนสำหรับทหารสองแสนนายเท่านั้น”

คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ พึมพำเอ่ยว่า “สองแสนนาย หนึ่งเดือนเพียงพอแล้ว”

คำเหล่านี้ดุจดั่งนํ้าเย็นราดใส่หัวทุกคนในตำหนัก พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอถึงได้มั่นใจขนาดนั้น?

เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้จักเผ่าอี้มาก่อน

“พระชายา…” กู่เย่กลัวนางจะไปเสี่ยงอันตรายจึงเอ่ยเตือนเบาๆ

มู่ชิงเกอมองเขาแล้วพูดว่า “ใช้มากชนะน้อยไม่เรียกว่าชนะ ใช้น้อยชนะมากถึงนับ”

จากนั้นนางก็มองทุกคนแล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราเป็นฝ่ายรับ พวกมันเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นกำลังพลของพวกมันจึงต้องมีมากกว่าพวกเราถึงได้มีความมั่นใจ ส่วนพวกเราเป็นเพียงแค่ฝ่ายรับ ทหารสองแสนนายเพียงพอแล้ว”

เวลานี้เองเจ้าเมืองย่อยทั้งแปดคนถึงได้เข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ของมู่ชิงเกอ

พวกเขาล้วนแต่เป็นคนนำทัพออกรบ แน่นอนว่าเข้าใจความแตกต่างระหว่างฝ่ายรุกและฝ่ายรับ

ส่วนคนอื่นๆ ที่ถูกริบอำนาจว่างงานอยู่ที่บ้านมานานแล้ว ถึงแม้ระดับพลังจะยังอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการนำทัพออกรบเท่าไหร่

ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงแต่ลอบสังเกตสีหน้าของเจ้าเมืองย่อยทั้งแปด แล้วก็ตั้งใจฟังคำพูดของพระชายาไปด้วย

มู่ชิงเกอไม่ได้ลังเล สั่งการขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องเสบียงว่า “ก่อนกองทัพจะเคลื่อนเสบียงต้องไปก่อน เจ้ารีบไปจัดเตรียมเสบียงหนึ่งเดือนสำหรับคนสองแสนคน”

ขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องเสบียงรู้ว่าไม่สามารถชักช้าได้ จึงรีบถอยออกไปทันที

มู่ชิงเกอเอ่ยกับชิงเจ๋อว่า “เจ้านำทหารของเจ้าสี่หมื่นนายรวมกับทหารของหลิงจิวสี่หมื่นนาย พวกเจ้าสองคนนำเสบียงไปส่งที่แม่นํ้าเมิ่งหลานก่อน”

เอ๋? ต้องเตรียมทหารเพียงสี่หมื่นนายงั้นหรือ?

ชิงเจ๋อและหลิงจิวล้วนแต่แปลกใจ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถหักหน้ามู่ชิงเกอได้

ดังนั้นทั้งสองคนจึงรับคำสั่งไปเงียบๆ

“สั่วเซิ่งนำทหารของเจ้าหกหมื่นรวมกับทหารของเซ่อฉินหกหมื่นนายไปยังแม่นํ้าเมิ่งหลานกับข้า” มู่ชิงเกอมองไปยังสั่วเซิ่งและเซ่อฉิน

อะไรนะ!

คำพูดนี้ของนางทำให้ทุกคนตะลึง

มีเพียงแค่กู่หยาและกู่เย่เท่านั้นที่นิ่งเงียบ ดูเหมือนจะคาดเดาได้ก่อนแล้ว

ทั้งสองคนสบตากันแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเผ่าอี้จะบุกเข้ามาในเวลานี้ แต่คาดเดาได้จากนิสัยของมู่ชิงเกอว่านางจะต้องไม่ยอมรอผลการศึกอยู่ในพระราชวังไท่ฮวงอย่างแน่นอน

“พระชายา สนามรบนั้นให้พวกเราไปก็พอแล้ว ท่านอยู่ในวังจะดีกว่า” สั่วเซิ่งพูดตรงๆ

ล้อเล่นอะไรกัน? หากพาผู้หญิงไปรบด้วยพวกเขาก็ต้องคอยคุ้มครองนางทั้งยังต้องต่อสู้กับเผ่าอี้อีกนะ?

ไม่เพียงแต่พวกสั่วเซิ่งที่คัดด้าน แม้แต่พวกจี่ฝูก็แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน

“พระชายา ท่านทรงพระครรภ์องค์ทายาทอยู่ แบกรับหน้าที่หนักหนามากแล้ว เพียงแค่เผ่าอี้มาเท่านั้น พวกเราไปจัดการก็ได้แล้ว’’จี่ฝูเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

ที่เขาเป็นห่วงก็คือความปลอดภัยของมู่ชิงเกอ แล้วก็ยังมี ‘เด็ก’ ในท้องของนางอีก

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ได้ถามความเห็นของพวกเจ้า และก็ไม่ได้ขอให้พวกเจ้าเห็นด้วย ข้าเพียงแต่บอกพวกเจ้าถึงการตัดสินใจของข้าก็เท่านั้น”

นางต้องการใช้การศึกครั้งนี้มาทำให้แดนมารสงบ เพียงแค่ทำให้ทุกคนรู้ว่านอกจากซือมั่วแล้วยังมีนางที่เป็นพระชายาอยู่ ไม่ว่าใครในสองคนนี้อยู่ แดนมารจะวุ่นวายไม่ได้! และถ้าเป็นแบบนั้นต่อไปนางก็จะสามารถไปตามหาร่องรอยของซือมั่วด้วยตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องเอาแต่คอยอยู่ภายในพระราชวังไท่ฮวงอีก

ดังนั้น สงครามที่มาอย่างกะทันหันนี้เป็นโอกาสดีที่นางจำเป็นต้องคว้าเอาไว้

“พระชายา สงครามไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ท่านอย่าไปวุ่นวายที่สนามรบเพียงเพราะเกิดสนใจขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวจะดีกว่า” เซ่อฉินพูดอย่างไม่เกรงใจ มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเย็นชาตอบกลับ “เจ้าเมืองย่อยเซ่อฉินวางใจได้ ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงให้ใคร ตัวข้านั้นออกรบในนามขององค์ราชา นำทัพแทนเขา”

เซ่อฉินขมวดคิ้วขึ้น

พวกจี่ฝูก็ไม่เห็นด้วย

มู่ชิงเกอพูดขึ้นอีกว่า “ตกลงตามนี้ พวกเจ้ารีบไปเตรียมการ กองทัพใหญ่ออกเดินทางพรุ่งนี้”

เอ่อ!

กำหนดแล้วหรือ?

พระชายาอย่าได้เอาแต่ใจตนเองขนาดนี้ได้หรือไม่?

ท่านเอาแต่ใจตนเองขนาดนี้ องค์ราชารู้หรือไม่?

ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนงง มู่ชิงเกอก็ไม่ให้โอกาสใครได้โต้แย้ง นางหันไปมองจี่ฝูแล้วพูดกับเขาว่า “เจ้าเมืองย่อยจี่ฝูตามข้ามาสักครู่”

จากนั้นนางก็พากู่หยาและกู่เย่หายไปจากสายตาของทุกคน

เพียงแค่นางจากไป สั่วเซิ่งก็พูดกับพวกจี่ฝูอย่างไม่เกรงใจว่า “พวกเจ้าจะยอมให้นางทำอะไรเอาแต่ใจตนเองเช่นนี้หรือ?”

จี่ฝูเพียงแต่มองเขาแวบหนึ่งแล้วก็เดินออกไปนอกตำหนัก

เขาไม่ได้ลืมว่ามู่ชิงเกอเรียกพบเขา ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไร และแน่นอนว่าเขาจะใช้โอกาสนี้โน้มน้าวพระชายาไม่ให้เอาแต่ใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version