ตอนที่ 42
แผนร้ายหาเรื่องใส่ตัว
ชายแขนเสื้อพลิ้วสะบัดเบาๆ กระโปรงสีฟ้าอ่อน อ่อนโยนดุจสายนํ้า ชุดสีแดงสด ดั่งดวงอาทิตย์ร้อนแรง ทุกจังหวะที่ขาของมู่ชิงเกอเหยียบลงไป ตรงกับทำนองของเพลงอย่างแม่นยำ ฉินอี้เหยาแทบจะไม่ต้องทำอะไร แค่ขยับไปตามนางก็พอแล้ว
“ผ่อนคลายเถอะ มีกระหม่อมอยู่” เมื่อรับรู้ถึงความประหม่าของฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอก็พูดเบาๆ ข้างหูนาง ไออุ่นของลมหายใจรินรดผ่านหูนางไป ฉินอี้เหยาหัวใจเต้นรัวเร็วโดยไม่มีสาเหตุ หูเริ่มแดงอย่างรวดเร็ว ‘ผ่อนคลายเถอะ มีกระหม่อมอยู่’ คำธรรมดาๆ เพียงไม่กี่คำกลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมีที่พึ่ง ความรู้สึกแบบนี้นางไม่คุ้นชินเลย ตอนแรกนางอยากจะขัดขืนแต่ร่างกายกลับผ่อนคลายความตื่นเต้นลงมาก
แก้มสีขาวสองข้างเริ่มอาบย้อมไปด้วยสีแดงเรื่อ ในขณะที่เต้นรำฉินอี้เหยาแอบมองใบหน้าหันข้างที่อยู่ห่างกับนางเพียงไม่กี่นิ้ว สายตาอันกระจ่างใสนั้นเหมือนไม่ได้คิดอะไรอยู่เลย สะอาดสดใสจนทำให้นางรู้สึกผิด อยู่ๆใบหน้างดงามดวงนี้อยู่ๆ ก็ไม่ได้ดูน่ารังเกียจถึงเพียงนั้นอีก ทำให้นางอยากจะใช้สายตาของตนมองสำรวจเค้าโครงของใบหน้านั้นโดยไม่รู้ตัว
การเต้นแทงโก้ เป็นการแสดงถึงความร้อนแรงเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
แต่ลีลาและทำนองการเต้นของมู่ชิงเกอ ทำให้นางเต้นออกมาในอีกแบบหนึ่ง คนสองคนที่กำลังเต้นพลิ้วไหว ดูเหมือนคู่รักที่รักกันมาก และเหมือนคู่รักที่จากลากันมานาน
จังหวะฝีเท้ากระชับว่องไว ร่างยืดเอวตรง ขยับไปตามแรงหมุน สัมผัสที่อ่อนโยนรับ ทำให้บทเพลงนี้ดังก้องไป ทั่วท้องฟ้าแห่งพระราชวังอันโอ่อ่า
ลม ค่อยๆ พัดไหวโบกพัดจนดอกไม้ร่วงพลิ้ว เกสรสีชมพูถูกม้วนขึ้นกลาง
อากาศมาสู่กลางเวที ราวกับว่า ดอกไม้นั่นโดนดึงดูดจากการร่ายรำอันแปลก ใหม่ และเริงระบำพร้อมไปกับพวกเขา
การก้าวย่างร่ายรำอันแปลกใหม่ และความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนั้น ทำให้ฉินอี้เหยาตกอยู่ในภวังค์ นางเคลื่อนไหวไปตามการกระทำของมู่ชิงเกอราวกับผีเสื้อโบยบิน มีความรู้สึกเกิดขึ้นเหมือนหลุดพ้นและได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
ลมที่พัดผ่านข้างแก้ม กลีบดอกไม้ร่วงที่ปลิวไปมาตรงหน้า ทำให้นางลืมสิ้นทุกสิ่งราวกับที่นี่มีแค่นางและผู้ร่วมเต้นกับนางนี้เท่านั้น
“สวยงามเหลือเกิน ! นี่มันการร่ายรำแบบใดกัน?”
“ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“เพลงและทำนองแบบนี้คงจะมีเพียงบนสรวงสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีในโลกมนุษย์นั้น ยากที่จะพบสดับสักครั้ง”
เพลงดังซํ้าไปมาไม่หยุด จังหวะการเต้นที่ต่อเนื่องไม่ขาดในตอนนี้ ราวกับว่าทุกคนแทบจะลืมบรรยากาศความขัดแย้ง และการหัวเราะเยาะกันในตอนแรกไปแล้ว
ทุกคนต่างไม่อยากให้เพลงๆนี้หยุดลง
กระทั่งในสายตาของฉินจิ่นห้าวเอง ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง จ้องมองเงาร่างสีแดงราวเปลวเพลิงที่โลดแล่นไปมาอยู่บนเวที
ในดวงตาลึกลํ้าของซือมั่ว มืดมนไร้จุดสิ้นสุด สายตาที่แววใสดั่งแก้วนั้นบดบังความรู้สึกของเขาเอาไว้ เวลานี้ สายตาของเขาส่องสะท้อนเพียงเงาร่างสีแดงและ ดอกไม้ที่ปลิวไปมาเท่านั้น
อยู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวจนเขาเกือบจะ ควบคุมตัวเองไม่อยู่
‘หากคู่เต้นของมู่ชิงเกอเป็นเขา จะดีเพียงไหนกันนะ’
นัยน์ตาที่กำลังมองผู้ที่เต้นอยู่เหมือนมีอะไรเปลี่ยนไป ในจินตนาการ เงาร่างสีฟ้าอ่อนค่อยๆ จางหายไปแทนที่ด้วยเสื้อขาวบริสุทธิ์ของตัวเขา เขาโอบประคองเงาร่างสีแดงนั่น พานางเต้นรำท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่พร่างพราว
“ท่านพ่อ ชิงเกอเต้นรำเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน?” มู่เหลียนหรงถามด้วยความงุนงง
สายตาของนาง โดนการเต้นรำอันน่าทึ่งนี้ทำให้ตกตะลึงไป กระทั่งนางยังสงสัยเลยด้วยซํ้าว่าตอนนี้นางกำลังฝันอยู่
มู่ซงที่ถูกถามก็สงสัยเช่นกัน เขาไม่เคยเห็นการเต้นแบบนี้ และไม่เคยเห็นว่ามู่ชิงเกอเต้นรำได้จึงไม่อาจตอบคำถามของลูกสาวได้ เขาทำได้เพียงส่ายหน้า
ในขณะเดียวกัน ในใจก็แอบโทษตัวเอง ที่ใส่ใจหลานชายไม่มากพอ
ในงานเลี้ยง นอกจากเสียงเพลงที่กึกก้อง ก็ไม่มีเสียงอื่นเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างเบิกตาโต ชื่นชมท่าเต้นอันน่าทึ่งของมู่ชิงเกอ
กระทั่ง นักปราชญ์หลายคนที่มองว่ามู่ชิงเกอไม่รู้จักระมัดระวังว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็กลับเปลี่ยนความคิด อืม บางทีการมีศิลปะติดตัวก็ เป็นสิ่งที่น่านับถือ อีกอย่างพวกเขาก็เป็นคู่หมายกันด้วยไม่ใช่หรือ?
บริเวณที่ห่างจากงานเลี้ยง เงาร่างในชุดสีเหลืองนวลยาว ยืนอยู่เพียงลำพังบนภูเขาจำลองกลางศาลา มองผ่านรอยแยกของแมกไม้ใปที่คนสองคนที่กำลังเต้นรำอยู่ ในสายตาที่ไร้ระลอกคลื่นใดของเขาแทบจะดูไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ การเต้นนี้ ราวกับซึมเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา และก็ราวกับจะไม่สามารถทำให้เขา รู้สึกอะไรเลยในเวลาเดียวกัน
“ลูกพี่! สุดยอดมาก! ข้าขอนับถือท่านเลย!” สายตาเจ้าอ้วนเช่าเต็มไปด้วยความนับถือ ในใจคิดว่าจะต้องถามวิธีการฝึกการแสดงขั้นเทพแบบนี้จากมู่ชิงเกอให้ได้!
ผู้คนต่างหลงใหลอยู่ในท่วงทำนองของจังหวะการเต้น
แต่มีเพียงคนเดียวที่แตกต่าง นั้นก็คือเหอเฉิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาและโกรธเกลียด เขาอยากจะทำให้มู่ชิงเกออับอาย แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้มันกลาย เป็นตัวเด่นเสียอย่างนั้น
เขาไม่ยอม!
มู่ชิงเกอเต้นช้าลง ฉินอี้เหยาที่ค่อยๆ ตื่นจากภวังค์รู้แล้วว่า การเต้นกำลังจะจบลง
ตอนนี้ ในใจของนางเหมือนตกลงมาจากที่สูง ทำให้นางรู้สึกเหมือนกลับมาสู่พระราชวังที่ทั้งหนาวเย็นและน่าอึดอัดอีกครั้ง
นางปิดบังดวงตาโศกสลดของตนใบหน้าของนางกลับไปเยือกเย็นและสันโดษเหมือนก่อน
เสียงเพลงค่อยๆ เงียบลง มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ปล่อยตัวฉินอี้เหยา พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงที่ช่วยเหลือ”
ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด
ฉินอี้เหยาตั้งใจจะตอบแบบนี้ แต่ในขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้น ก็สัมผัสถึงแสงสีแดงสายหนึ่ง พุ่งมาทางด้านหลังของมู่ชิงเกอ
“ระวัง!” ดวงตางดงามพลันเบิกกว้าง ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ฉินอี้เหยาก็ยื่นมือไปผลักมู่ชิงเกอ ระหว่างนั้นก็สะ บัดมือแสงสีเหลืองพุ่งออกไปปะทะเข้ากับแสงสี แดงกลางอากาศ เสียงดังกึกก้องจนทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงตกใจ
“เกอเอ๋อร์!”
“ชิงเกอ!”
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้มู่ซงและมู่เหลียนหรงรีบเคลื่อนตัวไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอทันที ยืนปกป้องนางอย่างแน่นหนาจากซ้ายขวา
ทันใดนั้น แสงสีนํ้าเงินเจิดจ้าและแสงสีเหลืองเสียดแทงนัยน์ตานั้นก็ทำให้ทุกคนได้สติ
ใครกล้ามาสอบสังหารคนกลางงานเลี้ยง!
“ขอบพระทัยองค์หญิง” มู่เหลียนหรงประคองหมัดคารวะขอบคุณฉินอี้เหยา ด้วยฐานะของมู่ซง แน่นอนว่าจะไม่กล่าวคำขอบคุณผู้ที่อายุน้อยกว่า จึงให้มู่เหลียนหรง ทำหน้าที่นั้นแทน
ฉินอี้เหยาส่ายหน้า นางก็ไม่รู้ว่าตนเองลงมือทำไม เงยหน้าขึ้นมองใบหน้านิ่งเฉยของมู่ชิงเกอ นางเม้มปากแน่น
ซือมั่วไม่ได้ขยับ ทุกคนไม่รู้พลังที่แท้จริงของมู่ชิงเกอ แต่เขารู้อยู่แก่ใจว่าแค่ไก่อ่อนขั้นพลังสีแดงผู้หนึ่ง จะลอบทำร้ายขั้นเหลืองระดับสูงสุดสำเร็จได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะยืนนิ่งให้เฆี่ยนตีได้ตามใจชอบ นางก็จะไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่นางมีความสามารถในการเยียวยาอันน่าทึ่งนั้นอีก
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ แต่คนที่เขาถูกใจจะต้องเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ
กู่หยาที่ยืนอยู่ข้างหลังซือมั่วรู้ว่า ตอนนี้ท่าทางของเจ้านายแม้จะดูไม่แตกต่าง แต่ในใจมีความคิดที่จะสังหารคนเกิดขึ้นแล้ว
เกรงว่า ไอ้โง่ที่กล้าคิดร้ายกับตระกูลมู่ผู้นั้น แม้ฟ้าจะคุ้มครองอย่างไรก็คงจะมีชีวิตรอดไม่ถึงพรุ่งนี้เช้าแล้ว
กู่หยาแอบจุดเทียนไว้อาลัยให้คนๆ นั้นในใจเงียบๆ
“ใครกล้าปองร้ายหลานชายของข้า!”
เกอเอ๋อร์เกือบได้รับบาดเจ็บแบบนี้ มู่ซงไม่สนใจอีกต่อไปว่าที่นี้คือที่ไหน เสียงที่เขาเปล่งออกมาแทรกไว้ด้วยพลังวิญญาณเสียง ดังกัมปนาทไปทั่วทั้งงานเลี้ยง
เรื่องมันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนกล้าฆ่าหลานชายของเขาต่อหน้าต่อตา เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าแสงสีแดงนั้นมาจากที่ไหน
แต่มู่ชิงเกอกลับรู้สึกแตกต่างออกไป ตอนที่แสงสีแดงกำลังจะพุ่งเข้ามาโดนเสื้อของนางนั้น นางก็รู้สึกได้ถึงรังสีสังหารที่อยู่เบื้องหลังแล้ว แม้ว่าฉินอี้เหยาจะไม่ลงมือ นางก็สามารถหลบมันได้อย่างปลอดภัย
แต่การกระทำของฉินอี้เหยาก็ช่วยปกปิดความสามารถของนางได้ดีขึ้นก็เท่านั้น ในขณะที่มู่ซงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอก็จ้องไปที่ใบหน้าอันขาวซีดและสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของเหอเฉิง นางแอบยิ้มอย่างเยือกเย็น ‘เหอเฉิงเอ๋ยเหอเฉิง เจ้าช่างแสดงให้เห็นถึงคำพูดที่ว่า ‘หาเหาใส่หัว’ ได้ดีจริงๆ’