ตอนที่ 43
หากเจ้าจะลงนรก ข้าก็ขอถีบส่ง
เหอเฉิงกำลังตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด!
เขาไม่รู้เลยว่าตนเองลงมือไปได้อย่างไร ตอนนั้น เขาแค่เกลียดใบหน้านั้นของมู่ชิงเกอยิ่งไม่ต้องการจะเห็นมันอีกต่อไป อยากให้มันตายๆไปเสีย จึง…
พอเขารู้สึกตัว ก็สบสายตาเข้ากับแววตารู้ทันของมู่ชิงเกอ ไหนจะยังเปลวไฟแห่งความโกรธที่ลุกโชนของมู่ซงอีก
‘ทำอย่างไรดี? เขาควรทำอย่างไรดี?’
“ผู้เฒ่าตระกูลมู่ มหาปราชญ์ยังอยู่ที่นี่ อย่าเกินไปนัก” ฉินชางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพูดพร้อมขมวดคิ้ว เหมือนกำลังเตือนด้วยความหวังดี
แต่ในสายตาของเขา ซ่อนความเสียดายจางๆ ไว้
จริงๆ แล้ว สิ่งที่เขาอยากเห็นคือสีหน้าของมู่ซง หลังจากที่ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ตาย หากการปองร้ายเมื่อสักครู่สำเร็จ เขาอาจจะดึงเสี้ยมหนามตำใจ อย่างตระมูลมู่ออกได้สำเร็จ
แต่น่าเสียดาย…………………..
ฉินชางเหลือบมองฉินอี้เหยาอย่างตำหนิที่นางเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง
มู่ซงหันหน้ากลับไป กระแสพลังสีนํ้าเงินบนร่างก็ลดลงเล็กน้อย แต่ความโกรธเกรี้ยวกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่นิด พูดเสียงดังว่า “ฝ่าบาท มีคนคิดจะปองร้ายหลานชายของข้า ในงานเลี้ยงที่พระองคทรงจัดขึ้นเพื่อองค์มหาปราชญ์ หรือว่านี่ไม่ใช่การดูหมิ่นพระองค์และองคมหาปราชญ์?”
“เอ่อ ” ฉินชางขมวดคิ้ว ตามองไปยังที่นั่งของตระกูลเหอ
ก่อนที่จะเกิดเรื่อง กลุ่มคนยังไม่มีใครให้ความสนใจกับตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเหอ แต่ตอนนี้สายตาที่เต็มไปด้วยแววเยาะเย้ยของมู่ชิงเกอ และเหอเฉิงที่นั่งหน้าเสียอยู่กับที่เป็นการอธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้บิดาของเหอเชิงสีหน้าซีดขาวและสั่นไปทั้งร่าง เมื่อเห็นสายตาอันเยือกเย็นของฮ่องเต้จึงรีบคุกเข่าลง โขกหัวกับพื้นไม่หยุด “ฝ่าบาท! กระหม่อมผิดไปแล้ว! เจ้าบัดซบนี่ช่างกำแหงเกินไปแล้วจริงๆ กล้าทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ในงานเลี้ยงของพระองค์ตายสักหมื่นครั้งก็ไม่พอชดใช้ความผิด! แต่ ขอให้ฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่ ตระกูลเหอจงรักภักดีเสมอมา ลงโทษสถานเบาด้วยเถิด!” พูดแล้วก็หันไปพูดกับมู่ซงทั้งนํ้าตา “นายท่านผู้ เฒ่า เด็กไม่รู้เรื่อง ทำอะไรไม่รู้จักแยกแยะ โชคดีที่คุณชายไม่เป็นอะไร ขอให้นายท่านผู้เฒ่าโปรดระงับโทสะ และไว้ชีวิตมันด้วยเถิด!”
คำพูดทั้งนํ้าตาแบบนี้ราวกับเหอเฉิงเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น
มู่ซงสีหน้าดำคลํ้าริมฝีปากเกร็งแน่นแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง คร้านจะดูเขาแสดงละคร ฉินชางที่แอบสังเกตท่าทางของมู่ซง ก็รู้แล้วว่าคราวนี้มู่ซงโกรธเข้าแล้วจริงๆ ในขณะเดียวกันเขาก็แอบมองชายชุดขาวบนแท่นสูงแวบหนึ่ง แต่กลับต้องตกใจเพราะใบหน้าที่เหมือนยิ้มและไม่ยิ้มในขณะเดียวกันนั้น
‘แย่แล้ว! เรื่องขบขันพวกนี้คงจะทำให้องคมหาปราชญ์ไม่พอใจมาก’
ในความคิดของฮ่องเต้ ความเป็นความตายของมู่ชิงเกอ เป็นเพียงเรื่องน่าขบขัน
ในขณะที่หันหน้ากลับมา ฉินชางก็ตัดสินใจบางอย่าง ตอนนี้มู่ชิงเกอจะเป็นอย่างไร มู่ซงจะเป็นอย่างไรและตระกูลเหอจะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญเท่าทำให้ชายหนุ่มผู้นี้เบิกบานใจ
“บัดซบ! ยังไม่คุกเข่าลงเพี่อขอให้มหาปราชญ์และท่านผู้เฒ่าเมตตาไว้ชีวิตสุนัขของเจ้าอีกรึ!” เพราะความเงียบของฝูงชน ทำให้ผู้เป็นบิดาคิดว่าเรื่องราวอาจยังมีโอกาสแก้ไข จึงรีบเอ่ยเตือนเหอเฉิง เหอเฉิงที่ตื่นกลัวจนสติจะแตกอยู่แล้วนั้น พอได้ยินคำพูดของบิดา ก็รีบรับคำ สองขาคุกเข่าลงพื้น พูดด้วยความตื่นตระหนกจนควบคุมสติตนเองไม่ได้ “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านผู้เฒ่าโปรดไว้ชีวิตด้วย ! ข้า….ข้าแค่พลั้งมือไป”
ดวงตาเหอเชิงกลอกไปมารวดเร็ว อยากจะหาเหตุผลที่ฟังขึ้นสักข้อ
แต่ เขาไม่รู้จักยืดหยุ่นพลิกแพลงและไม่ได้เฉียบแหลมนัก ทำให้เหตุผลที่หลุดพูดออกมา ยิ่งทำให้มู่ซงโกรธ แค้นหนักกว่าเดิม
มู่ซงพูดอย่างโหดเหี้ยม “หึ พลั้งมือ ! หากข้าตบเจ้าจนตายตรงนี้ก็เรียกว่าพลั้งมือ เช่นกันใช่หรือไม่?”
ครั้งที่แล้ว เพราะคำพูดของเหอเฉิง ทำให้เขาเกือบจะเสียหลานชายและทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลไป ที่เขาไม่ได้ฆ่ามันก็เพราะเห็นแก่ส่วนรวม ไม่คิดว่า ครั้งนี้ มันจะกล้าลอบฆ่าหลานชายต่อหน้าต่อตาเขา!
ท่าทางโกรธจนยากระงับของมู่ซง ทำให้เหอเฉิงตกใจจนเกือบจะควบคุมตนเองไม่ได้
เขารู้สึกเหมือนดาบนับพันเล่มกำลังจะตกสู่ตัวเขา และไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้
ในความสิ้นหวัง เหอเฉิงมองฉินจิ่นห้าว ตะโกนอย่างเจ็บปวดว่า “รุ่ยอ๋อง ช่วยข้าด้วย!”
ฝูงชนพลันวิจารณ์เซ็งแซ่
ทำไมไปโยงกับรุ่ยอ๋องได้เล่า?
ทุกสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยจ้องไปฉินจิ่นห้าว รัชทายาทกลับยิ้มเยาะเย้ยด้วยมุมปาก
ความสัมพันธ์ของรุ่ยอ๋อง ตระกูลเหอ หรือเหอเฉิงนั้นฉินชางเองก็คงพอรู้เรื่องนี้มาบ้าง
ถ้าอย่างนั้น เหอเชิงที่กล้าปองร้ายมู่ชิงเกอในที่แบบนี้ เพราะเป็นความคิดของตัวเขาเอง หรือเพราะคำสั่งของใคร ที่เขาขอความช่วยเหลือแบบนี้ เพราะท่าทางตอบ
สนองไปตามธรรมชาติ หรือเป็นเพราะต้องการขอความช่วยเหลือจากผู้อยู่เบื้องหลัง?
ทันใดนั้น การคาดเดาต่างๆ นานาก็เกิดขึ้น สีหน้าของฉินจิ่นห้าวและเจียงกุ้ยเฟยดูแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งฉินชางและมู่ซงก็มองฉินจิ่นห้าวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ฉินจิ่นห้าวที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในใจร้อนรนดั่งไฟเผา สายตาที่มองเหอเฉิงราวกับดาบแหลมคม อยากจะฆ่าไอ้สวะไร้ประโยชน์ที่ทำงานพลาดไม่พอยัง
จะสร้างปัญหานี้นัก “เหอเฉิง เจ้ากล้าทำเรื่องกำเริบเยี่ยงนี้จะให้ข้าช่วยอย่างไร? แม้ข้าจะเสียดายคนมีความสามารถเช่นเจ้า แต่ก็ผิดหวังกับการกระทำของเจ้าในวันนี้ยิ่งนัก” ฉินจิ่นห้าวกด อารมณ์เกรี้ยวกราดเอาไว้ในใจ เผยท่าทางปวดใจออก
มา
คำพูดที่เหมือนเป็นการสั่งสอนเหอเฉิง ในความเป็นจริงก็เป็นการประกาศกับทุกคนว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แต่การที่เขาแก้ตัวอย่าง ‘เร่งรีบ’ เช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขากำลังต้องการจะปกปิดความจริง ทำให้สายตาของทุกคนยิ่ดูสงสัย
“รุ่ยอ๋อง!”
เพียงคนเดียวที่สามารถช่วยเขาได้ก็ทอดทิ้งเขาไปแล้ว ทำให้ความหวังสุดท้ายของเขาถูกทำลายลง คำพูดของบิดาเหมือนจะเป็นการช่วยเขา แต่ความจริงก็คิดจะทอดทิ้งเขาเช่นกัน พูดไปพูดมา ก็หวังแต่จะไม่ให้ตระกูลเหอต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และสายตาที่ไร้ความรู้สึกของรุ่ยอ๋อง ก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสลัดเขาทิ้งโดยไม่แยแส ทันใดนั้น ในใจของเหอเฉิงรู้สึกถึงความเจ็บปวด ‘ข้าทำทุกอย่างเพื่อท่าน แต่เหตุไฉนท่านจึงทำกับข้าเยี่ยงนี้’
และในขณะนั้นเอง มู่ชิงเกอที่ดูงิ้วฉากตรงหน้ามาสักพัก ก็ยกยิ้มและพูดด้วยนํ้าเสียงที่ไม่ค่อยใส่ใจว่า “เหอเฉิง เจ้าจะขอความช่วยเหลือ ก็ไม่ต้องถึงขั้นต้องขอร้องรุ่ยอ๋องหรอก เจ้าไม่เห็นหัวข้าหรืออย่างไร?”
เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้น ทุกคนจึงได้สติ
ตัวละครหลักอีกคนของเรื่องเหมือนจะยังไม่ได้พูดอะไรเลยมาตั้งแต่ต้น
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็ไปรวมอยู่ที่ร่างของคนชุดแดงที่ถูกปกป้องอย่างแน่นหนาบนเวที
มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลัง ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม หรี่ตาจนทำให้ทุกคนไม่เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของนาง ท่าทางแบบนี้ ลึกลับและน่าดึงดูด ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา
เหมือนกับว่า คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่คุณชายจอมเสเพล แต่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังลํ้าลึกที่ปิดบังฝีมือของตนเองเอาไว้อย่างนั้น
“มู่ชิงเกอ เจ้าจะให้ข้าขอความช่วยเหลือจากเจ้างั้นรึ? ฝันไปเถอะ!” เหอเฉิงกัดฟัน จ้องเขม็งไปที่มู่ชิงเกอ ในนํ้าเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด
“ถือว่ามีศักดิ์ศรี” มู่ชิงเกอยักคิ้ว นํ้าเสียงยังคงเรียบนิ่ง
ซือมั่วที่นั่งอยู่บนแท่น มองชุดสีแดงสดนั้นจากข้างบนแล้วยิ้มโดยไม่รู้ตัว ในส่วนลึกของสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ราวกับว่า การมองการกระทำทุกอย่างของนางเงียบๆ อยู่ตรงนี้ เป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจที่สุดแล้ว
มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินไปหยุดตรงขอบเวที หันหน้าไปหาเหอเฉิงและคุกเข่าลง เอียงศีรษะ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถ้าจะเลือกศักดิ์ศรี ก็คงต้องทิ้งชีวิต”
ทันใดนั้นสีหน้าของเหอเฉิงพลันแปรเปลี่ยน
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร มู่ชิงเกอก็แสยะยิ้มเผยฟันขาว และเตือนด้วยความหวังดีว่า “ไม่อย่างนั้น เมื่อสักครู่เจ้ากำลังคิดจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับรุ่ยอ๋องรึ? ปองร้ายคุณชายอย่างข้า ยังไงเจ้าก็ยากจะหนีพ้นโทษตายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังเพิ่มความผิดฐานใส่ความเชื้อพระวงศ์เข้าไปอีก เจ้าอยากจะให้ตระกูลเหอของเจ้าทั้งสามร้อยคนจูงมือกันลงนรกงั้นรึ?”
“เจ้า! เหลวไหล! ข้าไม่เคยใส่ความรุ่ยอ๋อง!” เหอเฉิงตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห
แต่พอเขาพูดจบ ท่านพ่อและคนอื่นๆในตระกูลเหอต่างก็นิ่งอึ้งอยู่กับที่ สั่นไปทั่วทั้งร่าง
ฉินจิ่นห้าวที่นั่งมองเงาร่างในชุดสีแดงอยู่ไกลๆ ในใจรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ
“ไม่เคยใส่ความ?” มู่ชิงเกอค่อยๆ ลุกขึ้นสะบัดมือไปไพล่หลังอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมพูดเสียงสูงว่า “นั่นก็หมายความว่าที่เจ้าคิดจะปองร้ายข้า เป็นคำสั่งของรุ่ย อ๋องสินะ!”
“มู่ชิงเกอ เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! ข้าเคยออกคำสั่งแบบนี้ เมื่อไหร่กัน” ไม่รอให้เหอเฉิงโต้ตอบ ฉินจิ่นห้าวก็ลุกขึ้นพูดเสียงดัง
ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนยกยิ้ม มู่ชิงเกอค่อยๆ หันหลังเข้าประจันหน้ากับรุ่ยอ๋องที่กำลังโกรธจัด ยักไหล่อย่างไม่สนใจพร้อมพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดนะ เขาพูดของเขาเอง” พูดจบนางก็พลิกมือไปชี้เหอเฉิงที่อึ้งตัวแข็งอยู่ที่เดิม
เหอเฉิง?!
คำพูดชักนำที่มู่ชิงเกอจงใจพูดเมื่อสักครู่ไม่ดังมากนัก ฉินจิ่นห้าวอยู่ไกลมาก แน่นอนว่าได้ยินไม่ชัด ตอนนี้เห็นนางชี้ไปที่เหอเชิงที่อึ้งตัวแข็งอยู่กับที่ สายตาเขาก็พลัน สาดประกายเข่นฆ่าขึ้นมา