ตอนที่ 44
ให้นางอยู่ต่อ
“ไอ้ตัวสวะบัดซบ! สร้างความวิบัติให้ตระกูลเหอแล้ว!” บิดาของเหอเฉิงที่หมอบอยู่บนพื้น สายตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ทำให้ตระกูลม่ไม่พอใจ ไม่แน่ว่าอาจจะยังพอได้รับโอกาส
แต่หากทำให้เชื้อพระวงศ์ไม่พอใจ
เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาและเพื่อไม่ให้ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฮ่องเต้ของพวกเขามีอะไรบ้างที่ทำไม่ลง?
บิดาของเหอเฉิงเป็นข้าราชการมาทั้งชีวิตรู้จักนิสัยของฉินชางดี สำหรับเรื่องนี้ไม่ว่าจะเกี่ยวกับรุ่ยอ๋องหรือไม่นั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้เชื้อพระวงศ์ไม่อาจเป็นศัตรูกับมู่ซงได้
เพื่อรักษาหน้าตาและความสัมพันธ์อันดี ตระกูลเหอของเขาทำได้เพียงเสียสละ และเขาจะโทษใครได้หากจะโทษก็ต้องโทษตนเองที่ตอนแรกควรจะอดทนหน่อย ไม่ควรให้กำเนิดเจ้าสวะบัดซบอย่างเหอเฉิงออกมาเลย จะได้ไม่ทำให้วงศ์ตระกูลเขาต้องวิบัติอย่างนี้
เพราะคำชักนำเหลวไหลของมู่ชิงเกอเหมือนกำลังทำให้ประเด็นเปลี่ยนไปกลายเป็นว่าใครเป็นคนสั่งการแทน
ตอนแรกนางถูกเหอเฉิงปองร้ายนั้นเป็นความจริง ถ้าแค่เรื่องนี้อย่างมากก็มีแค่เหอเฉิงเพียงคนเดียวที่ซวย แล นางเองก็เป็นประเภทที่ไม่อาจยอมให้ใครมาหาเรื่องได้ ต้องขุดรากถอนโคนมันสถานเดียวเท่านั้น ในเมื่อเหอเฉิงเองมีเมตตามอบโอกาสนี้ให้แก่นาง ทำไมนางถึงไม่ใช้โอกาสในการสร้างเรื่องขึ้นมาเสียเลยเล่า
นางเชื่อมั่นว่าการปองร้ายครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับรุ่ยอ๋อง เพราะรุ่ยอ๋องไม่ใช่คนโง่ถึงเพียงนั้น แต่เรื่องนี้สำคัญด้วยเหรอ ฉินจิ่นห้าวจะแอบสั่งการหรือเปล่านั้นไม่สำคัญ แค่มีคนเริ่มสงสัยก็พอแล้ว จัดการตระกูลเหอให้สิ้นซาก และสาดโคลนใส่ฉินจิ่นห้าว ในขณะเดียวกันก็เด็ดปีกของเขาลงข้างหนึ่ง แบบนี้มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวจริงๆ แล้วนางจะไม่ยินดีทำได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น นางจึงล่อหลอกให้เหอเชิงพูดจาคลุมเครือดูมีความนัยและลากฉินจิ่วห้าวลงนํ้าไปด้วย ครั้งนี้ตระกูลเหอคงรอดยาก เพราะฉินจิ่นห้าวไม่เคยเป็นคนที่เสียสละศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อใคร
มู่ชิงเกอยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น ในสายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
นางใช้สายตาไร้ความรู้สึก มองใบหน้าที่เริ่มจะบิดเบี้ยวของฉินจิ่นห้าวเหมือนกำลังชมภาพวาดที่งดงามที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น
“เสด็จพ่อ! ลูกไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขอให้เสด็จพ่อให้ ความเป็นธรรมด้วย!” ฉินจิ่นห้าวเก็บความแค้นในใจเอาไว้ คุกเข่าลงแสดงความบริลุทธิ์ ตอนนี้สีหน้าของฉินชางดูแย่มากแล้ว ตอนแรกจะได้ดูงิ้วสนุกๆ สักฉาก แต่ไม่คิดว่าไฟจะกลับมาเผาตนเองเสียได้
ลูกชายของเขาที่ชื่อฉินจิ่นห้าวคนนี้ เป็นคนที่ทำให้เขาภูมิใจมาตลอด แต่ครั้งนี้กลับทำให้เขาผิดหวัง
ในสายตาของฉินชางมีความผิดหวังซ่อนอยู่ แม้คนรอบข้างจะไม่สังเกต แต่เจียงกุ้ยเฟยและฮองเฮาที่จับตามองท่าทีของเขาตลอดเวลานั้นเห็นทั้งหมด เจียงกุ้ยเฟยรู้สึกตกใจ กำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไร แต่ฮองเฮายิ้มร่าเบาๆ แล้วละสายตาจากฉินชาง
“ฝ่าบาท ห้าวเอ๋อร์แต่ไรมาก็เถรตรง แล้วจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร อีกอย่างพวกเราและตระกูลมู่ถือเป็นทองแผ่นเดียวกัน หากห้าวเอ๋อร์คิดจะฆ่าคุณชายตระกูลมู่จริงๆ ก็ต้องทนเห็นน้องสาวแท้ๆ ของตนเองเป็นหม้ายไม่ใช่หรือเพคะ?” เจียงกุ้ยเฟยบิดเอวที่อ่อนราวกับงู จนตัวของเธอแทบจะจมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของฉินชางแล้ว พูดด้วยนํ้าเสียงอ้อนๆ
ตอนนี้นางลืมฐานะของตนเองและสถานที่ไปแล้ว และลืมไปแล้วว่าบนแท่นที่สูงที่สุดยังมีบุคคลที่แม้แต่ฉินชางก็ไม่กล้าทำให้ไม่พอใจนั่งอยู่ คิดแต่จะใช้วิธีที่ตนเองถนัดที่สุดในการทำให้ลูกชายรอพ้ลจากข้อกล่าวหา ฉากๆ นี้ทำให้สีหน้าของฮองเฮายิ่งดูเหยียดหยาม ราวกับว่าเจียงกุ้ยเฟยที่งดงามที่สุดในวังหลังเป็นเพียงตัวตลกในสายตาของพระนาง
แผ่นอกที่สัมผัสกับความอ่อนนุ่ม ทำให้ฉินชางใจสั่น แต่โชคดีที่เขายังมีสติสัมปชัญญะ ค่อยๆ ผลักเจียงกุ้ยเฟยที่ตัวอ่อนราวไร้กระดูกออกไป และพูดกับฉินจิ่นห้าวอย่างเยือกเย็นว่า “หากเจ้าบริสุทธิ์จริง เหตุใดเหอเชิงถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากรัชทายาทหรือเราเล่า?” เขาจำเป็นต้องพูดแบบนี้ เพราะด้านบนยังมีเซียนท่านนั้นนั่งมองอยู่
“เสด็จพ่อ!” ฉินจิ่นห้าวมองเสด็จพ่อของตนด้วยความตกใจ เขาควรจะอธิบายอย่างไรดี?
ในดวงตาของเจียงกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางมองหาตระกูลตนเองท่ามกลางงานเลี้ยง แต่ทว่า เมื่อนางสบสายตาเข้ากับผู้เป็นบิดา บิดากลับส่ายหน้า ให้กับนาง
“ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา!” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม พอสายตาของทุกคนจ้องไปที่นาง นางจึงพูดต่อว่า “ข้าก็ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับรุ่ยอ๋อง แต่เหอเฉิงพูดแบบนี้ หากไม่จัดการให้รู้ความจริง แล้วลือกันออกไป เกรงว่าจะทำให้องค์ชายและเชื้ออพระวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียง รวมทั้งความเคารพนับถือจากผู้คนได้”
“ถูกต้อง เรื่องนี้ขอให้องค์ฮ่องเต้ให้ความเป็นธรรมกับตระกูลมู่ด้วย คนตระกูลของข้าทั้ง 2 รุ่นต่างเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อแคว้นฉิน วันนี้ทายาทเพียงคนเดียวของ ตระกูลถูกเจ้าคนตํ่าช้าลอบสังหารในงานเลี้ยง หากข่าวถูกแพร่ออกไป เกรงว่าไม่ใช่แค่ข้าที่เป็นท่านแม่ทัพเท่านั้นที่จะหมดความนับถือ” มู่ซงพูดเสียงดังไม่ยอมความ
คำพูดของปู่หลานตระถูลมู่ ไม่มีคำใดที่ชี้ตัวฉินจิ่นห้าวเลย แต่คำอธิบายกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่
ใช่! ข่มขู่แล้วอย่างไร?
ตระกูลมู่นั้นมีศักดิ์ศรี ใครก็อย่าหวังจะมาเหยียบบนหัวตระกูลมู่ได้
ที่ฝืนทน เป็นเพราะมู่ซงไม่อาจทนเห็นประชาชนแคว้นฉินต้องทุกข์ยากก็เท่านั้น
ไม่อย่างนั้น ทหารในปกครองของเขาคงจะถล่มพระราชวัง ตั้งแต่ตอนที่ลูกชายทั้ง 2 คนและภรรยาของเขาตายโดยไม่ทราบสาเหตุนั้นแล้ว
‘ตระกูลเหอ ครั้งนี้คงจบสิ้นแน่แล้ว!’
คนของตระกูลเหอต่างหน้าเสียและมองไปที่เหอเฉิงที่แทบจะละลายอยู่บนพื้น นัยน์ตามีความโกรธเกลียดที่ ไม่สามารถปิดบังได้
ฉินจิ่นห้าวที่คุกเข่าอยู่กับพื้นได้รับสัญญาณลับจากท่านแม่รีบพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกบริสุทธิ์ใจ หากตระกูลเหอมีหลักฐานว่าลูกคิดร้ายต่อตระกูลมู่ ลูกก็จะยอมรับผิดแต่หากไม่มีก็ขอให้ท่านพ่อลงโทษพวกเขาที่ใส่ความลูกด้วย!”
หลักฐานหรือ?
พวกเขาจะมีหลักฐานได้อย่างไร?
แบบนี้ก็หมายความชัดแล้วว่าจะให้ฮ่องเต้เอาชีวิตของคนทั้งตระกูลเหอเพี่อสยบเรื่องนี้ลง!
“ใช่ ตระกูลเหอ พวกเจ้ามีหลักฐานหรือไม่” ฉินชางหรี่ตา พูดด้วยนํ้าเสียงเย็น
บิดาของเหอเฉิงหลับตาลงอย่างหมดหวัง หมอบอยู่บนพื้นอย่างรู้ชะตากรรมของตนเองและอ้อนวอนว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมต้องมาเป็นเช่นนี้เพราะลูกชายทรพี กระหม่อมเองก็คงไม่อาจพูดอะไรได้ แต่ขอให้ฝ่าบาท ทรงเห็นแก่ความบากบั่นในการรับใช้พระองค์ และทรงเมตตาต่อเด็กน้อยในตระกูลเหอที่ไม่รู้เรี่องด้วย ทรงอย่าประหารชีวิตพวกเขาเลย”
‘ตระกูลเหออยากจะเก็บทายาทเอาไว้สักคนอย่างนั้นเหรอ’ มู่ชิงเกอก้มหน้าลง ขนตาอันยาวงอนปิดบังรอยยิ้มที่เย็นชาและแสนเยือกเย็นเอาไว้
ไม่ต้องให้นางลงมือทำอะไร ครั้งนี้ฉินจิ่นห้าวและตระกูลเหอก็กลายเป็นศัตรูกันแล้ว หากครั้งนี้ฮ่องเต้จะปล่อยลูกหลานตระกูลเหอไปจริงๆ ภายใต้การตามไล่ล่า สังหารของรุ่ยอ๋อง พวกเขาก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรอก
นางเลือดเย็นไร้นํ้าใจงั้นหรือ?
เหอะ นางก็เพียงยุยงไปไม่กี่คำ ต้องการแค่คำอธิบายและคำตัดสินเท่านั้น แต่การตัดสินใจของราชวงศ์ต่างหากที่เลือดเย็นอย่างแท้จริง
หากวันนี้การปองร้ายของเหอเฉิงสำเร็จ หากนางตายอยู่ตรงนี้ นางกล้ารับรองว่า ในขณะที่ตระกูลมู่กำลังพบเจอ กับความเจ็บปวดครั้งยิ่งใหญ่นั้น จะเป็นโอกาสอันงามในการลงมือของบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย
ตระกูลมู่ จะไม่มีอยู่อีกต่อไป ท่านปู่และท่านอาของนางทั้งสองคนที่เป็นญาติที่สนิทที่สุดของนางก็คงยากจะหลบเคราะห์กรรมครั้งนี้พ้น เกรงว่ากระทั่งตายไปแล้วแม้แต่ที่จะฝังกระดูกก็ยังไม่มี
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะยืดเยื้ออีกต่อไป
ฉินชางที่ยังไม่ลืมเรื่องสำคัญของคืนนี้ในใจคิดแต่จะจัดการเรื่องนี้ให้ไวที่สุด “เหอเฉิงวางแผนปองร้ายมู่ชิงเกอคุณชายตระกูลมู่ ตามกฎหมายแล้วต้องประหาร แล้วยังกล้าใส่ความรุ่ยอ๋อง จึงต้องโทษประหาร 9 ชั่วโคตร แต่เราเห็นแก่ตระกูลเหอที่ทำงานเพื่อแผ่นดินมานานหลายปีลูกหลานตระกูลเหอที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ให้ละเว้นโทษตาย แต่ปลดลงเป็นทาส เนรเทศไปอยู่ชายแดน”
“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย!”
ขณะที่ถูกทหารลากตัวไป เหอเชิงจึงร้องเสียงแหลม เหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจ เขาอีกต่อไป
หลังจากที่คนตระกูลเหอถูกพาตัวออกไป ไม่มีใครคิดเลยว่างานเลี้ยงต้อนรับมหาปราชญ์ในครั้งนี้ กลับกลายเป็นตัวเร่งให้พวกเขาตายเร็วยิ่งขึ้น ท่ามกลางเสียงจอแจของทุกคน ฉินชางมองไปยังฉินจิ่นห้าวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “แม้รุ่ยอ๋องจะถูกใส่ความ แต่โทษของความไม่รอบคอบก็ไม่สามารถปล่อยไปได้ เราขอลงโทษให้เจ้าไปสงบสติอารมณ์ที่อารามหลวงเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อคัดลอกพระคัมภีร์แทนไทเฮาและอธิษฐานขอพรให้กับแคว้นฉิน”
แบบนี้โอกาสที่จะเป็นคนที่มหาปราชญ์เลือกก็คงจะหมดไปแล้วสินะ
ฉินจิ่นห้าวอึ้ง ความเกลียดที่มีต่อตระกูลมู่เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า แต่ก็ทำได้แค่ยอมรับกรรมและเก็บอารมณ์โกรธภายในใจเอาไว้
“คืนนี้มู่ชิงเกอเสียขวัญ เราจะมอบทอง 20,000 ชั่ง ของมีค่าอีกมากมายให้กับเจ้า เพื่อเป็นการปลอบใจ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” มู่ชิงเกอรับด้วยรอยยิ้ม พาท่านปู่และท่านอาของตนเองกลับไปยังที่นั่งของตระกูลมู่
ในที่สุดก็จัดการเรื่องทั้งหมดจนเสร็จสิ้น ฉินชางค่อยๆ หันไปมองชายหนุ่มที่หน้าเย็นชาเหมือนพระจันทร์วันเดือนดับ “มหาปราชญ์ขายหน้าพระองค์แล้ว ถ้าอย่างนั้นในบรรดาหนุ่มๆ ในแคว้นฉินมีใครพอจะเข้าตาพระองค์บ้างหรือไม่?”
ตาสองชั้นของซือมั่วค่อยๆ ลืมขึ้น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออันกว้างใหญ่ชี้ไปที่ไกลๆ แล้วพูดว่า “เขาแล้วกัน”