ตอนที่ 422
พระชายากล้าหาญมาก!
“พวกเราออกไปกันเถอะ!” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พูดขึ้นมา
“หา?”
กู่หยาและกู่เย่มองนางอย่างแปลกใจ
กู่หยาพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “พระชายา เรื่องด้านนอกพวกเขาสามารถจัดการได้ ท่านไม่ต้องออกไปเสี่ยงหรอก ถึงท่านจะบอกว่าเคยพบเจอกับเผ่าอี้ แต่พลังของ ท่านในตอนนี้…,”
คำพูดช่วงหลังเขายังพูดไม่จบแต่ความหมายก็ชัดเจนแล้ว
มู่ชิงเกอก็ไม่ใส่ใจ เพียงแต่มองทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้างกายของพวกเจ้ามีคนที่สามารถควบคุมลมได้หรือไม่?”
ควบคุมลม?
กู่หยาและกู่เย่ไม่เข้าใจแต่ก็ยังคงพยักหน้า
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างพอใจ แล้วสงคนทั้งสองคนว่า “ดีมากไปเรียกพวกเขามา”
พูดแล้วนางเปิดประตูเดินออกไป
“คุณชายคิดจะทำอะไร?” กู่หยาดึงกู่เย่เอาไว้แล้วถาม
กู่เย่ส่ายหน้า ดึงแขนเสื้อกลับแล้วเดินตามออกไป
บนกำแพง ปรากฏตัวประหลาดตัวเล็กมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนริมฝังแม่น้ำตรงกันข้ามก็ยังมีตัวประหลาดตัวเล็ก หนุนเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ถึงจะพูดว่าการโจมตีของเผ่ามารได้ผล แต่ก็สามารถขัดขวางได้อย่างจำกัด
เผ่าอี้ผิวสีเขียวพวกนี้เคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปยากที่จะโจมตีโดนได้
อีกทั้งหากว่าโจมตีไม่ตายในกระบวนท่าเดียวพวกมันก็ยังสามารถแยกร่างออกมามากกว่าเดิมได้อีก ทำให้ทหารเผ่ามารไม่สามารถป้องกันได้
ดังนั้นนอกจากที่กู่หยาและกู่เย่บอกว่าต้องมีพลังขั้นจิตวิญญาณขั้นสามขึ้นไปถึงจะฆ่าเผ่าอี้ตัวเล็กนี่ได้แล้ว ก็ยังมีอีกเงื่อนไขก็คือต้องฆ่าให้ตายในกระบวนท่าเดียว
เหมือนอย่างเช่นที่สั่วเซิ่งกำจัดเผ่าอี้ตัวเล็กที่พุ่งเข้ามาหามู่ชิงเกอจนขาดออกเป็นสองท่อน
หรือเปลวไฟที่หยวนฟงสั่งยิงออกไปที่ระเบิดทำลายเผ่าอี้ตัวเล็กจนแหลกในครั้งเดียว
“เจ้าพวกตัวน่ารำคาญเหล่านี้! เผ่าอี้ไม่มีการลูกไม้อย่างอื่นแล้วหรือไร? ทุกครั้งล้วนแต่มาไม้นี้ น่าหงุดหงิดจริงๆ!” เซ่อฉินฆ่าเผ่าอี้ตัวเล็กที่เข้ามาใกล้สลัด ของเหลวสีเขียวทิ้งแล้วพูดอย่างรำคาญใจออกมา
สั่วเซิ่งก็กำลังฆ่าศัตรูเช่นเดียวกัน เมื่อได้ยินเซ่อฉินบ่น เขาก็ยิ้มเย็นพูดออกมาว่า “ถึงแม้ว่าพวกมันจะใช้พวกตัวเล็กมาเป็นแนวหน้าบุกทะลวงตลอด แต่ก็ได้ผลทุก ครั้ง”
“เชอะ! เป็นแค่พวกหุ่นเชิดเท่านั้น พวกเผ่าอี้ที่เจ้าเล่ห์เอาแต่หลบอยู่ในหมอก” เซ่อฉินพูดอย่างไม่พอใจ
“นี่เป็นกลยุทธ์ของพวกมัน ผู้ควบคุมพวกนั้นไม่มีพลังโจมตีหรือป้องกัน จึงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่กลางกองทัพและหมอกหนา แต่หากเจ้าไม่พอใจ ทำไมพวกเราสองคนถึงไม่พาคนวิ่งไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อฆ่าผู้ควบคุมที่กลางกองทัพนั้นเล่า?” สั่วเซิ่งหัวเราะเยาะ
สีหน้าของเซ่อฉินเปลี่ยนไป แค่นเสียงเย็น “ช่างเถอะ”
เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ท่ามกลางกองทัพเผ่าอี้นับแสน เพื่อหาตัวผู้ควบคุมแล้ว เขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
ถึงเขาจะมีความสามารถเทียมฟ้าก็ไม่กล้าเสี่ยงเช่นนั้น
“พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจมาพูดคุยกันอีกหรือ ยังไม่รีบฆ่าอีก!” ชิงเจ๋อฆ่าเผ่าอี้ตัวเล็กตรงหน้าของตนเองแล้วก็ขมวดคิ้วหันไปเอ่ยกับสั่วเซิ่งและเซ่อฉิน
เมื่อพูดจบเขาก็ตวัดมือฆ่าเผ่าอี้ตัวเล็กที่พุ่งเข้ามาอีกตัว เผ่าอี้ตัวเล็กพุ่งขึ้นมาบนกำแพงเยอะขึ้นเรื่อยๆ พุ่งเข้าต่อสู้กับทหารมารบนกำแพง ทหารมารไม่มีเวลาป้องกันระยะไกลทำให้มีเผ่าอี้ตัวเล็กข้ามแม่นํ้ามาได้มากยิ่งขึ้น
การต่อสู้ทั้งนอกและในกำแพงดุเดือดมากยิ่งขึ้น
ใครจะรู้ว่าครั้งนี้เผ่าอี้จะบุกโจมตีอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้ ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาได้เตรียมตัวเลย
การลองเชิงก่อนหน้านี้ทำให้เกิดการต่อสู้จริงในวันนี้
ในเวลานี้จากใต้กำแพงสูงยาวไปจนสุดอีกฝั่งของแม่นํ้าเมิ่งหลานเต็มไปด้วยเผ่าอี้ตัวเล็ก พวกมันเหยียบกันและกันป่ายปีนขึ้นมาบนกำแพง
หยวนฟงมองเห็นฉากนี้แล้วก็ตกใจมาก เขาวิ่งไปด้านข้างหลิงจิว รีบพูดว่า “พวกตัวเบี้ยพวกนี้บุกเข้ามาอย่างรุนแรงเกินไป เกรงว่าจะรักษากำแพงเอาไว้ไม่ได้ แล้ว”
พลังมารสีดำโบกสะบัดรอบกายหลิงจิว ทำให้เผ่าอี้ตัวเล็กห้าหกตัวที่อยู่ในอาณาเขตรอบตัวเขาสามฉื่อกลายเป็นของเหลวสีเขียวไป
ใบหน้างดงามราวกับปีศาจของเขาดูเย็นยะเยือก พูดกับหยวนฟงว่า “ย้ายกำลังคนมาเฝ้ากำแพง ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าให้เผ่าอี้ทำลายได้!”
สีหน้าของหยวนฟงฉายแววลำบากใจ แต่ก็ไม่ได้ชักช้า หันกายจากไปทันที
เพียงหยวนฟงจากไป สีหน้าของหลิงจิวก็ดูยํ่าแย่ลงไปอีก เขาพยายามมองหาชิงเจ๋อแล้วขยับเข้าไปใกล้
เมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว หลิงจิวถึงพูดกับชิงเจ๋อว่า “การบุกโจมตีครั้งนี้มาอย่างเหนือความคาดหมาย พวกเราเตรียมการไม่ทัน ทำให้ต่อสู้ได้ยากลำบากมาก’’
ชิงเจ๋อมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็พูดเสียงเข้มว่า “ก็ไม่ถือว่าเหนือความคาดหมาย เพราะที่ไม่มีการลองเชิงในวันนี้ก็คือการแจ้งเตือนแล้ว เพียงแต่พวกเราพลาดไปเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้วเขาก็ขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกแค้นใจตนเอง
ความผิดปกติในวันนี้ หากพวกเขาคิดให้ละเอียด เตรียมการรบให้พร้อมก็คงไม่เป็นเช่นนี้
“เจ้าอย่าได้คิดเช่นนี้เลย พวกเราก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้ พวกพระชายาก็ยิ่งเพิ่งจะมาถึง ใครจะคาดเดาได้ว่าจะมีการบุกโจมตีในเวลานี้?” หลิงจิวปลอบใจ
ชิงเจ๋อพยักหน้าเงียบๆ “ไม่ว่าจะอย่างไร การศึกในครั้งนี้พวกเราก็ต้องชนะ ไม่ว่าการแพ้ชนะจะเกี่ยวข้องกับพระชายาหรือไม่ นางก็จะต้องทนรับคำครหา อย่าให้ พวกสั่วเซิ่งมีข้ออ้างได้”
หลิงจิวสีหน้าย่ำแย่ “ข้าว่าทางที่ดีที่สุดก็คือองค์ราชาต้องกลับมาโดยเร็ว!”
เพียงแค่มีองค์ราชาอยู่ เจ้าพวกตัวตลกเหล่านี้จะน่ากลัวอะไร? ความเสี่ยงที่พระชายาแบกรับก็จะหายไปด้วย
“องครักษ์มารกำลังค้นหาอยู่ แต่ยังไม่มีข่าวคราวในตอนนี้” ชิงเจ๋อขมวดคิ้ว
หลิงจิวยิ้มเย็น “ดังนั้นพวกเราก็ต้องคุ้มครองผู้หญิงของราชา ก็ไม่รู้ว่าองค์ราชาไปหาพระชายามาจากไหน ระดับพลังถึงได้ตํ่าเช่นนี้ ต่ำจนข้าคิดว่านางไม่มีพลังเลย ด้วยซํ้า”
นัยน์ตาของชิงเจ๋อฉายแวววาววาบ คาดเดาว่า “บางที อาจจะเป็นเพราะมีองค์ทายาท”
“เผ่ามารของพวกเราจะระดับพลังตํ่าลงเมื่อตั้งครรภ์งั้นหรือ?” หลิงจิวชะงัก เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน
มุมปากของชิงเจ๋อกระตุก “สายเลือดขององค์ราชาใช่ สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้หรือ?”
ทั้งสองคนพูดไปฆ่าศัตรูไป
เวลานี้เองหลิงจิวก็สังเกตเห็นเงาร่างสีแดงวาบผ่านไป ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาก็ฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นมา กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ใช่นางหลบไปแล้วหรือ? โผล่ออกมาอีก ทำไม?”
ชิงเจ๋อมองตามสายตาเขาไปก็เห็นมู่ชิงเกอพากู่หยาและกู่เย่ออกมาปรากฎตัวบนกำแพงอีกครั้ง
ไม่เพียงแต่เขาที่มองเห็น พวกสั่วเซิ่งและเซ่อฉินก็เห็นเช่นเดียวกัน
สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนไปในพริบตา เร่งความเร็วในการสังหาร พุ่งไปยังฝั่งมู่ชิงเกอ
“น่าตายนัก! ผู้หญิงคนนี้คิดจะหาเรื่องตายหรืออย่างไร คิดจะลากให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วยงั้นหรือ?” เซ่อฉินพูดอย่างแค้นเคือง
สั่วเซิ่งก็สบถออกมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า ‘สร้างความวุ่นวาย’
“ก่อนหน้านี้หลังจากที่ข้าได้ยินนางวิเคราะห์ก็ยังคิดว่า นางไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วๆ ไป แต่ตอนนี้กลับไม่รู้จักตายมาโผล่อยู่ที่นี่อีก นางรู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้จะทำร้ายคนมากเท่าไหร่? มาก่อความวุ่นวายจริงๆ!” นัยน์ตาของหลิงจิวฉายแววดุดัน ใบหน้างดงามบิดเบี้ยว
ชิงเจ๋อมองเห็นสั่วเซิ่งและเซ่อฉินที่เข้าไปใกล้ตำแหน่งที่มู่ชิงเกอยืนอยู่ ก็พูดเสียงเข้มกับหลิงจิวว่า “พวกเราไป”
เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่พุ่งเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอจากต่างทิศ
ส่วนกู่หยาและกู่เย่ก็คุ้มครองมู่ชิงเกอ ฆ่าเผ่าอี้ตัวเล็กที่เข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้มีองครักษ์มารสี่คนคุ้มครองอยู่กลางอากาศ รอบกายของพวกเขามีสายลมหมุนวน ทั้งสี่คนตะโกนพร้อมกัน ร่วมกันควบคุมสายลมให้พุ่งเข้าไปยังหมอกหนาอีกด้านหนึ่งของแม่นํ้าเมิ่งหลาน
มู่ชิงเกอหยิบปืนไรเฟิลออกมาวางพาดบ่าแล้วเล็งไปอีก ด้านของแม่นํ้า ปืนไรเฟิลอันนี้เป็นของที่เหลือหลังจากนางหลอมให้เซวี่ยนขุย
ปืนไรเฟิลเป็นปืนโจมตีระยะไกลสามารถยิงไปถึงกองทัพเผ่าอี้ฝั่งตรงกันข้ามของแม่นํ้าได้
ถึงแม้สายตาของมู่ชิงเกอจะไม่ได้ดีเท่าเซวี่ยนขุยแต่หากเทียบกับคนธรรมดาแล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามาก ดังนั้นนางจึงสามารถใช้ปืนกระบอกนี้ได้เช่นกัน มู่ชิงเกอยืนอยู่บนกำแพง มีกู่หยาและกู่เย่คอยคุ้มครองอยู่ด้านซ้ายและขวา และยังมีองครักษ์มารอีกมากมายพุ่งเข้ามา คุ้มครองนางไว้ตรงกลาง ขวางไม่ให้เผ่าอี้ตัวเล็กเข้าใกล้
แต่พวกเขาสามารถป้องกันเพียงแค่เผ่าอี้ที่อยู่บนกำแพง ไม่สามารถป้องกันเผ่าอี้ตัวเล็กที่ปีนกำแพงขึ้นมาได้
บนตำแหน่งกำแพงที่มู่ชิงเกอยืนอยู่เต็มไปด้วยเผ่าอี้ตัวเล็กที่ปีนขึ้นมา
เสียงแหลมเหล่านี้พุ่งเข้าไปทำลายเกราะป้องกันบนกำแพงอย่างต่อเนื่อง ดีที่กองทัพมารมีวิธีป้องกันตนเอง และมู่ชิงเกอก็ไม่กลัวการโจมตีชนิดนี้
สายลมขนาดใหญ่พัดไปบนแม่นํ้าเมิ่งหลาน เกิดระลอกคลื่นบนแม่นํ้า ม้วนเผ่าอี้ตัวเล็กที่ต่อตัวเป็นสะพานลอยนํ้าให้ปลิวกลับไปยังกองทัพใหญ่ของพวกมัน
พายุหมุนขนาดใหญ่พัดหมอกกระจายไปทำให้มองเห็นโฉมหน้ากองทัพใหญ่ของเผ่าอี้
องครักษ์มารสี่คนบนกำแพงไม่ได้หยุดมือแค่นี้ พวกเขาร่วมมือกันส่งพายุหมุนลูกที่สอง ลูกที่สาม ลูกที่สี่ออกไปยังฝั่งตรงกันข้ามอีก
พลังมารในร่างกายถูกใช้ออกไปอย่างต่อเนื่อง…
พระชายาสั่งการพวกเขาให้ส่งลมออกไปพัดหมอกหนา ฝั่งตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
ภาพกองทัพใหญ่นับแสนของเผ่าอี้ทำให้กองทัพมารข้างแม่น้ำเมิ่งหลานตกตะลึง
ดวงตาของมู่ชิงเกอที่เล็งอยู่ตลอดหรี่เล็กลง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา
นางมองเห็นแล้ว!
ปัง!
ไกปืนในมือลั่นขึ้น
กระสุนลอยออกจากลำกล้องปืนผสมกับพลังวิญญาณของนาง พุ่งตรงไปที่กองทัพเผ่าอี้อีกด้านหนึ่งของแม่นํ้า
เผ่าอี้ตัวสูงตัวหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางกองทัพเผ่าอี้ถูกยิงเข้าที่กลางหน้าผาก เลือดสีเขียวไหลออกจากจากบาดแผล แล้วก็ล้มลงตายไป
เพียงแค่มันล้มลง ตัวประหลาดตัวเล็กที่อยู่รอบตัวมันก็หายไปในพริบตา พร้อมกันกับพวกเผ่าอี้ที่ถูกลมม้วนอยู่กลางอากาศและที่ปีนกำแพงอยู่
มู่ชิงเกอมองเห็นฉากนี้ผ่านลำกล้องแล้วรอยยิ้มก็ยิ่งกดลึกขึ้น
‘ตัวประหลาดดัวเล็กต้องไช้พลังขั้นจิตวิญญาณชั้นสามขึ้นไปถึงจะฆ่าให้ตายได้ แต่เผ่าอี้ตัวใหญ่นั้นไม่จำเป็น!’
มู่ชิงเกอเล็งปืนไรเฟิลในมืออีกครั้ง
ปัง ปัง ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และทุกๆ การยิงก็สามารถเอาชีวิตของเผ่าอี้ตัวใหญ่ได้ ทั้งเผ่าอี้ตัวเล็กที่พวกมันควบคุมก็หายไปด้วยเช่นกัน
มู่ชิงเกอยิงปืนออกไปอย่างเฉียบคม เผชิญหน้ากับเผ่าอี้ที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ฝั่งทางเผ่ามาร องครักษ์มารกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเผ่าอี้กลุ่มใหญ่ถูกทำลายไปมากมาย จึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
พวกเขายิ่งเพิ่มแรงในการควบคุมลมไปพัดหมอกหนามากขึ้นอีก
ปัง ปัง ปัง!
เผ่าอี้ตัวเล็กบนกำแพงน้อยลงไปเรื่อยๆ ดูเหมือนพวกมันจะหายไปก่อนที่จะโดนอาวุธของทหารเผ่ามารเสียอีก
ทหารเผ่ามารตกตะลึง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อไม่มีเผ่าอี้ตัวเล็กขวางอยู่ ในที่สุดเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ก็พุ่งเข้ามาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
พวกเขาเองก็มองเห็นว่ามู่ชิงเกอกำลังเหนี่ยวไกปืนไรเฟิลและยิงออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยท่าทางห้าวหาญ ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าอาวุธที่อยู่ในมือของพระชายาคืออะไร และก็ไม่เข้าใจว่าพระชายากำลังทำอะไรอยู่
แต่พวกเขาก็รู้ว่าทุกครั้งที่พระชายาขยับมือก็จะมีเผ่าอี้ตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนหายไป และเผ่าอี้สีเขียวที่ปีนอยู่เต็มกำแพงก็ลดลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ถึงจะโง่แค่ไหน พวกเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกออย่างแน่นอน!
ทหารเผ่ามารที่อยู่บนกำแพง มองเงาร่างสีแดงที่ยืนอยู่บนกำแพงอย่างตกตะลึง พวกเขามองอาวุธที่ไม่รู้ว่าคืออะไรในมือของนางและมองดูเผ่าอี้ที่หายไปอย่างแปลกประหลาดพวกนั้น…