ตอนที่ 425
พระชายาเหนือฟ้า!
การแบ่งระดับในกองทัพเผ่าอี้?
หลังจากหยวนฟงคิดถึงคำถามของมู่ชิงเกอแล้วก็เข้าใจความหมายของนางในทันที เขาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ทูลพระชายา นับแสนปีที่เผ่าอี้และเผ่ามารทำสงครามกันมามีทหารปรากฎออกมาให้เห็นสามชนิด สองชนิดในนั้นก็คือที่พระชายาเห็นและทำลายในวันนี้”
ตัวสีเขียวตัวใหญ่และตัวเล็ก!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เข้าใจแล้ว
‘ยังมีอีกชนิด…’ นางคิดในใจ
เสียงของหยวนฟงดังขึ้นต่อว่า “ยังมีอีกชนิดหนึ่งก็คือตัวประหลาดสูงเกือบสิบจั้ง มีสีดำตลอดร่างราวกับเหล็กทมิฬ ผอมแห้งแต่แข็งแรงมาก ครึ่งคนครึ่งสัตว์ ถือค้อนใหญ่ในมือและมีพละกำลังมหาศาล ที่สำคัญคือพวกมันตายยากมาก การโจมตีธรรมดานั้นแทบจะไร้ผล เพราะพวกมันสามารถฟื้นฟูได้ในพริบตา นอกจากเสียจากว่าจะทำลายพวกมันจนแหลกในกระบวนท่าเดียวถึง
จะทำให้พวกมันตายลงได้จริงๆ”
‘สูงใหญ่และมีพละกำลังมหาศาล มีพลังการฟื้นฟูที่แข็งแกร่ง!’ มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลงจับจุดเด่นของตัวประหลาดได้แล้ว
หยวนฟงคิดแล้วก็พูดต่อว่า “ตามปกติแล้วตัวประหลาดชนิดนี้จะมีสัดส่วนน้อย ในการศึกก่อนหน้านี้ พบเห็นมากที่สุดเพียงสามตัวเท่านั้น แต่เพียงแค่สามตัว ก็ทำให้เกิดความเสียหายมากกับทหารของเรา นี่ก็เป็นเพราะเผ่ามารนั้นเน้นฝึกความแข็งแกร่งทางร่างกาย ข่าวที่มาจากเผ่าเทพระบุว่าทุกครั้งที่ตัวประหลาดชนิดนี้ปรากฎ ฝั่งของพวกเขาก็จะบาดเจ็บล้มตาย สถานการณ์ในสนามรบดุเดือดมากทีเดียว”
‘ดูแล้ว เผ่าอี้ชนิดนี้น่าจะเป็นบอสเล็กสินะ’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
“สามชนิดนี้เป็นสามชนิดที่ปรากฎให้เห็นยามต่อสู้กัน และก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะมีเพียงแค่สามชนิดหรือไม่ อีกทั้งผู้นำทัพของพวกมันก็ลึกลับมาก ไม่เคยปรากฎตัวให้เห็นเลย เอาแต่หลบคอยสั่งการอยู่ในกองทัพ” หยวนฟงพูด
เขาพูดมาถึงตรงนี้ก็พบว่ามู่ชิงเกอเริ่มครุ่นคิด จึงหยุดพูด
เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ก็มองมู่ชิงเกอ เมื่อมองเห็นท่าทางของนางแล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน
พวกเขาอยากจะฟังว่าพระชายาที่ทำให้ทุกคนอัศจรรย์ใจผู้นี้จะเสนอแผนการที่ยอดเยี่ยมอะไรออกมาอีก
แต่ผ่านไปครู่หนึ่งมู่ชิงเกอก็ไม่มีทีท่าที่ว่าจะพูดอะไร
หยวนฟงมองไปยังคนอื่นๆ แล้วก็อดพูดไม่ได้ว่า “พระชายา พวกเราส่งคนแอบข้ามแม่นํ้าไปฆ่าผู้นำทัพของพวกมัน ทำให้พวกมันถอยทัพกลับไปเองเป็นอย่างไร?”
“โง่เง่า!” มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูด เซ่อฉินก็ตำหนิออกมาอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อถูกเขาตำหนิหยวนฟงก็ก้มหน้าลง แต่ว่าเซ่อฉินก็ไม่ยอมปล่อยเขา พูดต่อว่า “สายลับที่เจ้าส่งออกไปก่อนหน้านี้ล้วนถูกฉีกกลายเป็นชิ้นกลับมา เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าต้องการคนกี่คน ต้องการยอดฝีมือสักเท่าไหร่ถึงจะสามารถไปฆ่าผู้นำทัพของพวกมันกลางกองทัพเผ่าอี้นับแสนได้?”
สั่วเซิ่งก็ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เกรงว่าคนที่เจ้าส่งออกไปจะถูกฆ่าตายหมดก่อนที่จะถึงตัวผู้นำทัพเผ่าอี้!”
หยวนฟงถูกทั้งสองคนตำหนิจนหน้าแดงหูชา แทบอยากจะหาหลุมมุดลงไป
ส่วนชิงเจ๋อและหลิงจิวก็ไม่พูดอะไร ไม่เห็นด้วยกับความคิดของหยวนฟงเช่นกัน
แต่ในตอนนี้มู่ชิงเกอกลับพูดขึ้นว่า “ก็ไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้น”
หา!
เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่มองนางอย่างแปลกใจ สงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่ หยวนฟงก็เงยหน้ามองดูนางอย่างตกใจ
มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองทุกคนด้วยนัยน์ตาที่ เรียบสงบ “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องม้าไม้แห่งเมืองทรอยหรือเปล่า”
ม้าไม้แห่งเมืองทรอย?
อะไรกันน่ะ?!
เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่มึนงง หยวนฟงก็งง แม้แต่กู่หยาและกู่เย่ก็เผยท่าทีสงสัยออกมา
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่เคยได้ยินเรื่องม้าไม้แห่งเมืองทรอยอย่างแน่นอน
“พูดกันว่าเมื่อนานมาแล้วมีแคว้นๆ หนึ่งคิดจะโจมตีแคว้นศัตรู แต่เมืองของแคว้นศัตรูนั้นแข็งแกร่งมาก เมื่อนานเข้าไม่สามารถโจมตีได้จึงแกล้งถอยทัพ เหลือไว้เพียงแค่ม้าไม้ขนาดใหญ่ ทหารในเมืองคิดว่าเป็นของรางวัลจากสงครามจึงนำม้าไม้กลับเข้าไปในเมือง ในคืนนั้นเอง ทหารที่แอบอยู่ในท้องม้าไม้ก็ลอบออกมาเปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพด้านนอกและโจมตีเมืองได้สำเร็จ”
นางยอมรับว่านางไม่มีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่อง เรื่องเล่านี้จึงถูกนางเล่าจนดูเรียบง่ายไร้ความน่าสนใจ จนกระทั่งนางพูดจบแล้วเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ หยวนฟง รวม
ทั้งกู่หยาและกู่เย่ล้วนแต่มองนางอย่างตะลึง มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก รู้สึกพ่ายแพ้
กระโจมวางกลยุทธ์เงียบสงัด…
ครู่หนึ่งสั่วเซิ่งถึงได้ขมวดคิ้วพูดว่า “คนในเรื่องนี้ฉลาดมาก แต่พวกเราเป็นฝ่ายรักษาเมือง พวกมันเป็นฝ่ายบุกโจมตี เรื่องที่พระชายายกเป็นตัวอย่างนี้ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ ในใจพูดว่า ‘ที่แท้ยังมีคนเข้าใจเรื่องที่นางพูด ถึงจะเข้าใจไม่หมดก็ตาม’
“ความหมายของพระชายาก็คือพวกเราสามารถยืมแผนม้าไม้เพื่อเข้าใกล้ผู้นำทัพเผ่าอี้?” หลังจากที่ชิงเจ๋อ ครุ่นคิดแล้วก็ลองเอ่ยหยั่งเชิงออกมา มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นรู้สึกซาบซึ้งใจ ในที่สุดก็มีคนเข้าใจแล้ว!
“แต่พวกเราจะทำอย่างไร?” หลิงจิวขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
เซ่อฉินอดทนไม่ไหวพูดตรงๆ ออกมาว่า “พระชายา ท่านพูดให้ชัดเจนเถอะ อย่าให้พวกเราเดาอีกเลย หากว่ามีแผนการดีๆ ก็พูดออกมาให้พวกเราฟัง หากว่าทำได้พวกเราก็จะทำตามที่ท่านสั่ง!”
ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
มู่ชิงเกอวางสองมือลงบนโต๊ะค่อยๆ ยืนขึ้นมา มองไปยังทุกๆ คนแล้วพูดว่า “เจ้าเมืองย่อยชิงเจ๋อพูดไม่ผิด พวกเราสามารถยืมแผนม้าไม้มาใช้ได้”
นัยน์ตาของคนทั้งเจ็ดคนในห้องเปล่งประกาย ฟังอย่างตั้งใจ
“กระบวนท่าเดียวจะสำเร็จหรือไม่ จะสามารถจบการศึกในครั้งนี้ได้เร็วที่สุดหรือไม่ก็ต้องพึ่งความสามารถของเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่แล้ว” มู่ชิงเกอมองไปยังร่างของทั้งสี่คน
การมองในครั้งนี้ทำให้ทั้งสี่คนยืดตัวตรงขึ้นมา
มู่ชิงเกอโบกมือให้พวกเขามาล้อมวงอยู่รอบกระบะทราย มู่ชิงเกอชี้ไปยังกระบะทรายแล้วพูดว่า “พวกเราสามารถทำเช่นนี้…”
นางอธิบายแผนการในใจของนางออกไปอย่างละเอียด
ยิ่งฟังไปนัยน์ตาของทั้งสี่คนก็ยิ่งเป็นประกายมากยิ่งขึ้น หลังจากมู่ชิงเกอพูดจบแล้วคนทั้งเจ็ดในห้องก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้
ใครจะพูดว่าพระชายาทำสงครามไม่เป็นอีก?
ใครยังจะกล้าพูดว่าพระชายารู้จักการทำสงครามแค่บนกระดาษอีก?!
ไปตายซะเถอะ!
พระชายาผู้นี้เหนือฟ้าจริงๆ! พวกเขาอยู่มาตั้งหลายหมื่นปี ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนเก่งการรบเช่นพระชายามาก่อน!
เหมือนคิดกลยุทธ์ต่อต้านศัตรูออกมาได้ง่ายๆ
ทั้งยังเป็นแผนซ้อนแผนต่อเนื่องกัน จนหลังจากพวกเขาฟังแล้ว ในใจก็เกิดความคิดขึ้นว่า หากตนเองเป็นผู้นำทัพเผ่าอี้พบเจอสถานการณ์เช่นนี้ก็คงหมดปัญญาตอบโต้เช่นกัน
หลังจากชิงเจ๋อฟังแผนการของมู่ชิงเกอจบ ก็จำลองสถานการณ์ในใจ
แต่ถึงเขาจะจำลองสถานการณ์หลายต่อหลายครั้งก็ยังได้แต่ส่ายหน้าอย่างขมขื่น ไม่ว่าเขาจะพยายามทำลายแผนการอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกจากฝ่ามือของมู่ชิงเกอได้
“องค์ราชาไปหาพระชายามาจากไหนกัน?” หลิงจิวพึมพำ บนใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตกตะลึง!
ชิงเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กดเสียงต่ำพูดที่ข้างหูของเขาว่า “คำถามนี้ข้าเองก็สงสัยนัก หากว่ามีโอกาสจะต้องไปถามองค์ราชาให้ชัดเจน”
พวกเขาล้วนแต่ยังไม่มีภรรยาเอก สามารถไปหาจากแถวบ้านของพระชายาได้!
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรในใจ หลังจากพูดแผนการของตนเองจบแล้วก็ถามว่า “ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือไม่?”
ทั้งเจ็ดคนเก็บความคิดในใจกลับ พูดพร้อมกันว่า “ไม่มี”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ในเมื่อไม่มีแล้ว เช่นนั้นก็ทำตามแผนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา!”
คำๆ นี้ไม่มีความอึดอัดใจอยู่เลย แต่ในใจของไม่กี่คนนี้กลับมีความรู้สึกภาคภูมิใจเกิดขึ้น
วู๊ด!
วู๊ด!
เช้าวันถัดมาเสียงแตรก็ดังขึ้นที่แม่นํ้าเมิ่งหลาน
บนกำแพงเมืองนับร้อยจั้งของเผ่ามาร มีเงาร่างคนและเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
มู่ชิงเกอสวมชุดออกรบยืนอยู่บนกำแพง กู่หยาและกู่เย่ยังคงยืนอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ก็สวมชุดออกรบ ท่าทางดูเคร่งขรึม
หมอกสีดำหนาแน่นที่อีกฝั่งของแม่นํ้าเมิ่งหลานถูกพัดออกไปเผยให้เห็นกองทัพใหญ่ของเผ่าอี้
กองทัพนับแสนปรากฎอยู่ตรงหน้าของทหารเผ่ามารดูน่าตกใจมาก
เผ่าอี้ผิวสีเขียวเหล่านั้นตัดกันกับแม่นํ้าสีดำอย่างเห็นได้ชัด ภายในกองทัพของพวกมันมีตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์รูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ห้าตัว เป็นชนิดที่สามที่หยวนฟงพูดถึง
“มีถึงห้าตัว!” นัยน์ตาของหยวนฟงหดตัวลง พูดออกมาอย่างตกใจ
“เพิ่มมาอีกตัวก็ไม่กลัว” สีหน้าของมู่ชิงเกอดูเป็นปกติ
“กู่เย่เจ้าเข้าร่วมกับพวกเขา แบ่งไปหนึ่งตัว”
กู่เย่รับคำสั่งเงียบๆ เพิ่มพลังในร่างขึ้น
“พวกเจ้าดู ที่ลอยมาบนฟ้านั้นคืออะไร?” ทันใดนั้นก็ มีเสียงดังขึ้นมาในกองทหารเผ่ามาร
ตอนนี้เองมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ถึงสังเกตเห็นว่ามีคนสิบกว่าคนที่มีปีกงอกอยู่ด้านหลังบินอยู่กลางอากาศ รูปร่างของพวกเขาดูเหมือนคน แต่หน้าตาดูน่ากลัวมาก มีเขี้ยวยาว ดวงตานูนโปนออกมาเล็กน้อยและมีกระดูกแหลมงอกบนหน้าผาก ผมบนหัวกระจัดกระจาย มีกรงเล็บแหลมคม
“นี่คืออะไร? หรือเป็นอีกชนิดที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน?” หยวนฟงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
มู่ชิงเกอมองแวบหนึ่งแล้วก็ถอนสายตากลับ พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ว่าจะเป็นอะไร พวกเราก็ทำตามแผนเดิมที่วางเอาไว้”
อืม”
หลังจากได้ยินแล้วพวกเขาก็พยักหน้า
“เผ่ามารจงฟัง ถ้าหากไม่อยากจะให้พวกเราเหยียบแผ่นดินของพวกเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง ก็ต้องยอมรับ สองเงื่อนไข! มิเช่นนั้นพวกเราจะสั่งโจมตีเต็มกำลัง พวกเจ้าไม่อาจต้านทานได้!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาจากเผ่าอี้
‘พวกมันสามารถพูดภาษาของโลกนี้ได้!’ มู่ชิงเกอแปลกใจ
ชิงเจ๋ออธิบายให้นางฟังว่า “ในหมู่ของพวกมัน พวกที่มีระดับสูงจะสามารถพูดภาษาของพวกเราได้”
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว
เวลานี้เอง เสียงนั้นก็พูดต่อว่า “เงื่อนไขแรก ส่งพระชายาของพวกเจ้ามา! บอกองค์ราชาของพวกเจ้าว่า หากจะแลกเปลี่ยนเอาผู้หญิงของเขากลับคืนไป ก็ให้ เตรียมคนในเผ่าหนึ่งแสนคนมาแลก!”
“อะไรนะ! เผ่าอี้พวกนี้อยากจะตายหรืออย่างไร?”
“กล้าพูดกับพระชายาของพวกเราเช่นนี้เชียวหรือ!”
“ไม่อาจอภัยให้ได้!”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเบนความสนใจมาที่ตัวนาง
หลิงจิวสบถอย่างเย็นชา ก้าวออกไปข้างหน้า คิดจะโต้กลับไป แต่มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้นห้ามเขา พูดอย่างสงบว่า “ฟังพวกมันพูดให้จบก่อน”