ตอนที่ 429
นางผนึกหัวใจไม่ได้
“อื้อ…” มู่ชิงเกอพยายามขัดขืนสุดชีวิต ทั้งชกทั้งถีบ
แต่นางกลับพบว่าพลังจิตทั่วร่างของนางเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้แล้วราวกับอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ แม้แต่พลังก็ค่อยๆ หายไปใช้ออกมาไม่ได้เลยแม้แต่ครึ่งส่วน
‘น่าตายนัก! น่าตายนัก! น่าตายนัก!’ มู่ชิงเกอคำรามในใจ
นางคิดถึงสถานการณ์การพบกันอีกครั้งเอาไว้มากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อพบซือมั่วแล้ว เขาจะผลักนางลงบนเตียง!
ที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่ยังเป็นพื้นที่ของเผ่าฉง ถึงเขาจะไม่อายแต่นางอาย!
แต่ว่าผู้ชายของนางกลับไม่ยอมปล่อยนางไปเช่นนั้น
เขาออกแรงจูบนางอย่างกระหาย เหมือนปีศาจร้ายที่ถูกผนึกอยู่ในดินแดนทุรกันดารมานานแสนนานเพิ่งหลุดรอดออกมาได้อย่างนั้น
ริม’ฝีปากของมู่ชิงเกอถูกเขาจูบจนเจ็บ ความบ้าคลั่งของซือมั่ว ทำให้นางต่อต้าน นางใช้สองมือดันอกของเขาเอาไว้คิดจะผลักเขาออก แต่ว่าชายคนนั้นกลับใช้มือเดียวจับข้อมือทั้งสองของนาง ดึงไปกดไว้บนหัวเตียง มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับฉวยโอกาสที่นางผ่อนแรงลงบุกผ่านแนวไรฟันของนางเข้ามาและเริ่มโจมตีนางทันที เขาตักตวงอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ารสชาติของนางสามารถทำให้เขาคลายความกระหายในใจลงได้
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร?
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาที่ไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงมาก่อนถึงได้ควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้ เพียงแค่มองเห็นนาง ก็แทบอยากจะโอบนางเข้ามาไว้ในร่างกายของตนเอง ไม่ให้ ใครได้เห็น
กลิ่นอายบนตัวของซือมั่ว ทำให้มู่ชิงเกอสงบนิ่งลงไป นางถูกเขาจูบจนหูอื้อตาลาย จึงล้มเลิกความคิดเสีย ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ปะทะเข้ามาบริเวณสาบเสื้อ ทำให้นางได้สติทันที ความรู้สึกชาวาบบนลำคอยิ่งทำให้นางออกแรงผลักชายที่กดทับนางอยู่ออกไปอย่างไม่ลังเล
ซือมั่วที่กำลังดื่มดํ่าและเพลิดเพลินกับความรู้สึกหอมหวานที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในตอนที่เขาอยากได้มากขึ้นและมากขึ้นกว่านี้นั้น กลับถูกผลักออกอย่างกะทันหัน นี่ทำให้นัยน์ตาสีอำพันของเขาฉายแววขุ่นเคือง ไอมารบนร่างยิ่งลุกโชน
“รอเดี๋ยว!”
ก่อนที่ซือมั่วจะพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง มู่ชิงเกอก็ฉวยโอกาสลุกขึ้นมานั่งบนเตียง มือหนึ่งจับเสื้อผ้าที่ฉีกขาดของตนเองแน่นเพื่อไม่ให้เปิดเผยส่วนที่น่าปรารถนาออกมา
ส่วนอีกมือก็ขวางไว้ตรงกลางระหว่างนางและซือมั่ว
ซือมั่วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ความปรารถนาในแววตายากที่จะควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ
“ซือมั่ว เจ้าเป็นอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอพยายามทำให้ตนเองสงบลง แล้วถามออกไป
นางไม่ได้รังเกียจที่จะใกล้ชิดกับซือมั่ว เพราะพวกเขาเคยผ่านเรื่องพวกนั้นกันมาแล้ว
แต่ก็ไม่อาจยอมให้เกิดขึ้นทั้งที่เรื่องราวยังไม่ชัดเจนเช่นนี้
ซือมั่วในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกถึงความไม่ปกติ มันราวกับ… เขาไม่รู้จักนาง!
การคาดเดานี้ทำให้นางรู้สึกปวดใจ การจับชีพจรเมื่อครู่ ถูกซือมั่วขัดจังหวะ ทำให้นางไม่สามารถตัดสินได้ว่าซือมั่วเป็นอะไรกันแน่ถึงได้ผิดปกติเช่นนี้
“เจ้า…รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?” มู่ชิงเกอลองหยั่งเชิงถามดู
เมื่อถูกถามคำถามนี้อีกครั้งจึงทำให้ซือมั่วสงบนิ่งลงมา นัยน์ตาที่เดิมถูกครอบงำด้วยความปรารถนาก็กลับคืนสู่ความกระจ่างใส
ซือมั่วมองนาง ดูเหมือนกำลังตั้งใจคิด เขาค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นภรรยาของข้า”
มู่ชิงเกอรู้สึกปวดใจน้อยลงเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงถามอีกว่า “ไม่ผิด ข้าเป็นภรรยาของเจ้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วข้าชื่ออะไร?”
คำตอบของมู่ชิงเกอทำให้ความเยียบเย็นในแววตาของซือมั่วลดลง แต่คำถามต่อมาของนางกลับทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้น “ข้านั้นเป็นราชาของเมืองมาร ส่วนเจ้า ชื่อ…”
ชื่ออะไร?
ซือมั่วครุ่นคิด เขาจ้องมองมู่ชิงเกอ ดูเหมือนพยายามจะคิดถึงเรื่องของพวกเขาทั้งสอง
เขาแน่ใจว่าหากไม่ใช่เพราะชอบแล้วเขาไม่มีทางแต่งงานอย่างแน่นอน! อีกอย่างในตอนที่เขามองเห็นมู่ชิงเกอก็เกิดความรู้สึกที่แตกต่างจากคนทั่วไป มันยากที่จะอธิบาย
ราวกับว่า เพียงแค่ชั่วสบตา เขาก็แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของเขา! ไม่ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ได้ก็ต้องเป็นของเขาเท่านั้น!
หัวใจของมู่ชิงเกอเจ็บแปลบ เขาจำสถานะของตนเองได้ จำได้ทั้งหมด ลืมแค่เพียงนางเท่านั้น?
ไม่! ไม่ใช่ลืม!
มู่ชิงเกอปฏิเสธทันที การตอบสนองของซือมั่วที่มีต่อนางนั้นพิเศษไม่มีทางเป็นการกระทำที่มีต่อคนแปลกหน้าแน่นอน แต่ก็เหมือนกับว่าเขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ได้
มู่ชิงเกอลงมาจากเตียง เดินไปตรงหน้าของซือมั่ว ใช้สองมือประคองแก้มของเขา
ซือมั่วขมวดคิ้ว เขาพบว่าตนเองไม่ได้รังเกียจที่นางสัมผัส แต่กลับรู้สึกชอบมาก
“ก่อนหน้านี้เจ้าทำเช่นนี้กับข้าน้อยมากใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นซือมั่วก็ถามขึ้นมา
“หืม?” มู่ชิงเกอที่กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับซือมั่วพลันชะงักไปอย่างกะทันหันไม่เข้าใจคำพูดที่เขาพูด ทันใดนั้นซือมั่วก็ใช้สองมือกุมแก้มของนาง มองนางอย่างจริงจัง “ตอนที่เจ้าทำเช่นนี้กับข้านั้น ข้ารู้สึกมีความสุขมาก ข้าจึงคิดว่าเจ้าคงทำเช่นนี้กับข้าน้อยมาก”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก บ่นในใจว่า ‘นี่กำลังตำหนิงั้นหรือ?’
ชั่วพริบตานั้น นางก็สงสัยว่าซือมั่วกำลังแกล้งนางเล่นอยู่หรือเปล่า เขาไม่ได้ลืมทุกอย่างทั้งหมด!
แต่นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นกลับดูสงบนิ่งมาก ความห่างเหินก่อนหน้านี้ค่อยๆ กระจายหายไป ภายในดวงตาของเขาสะท้อนเพียงแต่เงาร่างของนาง
“ต่อไปข้าจะทำเช่นนีกับเจ้าบ่อยๆ ดีหรือไม่?” มู่ชิงเกอลองเชิง
ใครจะรู้ว่าซือมั่วกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าชอบ”
“…” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พบว่า ซือมั่วที่เป็นเช่นนี้นั้น…น่ารัก
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ วางมือลงกำลังคิดจะถามเรื่องสำคัญ
แต่สองมือที่เพิ่งจะวางลงก็ถูกซือมั่วคว้าขึ้นมาเอาไปแนบไว้บนแก้มของเขาอีกครั้ง
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้น เอ่ยกับเขาว่า “อย่างอแง”
แต่ซือมั่วกลับมองนางอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้งอแง”
“หึ หึ…” มู่ชิงเกอหัวเราะ ตบมือลงบนแก้มของเขาเบาๆ แล้วก็พูดเสียงเบาอย่างอ่อนโยนว่า “พวกเรามาคุยเรื่องปัญหาบนร่างกายเจ้าก่อน เรื่องที่เหลือค่อยพูดกันทีหลัง ดีไหม?”
“ข้าถูกผนึก”
มู่ชิงเกอชะงัก นางคิดไม่ถึงว่าซือมั่วจะบอกคำตอบออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้
“ผนึก? ผนึกอะไร? เจ้าจำได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอถอนมือกลับ แล้วก็รีบจับข้อมือของเขาขึ้นมาตรวจชีพจร
ซือมั่วขมวดคิ้ว ไม่พอใจที่มู่ชิงเกอเก็บมือกลับ
แต่เมื่อมองเห็นนางตรวจชีพจรให้ตนเองด้วยความเป็นห่วง ทั้งสองมือก็กุมข้อมือเขาแน่นแล้ว มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้
เขาชอบที่นางเป็นห่วงเป็นใยเขาเช่นนี้
“อามั่ว บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติของซือมั่ว เพียงแต่ขมวดคิ้วถามอย่างเป็นห่วง
แต่ซือมั่วกลับเหมือนไม่ได้ยินที่นางพูด เอาแต่จ้องคิ้วที่ขมวดคิ้วมุ่นอยู่ของนาง นัยน์ตาสีอำพันฉายแววไม่สบายใจ
เขายกมือที่ว่างอยู่ลูบไปบนหน้าผากของมู่ชิงเกออย่างถือสิทธิ์ พูดด้วยนํ้าเสียงเย็นชาที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธว่า “ไม่น่าดู”
มู่ชิงเกอถูกเขาทำให้หมดคำจะกล่าว สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างอดทนว่า “ตอบคำถามของข้า”
ซือมั่วมองนางอย่างลึกลํ้า ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง เขาพลิกมือกุมมือของมู่ชิงเกอ ประสานมือกับนาง
เพียงแต่เมื่อกุมมือนางแล้ว ตัวเขาเองกลับชะงักไป ชูมือที่แนบประสานกันขึ้นมาตรงหน้า “ดูเหมือนว่าข้าเคยทำเช่นนี้มาก่อน”
ความคุ้นเคยตอนที่จับมือกัน ทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับมู่ชิงเกอมากยิ่งขึ้น
“ใช่แล้ว เจ้าทำบ่อย” มู่ชิงเกอกลอกตาให้เขา
ผู้ชายคนนี้เข้าใจว่านางร้อนใจหรือไม่?
ซือมั่วพยักหน้าลากมู่ชิงเกอเดินมานั่งที่ข้างเตียง
จากนั้นก็โอบนางล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน
มู่ชิงเกอตกใจคิดว่าเขาจะฝืนบังคับนางอีก แต่กลับได้ยินเขากระซิบที่ข้างหูว่า “พูดกันเช่นนี้สบายกว่า”
มู่ชิงเกอคลายความดึงเครียดลง ถอนหายใจอย่างหมดทางเลือก ปล่อยเขาทำตามใจ
“ข้าต่อสู้กับคนคนหนึ่ง นางฆ่าข้าไม่ได้จึงคิดจะผนึกข้า แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถผนึกอย่างสมบูรณ์ได้ ผนึกได้เพียงความทรงจำบางส่วนของข้า” ซือมั่วใช้นํ้าเสียงที่เรียบนิ่งเล่าให้มู่ชิงเกอฟัง
เขาไม่ได้พูดว่าสุดท้ายแล้วหลียวนเลือกที่จะผนึกของที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
ก่อนที่มู่ชิงเกอจะปรากฎตัว หลายวันมานี้เขาคอยคิดอยู่ตลอดว่าของสำคัญที่สุดของเขาคืออะไร? ความทรงจำของเขานั้นสมบูรณ์จดจำสิ่งที่ตนเองเคยกระทำผ่านมาได้ จำสถานะของตนเองได้ ร่างกายก็ครบถ้วนสมบูรณ์
จนกระทั่งมู่ชิงเกอปรากฎตัวแล้วในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด เขาถึงได้รู้ว่าของสำคัญที่ถูกผนึกไปนั้นคืออะไร!
ที่แท้ก็คือทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาง!
เมื่อได้รับรู้เช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่กีดกันมู่ชิงเกอ ความรู้สึกในใจทำให้เขาอยากจะเข้าไปใกล้ผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงของเขา! ซือมั่วเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าฉายแววเคร่งขรึม ปรากฎไอสังหารออกมา
เขารักผู้หญิงคนหนึ่ง? อีกทั้งยังถือเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด? นี่จะต้องเป็นช่วงเวลาที่ลํ้าลึกมากอย่างแน่นอน แต่หลียวนกลับผนึกทุกอย่างนี้ไป ทำให้เขานึกไม่ออก
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา หากผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกเขาคนนี้ไม่ได้มาตามหาเขาพร้อมกับองครักษ์มาร พวกเขาก็จะต้องคลาดกันไปใช่หรือไม่? เมื่อเขากลับไปถึงพระราชวังไท่ฮวงแล้ว นางจะรอเขาอยู่ไหม?
กลิ่นอายของซือมั่วเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งดุดันขึ้นมา ความดุดันนี้ทำให้มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาถามเขาว่า “เป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ความดุดันบนร่างของซือมั่วถูกเก็บกลับไปเพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ
หัวใจของเขาบอกเขาว่า ไม่ควรให้ผู้หญิงในอ้อมอกเห็นด้านที่ดุร้ายของตนเอง
“เจ้าชื่อว่าอะไร?” ซือมั่วถามขึ้นมา
คำถามนี้ทำให้มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าชื่อมู่ชิงเกอ”
“มู่ชิงเกอ…ชิงเกอ…เกอเอ๋อร์…เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” ซือมั่วพึมพำชื่อของนาง จนกระทั้งพบชื่อเรียกที่คุ้นเคย
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” หลังจากซือมั่วแน่ใจแล้วก็พูดกับนาง
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา ปวดใจที่ซือมั่วเป็นเช่นนี้ นางลูบแก้มของเขาเบาๆ ปลอบว่า “ลืมแล้วก็แล้วไปเถอะ ถึงอย่างไรพวกเราก็อยู่ด้วยกัน วันต่อไปข้างหน้าพวกเรายังมีความทรงจำอีกมากมาย”
แต่ซือมั่วกลับส่ายหน้า “ผนึกนี้ไม่สามารถผนึกหัวใจของข้าได้ แต่เรื่องที่นางกล้าหลอกข้า บัญชีนี้ข้าจะต้องตามไปสะสางอย่างแน่นอน”
“เจ้าจะสะสางอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ศัตรูของซือมั่วต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววเยียบเย็น พูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ทำให้พ่ายแพ้ทรมาน ฆ่า ทำลายวิญญาณ ทำให้หายไปอย่างสิ้นซาก รวมถึงคนในเผ่าของนางก็ต้องตายทั้งหมด”
“ดี” มู่ชิงเกอเห็นด้วย
คนที่กล้าทำกับผู้ชายของนางเช่นนี้ ความตายนั้นง่ายเกินไป!
“เขาชื่อว่าอะไร” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ซือมั่วมองนาง แล้วเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เจ้าสู้นางไม่ได้หรอก”
“ข้ารู้ แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดี”
ตอนนี้ไม่ใช่คู่มือแต่ต่อไปก็ไม่แน่! มู่ชิงเกอพูดในใจ
“เผ่าเทพ ราชาเทวะเฟิ่งเทียนหลียวน” ซือมั่วสบตากับมู่ชิงเกอแล้วพูดออกมา
เผ่าเทพ!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง นางไม่รู้ว่าอะไรคือราชาเทวะเฟิ่งเทียน! แต่ชื่อนั้น…
“เป็นผู้หญิงหรือ?” สีหน้าของมู่ชิงเกอดำทะมึนขึ้น
“ใช่” ซือมั่วพยักหน้า เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป แต่คำพูดต่อไปก็สามารถหยุดยั้งการระเบิดอารมณ์ได้ทันห่วงที “สำหรับข้าแล้ว นางเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ศัตรูเท่านั้น”
มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าไปยั่วยุเผ่าเทพได้อย่างไร? อีกอย่าง ราชาเทวะเฟิ่งเทียนหมายความว่าอย่างไร?”
พวกกู่หยาพูดแล้วว่าซือมั่วจากไปเพราะได้รับสาล์นลับ
“ข้าไม่ได้ยั่วยุนาง” ซือมั่วไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เพราะตามความคุ้นเคยของเขาแล้วเขาก็ไม่เคยต้องอธิบายอะไรให้ใครฟังมาก่อน
แต่สำหรับผู้หญิงในอ้อมอก เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา เขากลับอยากอธิบายให้ชัดเจน เขาไม่ต้องการให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเข้าใจผิด
“หมื่นปีที่ผ่านมาข้ากับนางก็เพียงแค่ร่วมมือกันแลกเปลี่ยนข่าวสารบางอย่างของเผ่าเทพเท่านั้น เฟิ่งเทียน เป็นชื่อหนึ่งในสี่ของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ส่วนราชาเทวะก็เป็นชื่อตำแหน่งที่พวกเผ่าเทพแต่งตั้งกันขึ้นมาเองก็เท่านั้น” ซือมั่วอธิบายให้มู่ชิงเกอฟัง
แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร?
ดินแดนเทพเฟิ่งเทียน ?
ราชาเทวะ!
คำเหล่านี้มู่ชิงเกอไม่คุ้นเคยเลย บางทีนางอาจจะต้องเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารก่อนถึงจะเข้าใจ
แต่ว่านี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจดจำผู้หญิงที่ชื่อหลียวน!
กล้าลงมือกับผู้ชายของนาง ความแค้นนี้นางจดจำเอาไว้แล้ว!
“ในเมื่อแค่ร่วมมือกัน แล้วเหตุใดนางถึงลงมือกับเจ้า?” มู่ชิงเกอถามอย่างสงสัย
นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วฉายแววรังเกียจ เขายิ้มเยาะ “นางสารภาพรักกับข้า แต่ถูกข้าปฏิเสธ เลยพาลโกรธแค้น”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก บ่นในใจว่า ‘หนี้ดอกท้อนำมาซึ่งภัยพิบัติจริงๆ’
*เฟิ่งเทียน แปลว่า หงส์สวรรค์ซึ่งเฟิ่งนี้คือหงส์เพศเมีย คำนี้จึงมักจะใช้กับผู้หญิง