ตอนที่ 431
พระชายาไม่ยอมมีทายาท?
มู่ชิงเกอไม่ทันได้สังเกตถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของซือมั่ว
แต่ในตอนที่นางได้สติกลับมานั้น ทั้งตัวของนางก็ถูกซือมั่วอุ้มขึ้น กอดไว้ในอ้อมอก สองเท้าของนางเหยียบอยู่บนรองเท้าของเขา มือใหญ่ของเขาจับศีรษะด้านหลังและเอวของนางไว้
ซือมั่วก้มลงจุมพิตริมฝีปากที่เอาแต่ยั่วยวนเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“อื้อ…” มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง มองซือมั่วอย่างไม่อยากจะเชื่อ
นางคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะกล้าทำกับนางต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้
ให้ตายสิ! ขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูลแล้วรู้หรือไม่?
นับตั้งแต่เจ้านายของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว องครักษ์มารรอบด้านก็ต่างพากันก้มหัวตํ่า ปิดตาลง ลดการมีอยู่ของตนเองให้ตํ่าลงไปอีก แทบอยากจะให้ตัวเองกลาย เป็นฝุ่นละอองแล้วถูกลมพัดไปเสีย
พวกเขาไม่กล้าดูฉากความหวานระหว่างองค์ราชาและพระชายาหรอกนะ!
ซือมั่วเหมือนกับเด็กตะกละที่ได้กินนํ้าผึ้งหวานที่เขาเฝ้าคิดถึงมานาน หลังจากจูบอย่างยาวนานจนพอใจแล้วถึงได้ปล่อยมู่ชิงเกอออก
ในที่สุดสองเท้าของมู่ชิงเกอก็ได้ยืนลงบนพื้นอีกครั้ง ความรู้สึกบวมเจ่อตรงริมฝีปากทำให้นางหน้าแดงขึ้นมา นัยน์ตาสดใสระยิบระยับราวกับธารนํ้าในฤดูใบไม้ร่วง
ท่าทางเช่นนี้ทำให้ซือมั่วเกิดความปรารถนาขึ้นมา ในตอนที่ใบหน้าของเขาใกล้เข้ามาอย่างไม่รู้ตัวนั้น มู่ชิงเกอก็รีบยกมือขึ้นปิดปากของตนเองในทันที นางพบว่าหลังจากที่ผู้ชายคนนี้สูญเสียความทรงจำที่มีเกี่ยวกับนางไปแล้ว ความกล้าก็เปลี่ยนไปด้วย!
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนในก่อนหน้านี้ เขามักจะดูแลนางอย่างระมัดระวังและใส่ใจความรู้สึกของนางเสมอ
แล้วตอนนี้เล่า?
เขาทำตามใจปรารถนา คิดอยากจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น!
มู่ชิงเกอมีพลังในการฟื้นฟูที่แข็งแกร่งทำให้ริมฝีปากของนางกลับคืนสู่สภาพปกติในพริบตา มู่ชิงเกอวางมือลงจากริมฝีปาก ทำให้ซือมั่วมองเห็นฉากนี้เข้า เขาเลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาสีอำพันฉายแววสนุกสนานขึ้นมาหลายส่วน ราวกับว่าเขาคิดถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเกิดสนใจขึ้นมาอย่างนั้น
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ นอกจากการปรุงยาแล้ว เจ้ายังสามารถทำอะไรได้อีก?” ทันใดนั้นซือมั่วก็มองนางอย่างสนใจ
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหมดหนทาง เพราะเรื่องที่ซือมั่วเคยรู้มาก่อนได้กลายเป็นความลับที่ไม่เคยรู้ไปหมดแล้ว
“ข้ายังสามารถหลอมศาสตราได้อีก” มู่ชิงเกอตอบ
นางไม่รู้ว่าความทรงจำของซือมั่วที่ถูกผนึกเอาไว้จะสามารถฟื้นคืนมาได้หรือไม่ และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะจำเรื่องราวระหว่างทั้งสองคนได้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเขายังชอบนางเหมือนเดิม
เขาไม่ได้เย็นชาต่อตนเองเพราะถูกผนึกความทรงจำ จุดๆ นี้ก็ทำให้นางรู้สึกมีความสุขมากแล้ว
“ทั้งสามารถปรุงยาและหลอมศาสตราได้งั้นหรือ? เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าร้ายกาจมาก!” ซือมั่วยิ้มออกมา
หลิงหลิงที่แอบหลบอยู่หลังกระท่อมไม้กุมปากที่อ้ากว้างของตนเองอย่างประหลาดใจ นางเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มของซือมั่วเป็นครั้งแรก ‘ที่แท้เมื่อเขายิ้มออกมาก็น่าดูมาก’
นัยน์ตาของนางฉายแววหลงใหล แต่ก็ได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พูดอย่างมีเหตุผลว่า “เขาปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ!”
หลังจากเก็บความรู้สึกหดหู่ภายในแววตากลับไปแล้วหลิงหลิงก็ลอบจากไปอย่างเงียบๆ
“เล่าเรื่องของพวกเราเมื่อก่อนให้ข้าฟังที” ซือมั่วขอออกมา
“ได้!” มู่ชิงเกอพยักหน้า
“แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม พวกเราต้องออกจากเหวหนอนโบราณแล้วกลับไปยังพระราชวังไท่ฮวงก่อน”
นางเป็นห่วงร่างกายของซือมั่ว หากชักข้าต่อไปอาจจะไม่ทันการณ์
เมื่อนางมองเห็นความสงบนิ่งและรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเขาแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พบว่าที่แท้เขาก็เก่งในการซ่อนความเจ็บปวดของตนเอง
หากว่านางไม่ใช่อาจารย์ปรุงยา ไม่รู้จักวิชาการแพทย์ก็คงมองไม่ออกว่าเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ยากจะทานทนเอาไว้ตลอดเวลา
“อืม ก็ถึงเวลาต้องไปแล้ว” ซือมั่วพยักหน้า นัยน์ตาสีอำพันฉายแววเหี้ยมเกรียม
ไม่จำเป็นต้องถาม เขาก็รู้ว่าในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่นั้นจะเกิดเรื่องอย่างไรขึ้นในพระราชวังไท่ฮวง
“องค์ราชา! พระชายา!” เวลานี้เองกู่หยาและกู่เย่ก็เดินเข้ามาที่ข้างกายของทั้งสอง
“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กู่เย่เอ่ย
พวกเขาได้บอกลาผู้นำภายในเผ่าแล้ว ตอนนี้สามารถจากไปได้ตลอดเวลา
“ไปเถอะ” ซือมั่วพยักหน้า จูงมือมู่ชิงเกอเดินออกไปด้านนอก เขาไม่คิดจะไปขอบคุณด้วยตัวเองเพราะเขารู้ว่ากู่หยาและกู่เย่ต้องจัดการเรื่องราวเอาไว้หมดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องออกหน้าอีก
การจากไปของซือมั่วทำให้หลิงหลิงรู้สึกเศร้า
นางมองแผ่นหลังของซือมั่วจากภายในเผ่า พึมพำว่า “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนช่วยเขากลับมา ก่อนไปก็ไม่ลาสักคำ”
ปู่ของนางเดินมายังข้างกายนางแล้วพูดกับนางว่า “ดูชัดเจนดีหรือยัง? พวกเจ้าไม่ใช่คนในเส้นทางเดียวกัน ของที่ไม่ใช่ของตนเองก็อย่าได้คิดเพ้อฝัน จึงจะมีความสุข”
หลิงหลิงพยักหน้า ถอนสายตากลับแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วท่านปู่”
เมื่อออกจากเผ่าสาขาของเผ่าฉงแล้ว องครักษ์มารก็คุ้มครองซือมั่วและมู่ชิงเกอเดินไปในเหวหนอนโบราณ
พวกเขาเดินทางมุ่งไปยังทางเข้าออกเหวหนอนโบราณ และพยายามหลีกเลี่ยงอาณาเขตของเผ่าสาขาต่างๆ ไปตลอดทางเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้
ตอนออกจากเผ่าสาขาเล็กๆ นั้นท้องฟ้าก็ค่อนข้างมืดแล้ว ในตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิท กู่หยาและกู่เย่ก็หาถํ้าแห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่พักชั่วคราว
เหล่าองครักษ์มารรีบสำรวจรอบด้านอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง จากนั้นก็ยืนตรงประจำตำแหน่งเพื่อเฝ้าระวังรอบด้าน
มู่ชิงเกอก่อกองไฟอยู่ในถํ้า กู่หยาและกู่เย่ชันเข่าเดียวอยู่ตรงหน้าของซือมั่วและรายงานเรื่องราวให้เขาฟัง
มู่ชิงเกอไม่ได้ฟังว่าพวกเขาพูดอะไร แต่ก็เดาออกได้ว่า กู่หยาและกู่เย่น่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาหายไปให้เขาฟัง
มู่ชิงเกอทำให้กองไฟสว่างขึ้นแล้วก็เอาเสบียงแห้งออกมาอุ่น
เพิ่งจะอุ่นเสบียงแห้งเสร็จ นางก็มองเห็นซือมั่วลุกเดินเข้ามาหาตนเองอย่างกะทันหัน ส่วนกู่หยาและกู่เย่ก็สบตากันจากนั้นก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน
ภายในถํ้าเหลือเพียงแต่ซือมั่วและมู่ชิงเกอสองคน
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา เงาร่างของเขาผสานเข้ากับความมืดโอบคลุมนางเอาไว้
ซือมั่วนั่งอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ รับเสบียงมาจากมือของนาง
นี่ไม่ใช่อาหารรสเลิศอะไร เป็นเพียงแค่เสบียงแห้งธรรมดาๆ เท่านั้น มู่ชิงเกอไม่ใช่คนที่พิถีพิถันมาก หากไม่ได้ออกไปข้างนอก นางก็สามารถเพลินเพลินไปกับทุกอย่างได้ แต่หากต้องออกไปทำภารกิจด้านนอกนางก็สามารถกินเสบียงแห้งที่ไร้รสชาติเหล่านี้ได้เช่นกัน
ซือมั่วบิดเสบียงแห้งชิ้นเล็กๆ มาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปาก จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแน่นพยายามกลืนเสบียงแห้งชิ้นนั้นลงไป ส่วนเสบียงที่เหลืออยู่ในมือเขาก็โยนมันเข้ากองไฟทันที
“เฮ้ย!” มู่ชิงเกอยื่นมือออกไป แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเสบียงแห้งเอาไว้ได้
ชั่วขณะนั้นนางก็เบิกตากว้างมองซือมั่วอย่างไม่พอใจ
จากนั้นซือมั่วก็ล้วงเอาผลไม้วิญญาณออกมาจากกลางอากาศ ไอวิญญาณบนผลไม้ดูเข้มข้นมาก กลิ่นหอมที่ลอยออกมาก็ทำให้คนนํ้าลายไหลได้
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ อดกลืนนํ้าลายไม่ได้ นางจำได้ว่าซือมั่วเคยพานางเข้าไปในช่องว่าง ที่นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และมีผลไม้วิญญาณมาก
มาย
‘เหมิงเหมิง เหตุใดในช่องว่างของข้าถึงไม่มีผลไม้วิญญาณเหล่านี้ละ?’ มู่ชิงเกอถามขึ้นในใจ
เหมิงเหมิงพูดอย่างจนปัญญาว่า ‘เจ้านาย ภายในช่องว่างนั้นมีผลไม้วิญญาณ เพียงแต่อยู่ในภูเขาที่ห่างไกล ท่านไม่ได้พูดว่าอยากกิน ข้าก็ลืมไปเลย คงจะมีผลไม้วิญญาณที่สุกและตกเสียไปมากมายแล้ว’
คำพูดของเหมิงเหมิงทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกเจ็บปวดนี้สะท้อนออกมาในแววตา สิ่งนี้ทำให้ซือมั่วเข้าใจผิด “เพียงแค่ทิ้งเสบียงรสชาติไม่ได้เรื่องไปก็เท่านั้น เจ้ากลับปวดใจถึงขนาดนี้เลยหรือ?”
“ข้า…” มู่ชิงเกอคิดอยากจะหาคำมาอธิบายแก้ต่างให้ตนเองเสียหน่อย แต่ซือมั่วกลับพูดต่อว่า “กำลังตั้งครรภ์อยู่ต้องบำรุงมากๆ เด็กดี กินอันนี้” พูดแล้วเขาก็ยื่นผลไม้วิญญาณในมือมาที่ริมฝีปากของมู่ชิงเกอ เพียงแค่นางอ้าปากก็สามารถกินเนื้อผลไม้ที่หวานฉํ่านั้นได้แล้ว
แต่ตอนนี้มู่ชิงเกอกลับไม่มีอารมณ์จะกิน นางยกมือขึ้นขวางผลไม้วิญญาณที่อยู่ข้างริมฝีปากของตนเอง แล้วเบิกตากว้างมองซือมั่ว “ใครบอกเจ้าว่าข้าตั้งครรภ์?”
“กู่หยาและกู่เย่” ซือมั่วพูดเรียบๆ
“พวกเขาสองคน!” มู่ชิงเกอกระโดดขึ้นมามองออกไปรอบด้าน แต่กลับพบว่าหาทั้งสองคนนั้นไม่เจอ นางมองซือมั่วด้วยสีหน้าดำทะมึนแล้วกัดฟันพูดว่า “พวกเขาไม่ได้บอกเจ้าหรืออย่างไรว่าข้าต้องแกล้งตั้งครรภ์เพื่อรักษาความสงบช่วยเจ้า?”
“พูดแล้ว” ซือมั่วยังคงมองนางอย่างสงบ นัยน์ตาสีอำพันก็ดูเรียบนิ่ง
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกพูดอย่างร้อนใจว่า “เช่นนั้น เจ้ายังจะ…”
“ปลอมก็สามารถกลายเป็นจริงได้” ไม่รอให้นางพูดจบ ซือมั่วก็ขัดจังหวะขึ้นมา
“…” มู่ชิงเกอจ้องมองผู้ชายตรงหน้าของนางอย่างมึนงงอยู่ที่เดิม เมื่อกะพริบตาแล้วก็ลองถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ซือมั่วมองนางอย่างจริงจัง “ความหมายของข้าก็คือ ข้าครองราชย์มานับหมื่นปีและก็ถึงเวลาจะมีทายาทแล้ว หรือพระชายาไม่ยินยอมมีลูกให้ข้า?”
อารมณ์บนใบหน้าของมู่ชิงเกอแข็งค้าง นี่ไม่ใช่ประเด็น เรื่องยอมหรือไม่ยอมหรือไม่?
“ลูกของข้าต้องเป็นพระชายาเท่านั้นที่คลอดออกมา” แต่ซือมั่วก็ไม่รอให้นางพูด เขาประกาศออกมาอย่างอหังการ
“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ แกล้งไอกลบเกลื่อนความกระดากใจ นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “มีลูกนั้นต้องมีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ถึงแม้พวกเราจะหมั้นหมายกัน แต่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน อีกอย่างเผ่ามารของพวกเจ้าตั้งท้องถึงสามปี! ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลาว่างจริงๆ!”
ซือมั่วเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาสีอำพันเปล่งประกายอ้างว้างดุจดวงดาวกลางอากาศ
ความเงียบของเขายิ่งทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกผิด เหมือนว่าตัวเองได้ทำผิดอย่างร้ายแรงก็ไม่ปาน เมื่อมองดูท่าทางของซือมั่วแล้วก็เหมือนกับว่าเขากำลังถูกรังแกอย่างนั้น
“เมื่อกลับไปถึงพระราชวังไท่ฮวงแล้วพวกเราก็จะแต่งงานกันทันที” ทันใดนั้นซือมั่วก็พูดออกมา
“หา?” มู่ชิงเกอมองเขาอย่างมึนงง
เหตุใดผู้ชายคนนี้ถึงได้พูดแล้วลงมือทำเลยเช่นนี้?
“ในเมื่อพวกเราหมั้นกันแล้วจะชักช้าอยู่ทำไม? รีบแต่งงาน ลูกของพวกเราจะได้ออกมาเร็วๆ” ซือมั่วพูดอย่างจริงจัง
“ไม่…ไม่ใช่” มู่ชิงเกอรีบพุ่งเข้าไปนั่งลงตรงหน้าของเขา เพื่อขวางการตัดสินใจของเขา
แต่นัยน์ตาของซือมั่วกลับดูเย็นชาเหมือนเคลือบด้วยนํ้าแข็งพลางเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่ยินยอมแต่งงานกับข้างั้นหรือ?”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกอย่างรุนแรง รู้สึกหมดคำจะพูด มองดูเขา ในใจก็บ่นว่า ‘นี่คือคิดฉวยโอกาสตอนความจำเสื่อมมาบังคับแต่งงานใช่ไหมเนี่ย?’
นางกล้ารับรองได้เลยว่าหากเป็นซือมั่วในเวลาปกติจะไม่เป็นเช่นนี้แน่