Skip to content

พลิกปฐพี 438

ตอนที่ 438

องค์ราชา พระชายาทำร้ายข้า!

นี่…

ผู้หญิงสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้ด้วยหรือ?

บรรดาขุนนางในตำหนักไท่ฮวงล้วนตกตะลึง

‘หรือองค์ราชาโปรดปรานพระชายาถึงขั้นนั้นแล้ว?’

แม้แต่จี่ฝู หลิงจิว ชิงเจ๋อและชิงเหยียนสี่คนก็เบิกตากว้าง มององค์ราชาของพวกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะมีตำแหน่งในใจขององค์ราชาสูงถึงขนาดนี้

นี่หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าภายในพระราชวังไท่ฮวงนี้พระชายามีศักดิ์เทียบเท่ากับองค์ราชา!

คำพูดหรือการตัดสินใจของนางก็หมายถึงองค์ราชา

สีหน้าของสั่วเซิ่ง เซ่อฉิน ซู่เหยียนและซูเฉวียนสี่คนดูยํ่าแย่ขึ้นมา พวกเขารู้สึกตื่นตะลึง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของพวกเขาก่อนหน้านี้ หรือว่าจะเป็นการที่ทำให้พระชายาลำบากหลังจากนั้นก็เกรงว่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาตายเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง

สั่วเซิ่งหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ความหวังที่เคยมีในหัวใจได้แหลกสลายลงไปแล้ว

เขาเป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ อีกสามคนก็เช่นเดียวกัน

องค์ราชาของพวกเขา…

หัวใจของทั้งสี่คนสั่นสะท้าน องค์ราชาของพวกเขาคือ สัญลักษณ์แห่งการฆ่าล้าง

แม้แต่พี่น้องของตนเองยังลงมือฆ่าได้อย่างเหี้ยมโหด แล้วจะปล่อยพวกเขาที่มีใจก่อกบฏไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?

ไม่!

พวกเขาไม่ได้มีใจคิดก่อกบฏ พวกเขายอมจำนนต่อองค์ราชาไม่ใช่ทายาทขององค์ราชา!

นัยน์ตาของทั้งสี่คนเกิดความรู้สึกดิ้นรน แต่สุดท้ายก็ละลายหายไป

ตอนนี้จะพูดอย่างไรก็ไม่มีความหมาย มู่ชิงเกอถูกซือมั่วจับมือเอาไว้แน่น เขาลากนางไปนั่งลงที่ข้างกายของตนเอง บัลลังก์ราชาของพระราชวังไท่ฮวงนั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะนั่งสองคนก็ไม่รู้สึกว่าคับแคบแต่อย่างใด

ในความเป็นจริงแล้วบัลลังก์นี้ไม่ได้น่านั่งเลย

มู่ชิงเกอสังเกตเห็นว่ารอบบัลลังก์ทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยหนาม หากไม่ระวังก็จะแทงตนเองจนบาดเจ็บได้หัวของสัตว์อสูรถูกมัดเอาไว้กับหนาม คำรามอย่างดุร้ายแสดงพลังอำนาจของตนเอง

“ทุกคนล้วนแต่คิดอยากจะนั่งบัลลังก์แต่มีเพียงแค่คนที่ได้นั่งมันจริงๆ เท่านั้นถึงได้รู้ว่ามันหมายถึงอะไร” ทันใดนั้นซือมั่วก็พูดเบาๆ ออกมา ประโยคนี้ทั้งเหมือนพูดกับมู่ชิงเกอและก็เหมือนพูดกับตนเอง

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา นิ่งเงียบไม่พูดจา

ใบหน้าของเขาดูเย็นชาและห่างเหิน ความเย็นชาและห่างเหินนี้ไม่ได้มีต่อนางแต่มีต่อคนด้านล่าง ต่อพระราชวังไท่ฮวง ต่อแดนมารแห่งนี้

“สั่วเซิ่ง เซ่อฉิน ซู่เหยียน ซูเฉวียน” ทันใดนั้นซือมั่วก็พูดขึ้นมา

นํ้าเสียงของเขาเย็นชากว่าที่เคย

ส่วนคนที่ถูกเขาเรียกชื่อก็ยิ่งรู้สึกเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่า ราวกับถูกแช่แข็ง ร่างกายผุดกลิ่นอายแห่งความตายกลุ่มหนึ่งออกมา พวกเขาก้าวออกมา คุกเข่าเรียงหนึ่งต่อหน้าคนทั้งสอง

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น การที่ซือมั่วมีอำนาจต่อบรรดามารในแดนมารสูงขนาดนี้ทั้งดูเหนือความคาดหมายและอยู่ในความคาดหมายของนาง

คนสี่คนที่หยิ่งผยองต่อหน้านางเมื่อมาอยู่ต่อหน้าของซือมั่วก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

ยังไม่ทันได้ถูกถามเอาความ พวกเขาก็เหมือนจะคาดเดาจุดจบของตนเองในวันนี้ได้แล้ว

“หากพวกเจ้าอยากตาย ข้าสามารถสนองพวกเจ้าได้” ซือมั่วพูดอย่างเย็นชา นัยน์ตาสีอำพันที่เย็นชาโหดเหี้ยมไร้ความรู้สึกจ้องมองคนทั้งสี่

คำพูดนี้ทำให้คนทั้งสี่รู้สึกเหมือนกระดูกในร่างของตนเองแตกสลาย เหมือนร่างกายจะระเบิดออกได้ทุกเวลา

“องค์ราชา! ข้าน้อยสมควรตาย!”

“องค์ราชา! ข้าน้อยสมควรตาย!”

“องค์ราชา! ข้าน้อยสมควรตาย!”

“องค์ราชา! ข้าน้อยสมควรตาย!”

พวกเขาไม่มีความกล้าจะต่อต้านต่อหน้าซือมั่ว ทำได้เพียงยอมรับความผิด คาดหวังว่าจะสามารถตายอย่างไม่ทรมานนัก

“พวกเจ้าสมควรตายจริงๆ” ซือมั่วค่อยๆ พูดขึ้น ไม่ได้เกิดความหวั่นไหวเพราะทั้งสี่คนยอมรับผิดเลย

ประโยคนี้ทำให้หัวใจของทั้งสี่คนนิ่งค้าง เพราะการตัดสินใจขององค์ราชาไม่อาจเปลี่ยนแปลงไค้

“รอก่อน”

ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงแทรกเข้ามา

เสียงนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับพวกเขา

เพียงแต่ทุกคนในตำหนักต่างพากันแปลกใจกับเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างกายซือมั่ว

“แย่แล้ว!” ชิงเจ๋อร้องออกมาเสียงตํ่า

เมื่อเขาพูดออกมา อีกสามคนที่เหลือก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น สายตาที่มองไปยังมู่ชิงเกอฉายแววกังวลใจ

“เหตุใดพระชายาถึงกล้าขัดการตัดสินใจขององค์ราชาต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้?ไม่เห็นหรือว่าพวกเราต่างพากันเงียบไม่ส่งเสียงน่ะ?’’ หลิงจิวขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

จี่ฝูก็เอ่ยว่า “เกรงว่าพระชายาของพวกเราผู้นี้คงยังไม่เข้าใจนิสัยขององค์ราชาดี”

“กู่หยากับกู่เย่ติดตามอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้จักเตือนบ้างเลย!” ชิงเหยียนพูดอย่างเย็นชา

ในตอนนี้ทั้งสี่คนกำลังกังวลใจถึงความปลอดภัยของมู่ชิงเกอ จนลืมไปแล้วว่าในตอนที่มู่ชิงเกอมาพระราชวังไท่ฮวงครั้งแรกนั้น ในใจของพวกเขาไม่ยินยอมและดูแคลนนางขนาดไหน

พวกเขาทั้งสี่คนกำลังกังวลใจ ส่วนพวกสั่วเซิ่งสี่คนนั้น เห็นต่างออกไป

พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดมู่ชิงเกอถึงเอ่ยปากอย่างกะทันหัน เป็นเพราะกังวลว่าองค์ราชาจะลงมือไม่โหดเหี้ยมพอจึงคิดจะทุ่มหินลงไปอีกงั้นหรือ?

นัยน์ตาของทั้งสี่คนฉายแววดุดัน

‘ผู้หญิง เป็นพวกเจ้าเล่ห์จริงๆ! ’

ในใจของทั้งสี่คนคิดเช่นนี้ บรรดาขุนนางในตำหนักไท่ฮวงก็ครุ่นคิดขึ้นมาเพราะมู่ชิงเกอเอ่ยปาก ทุกๆ คนต่างพากันกลั้นหายใจอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าส่งเสียง

พวกเขากลัวว่าความมุทะลุของพระชายาจะทำให้พวกเขาต้องพลอยซวยไปด้วย

และก็กลัวว่าเมื่อองค์ราชาโมโหแล้วจะฆ่าพวกเขาทุกคน…เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ภายในตำหนักไห่ฮวงเงียบจนแม้แต่เข็มตกก็ยังได้ยิน

ซือมั่วหันไปมองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นของเขาไม่ได้มีความโกรธเกรี้ยว

อย่างเช่นที่คนอื่นคิด แต่กลับเรียบสงบ เพียงแต่ความเงียบสงบนั้นก็แฝงไปด้วยความสงสัย

ดูเหมือนเขากำลังถามมู่ชิงเกออย่างไร้เสียงว่า เหตุใดถึงเรียกให้เขาหยุดอย่างกะทันหัน

มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจความแปลกประหลาดของคนอื่นๆ นางมองซือมั่วแล้วใช้สองมือกุมมือใหญ่ของเขาแล้วพูด เสียงเบาว่า “ถึงแม้พวกเขาทั้งสี่จะมีความคิดที่ไม่สมควรมีในตอนที่เจ้าไม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่ และในตอนที่เผ่าอี้บุกเข้ามาในครั้งนี้พวกเขาก็ถือว่าได้ทำความชอบไม่น้อย ไม่สู้ใช้ความชอบลบล้างความผิด ละเว้นชีวิตให้พวกเขา” มู่ชิงเกอไม่ได้สงสารคนทั้งสี่ แต่เป็นเพราะอีกไม่นานซือมั่วก็ต้องตามนางจากไป หากว่าฆ่าเจ้าเมืองย่อยสี่คนไปในเวลานี้จะต้องทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในกองทัพแดนมารอย่างแน่นอน และหากไม่มี ซือมั่วอยู่แดนมารก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมา ถึงตอนนั้นซือมั่วจะพักรักษาตัวอย่างสบายใจได้อย่างไร?

ทุกอย่างก็เพื่อซือมั่ว ดังนั้นสี่คนนี้ยังไม่สามารถตายได้!

มู่ชิงเกอมองไปยังทั้งสี่คนที่กำลังคุกเข่าอยู่

คำพูดของนางไม่ได้ดังมาก แต่ภายในตำหนักไท่ฮวงนั้นเงียบมากทำให้เสียงของนางดังก้องอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ พวกสั่วเซิ่งสี่คนเริ่มแรกก็รู้สึกแปลกใจ จากนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาส่งสายตาเคียดแค้นไปให้มู่ชิงเกอ

เดิมทีพวกเขาอาจจะได้สิ้นใจไปอย่างเรียบง่าย แต่เพราะการขอร้องของนางอาจจะทำให้พวกเขาต้องตายอย่างทรมานมากขึ้น

กี่ครั้งแล้ว?

ที่บรรดาขุนนางกบฏต้องตายอย่างทรมานยิ่งขึ้นหลังจากมีคนขอร้องให้

ผู้หญิงคนนี้คิดว่าพวกเขาตายไปยังไม่เพียงพอ! ยังอยากจะทรมานพวกเขาอีกใช่ไหม?

คนอื่นๆ ก็ยิ่งเงียบมากขึ้น พยายามจะลบการคงอยู่ของตนเองออกไป อกสั่นขวัญแขวน พวกเขาไม่ได้กังวลใจเรื่องจุดจบของคนทั้งสี่ แต่กลัวว่าวันนี้ตนเองจะพลอยซวยตามไปด้วย

“จบแล้วล่ะ…” หลิงจิวพึมพำออกมา

ในตอนที่ทุกคนคิดว่าซือมั่วจะระเบิดอารมณ์นั้น เขาก็เอ่ยออกมา

แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมากลับทำให้ทุกคนตกตะลึง

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่อยากให้พวกเขาตายอย่างนั้นหรือ?”

ให้ตายสิ!

บ้าเอ๊ย!

นี่คือองค์ราชาของพวกเขาจริงๆ น่ะหรือ?

ถึงแม็ว่าน้ำเสียงจะไม่ได้อ่อนโยนสักเท่าใด แต่ว่าท่าทางนั้นช่าง…

บรรดาขุนนางในตำหนักมองทั้งสองคนบนบัลลังก์อย่างตกตะลึงจนสูญเสียความสามารถในการครุ่นคิดไป

แม้แต่คนสนิทคู่ใจของซือมั่วเองก็มองฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ

หัวใจของพวกสั่วเซิ่งสี่คนกระดอนวูบ เกิดความหวังในใจขึ้นมา

หรือว่า…

คำถามของซือมั่วทำให้ทุกคนในตำหนักกลั้นหายใจ นิ่งรอคำตอบของมู่ชิงเกอ

และนางก็พยักหน้าต่อหน้าทุกคน

การพยักหน้านี้ของนางทำให้ทุกคนในตำหนักสูดลมหายใจเข้าแล้วกลั้นเอาไว้

ภายในตำหนักไท่ฮวงเงียบขึ้นมา

บรรดาขุนนางเคร่งเครียด รอคอยคำตอบของซือมั่ว

เวลาค่อยๆ เลื่อนไป ในใจของมู่ชิงเกอไม่ได้หวาดกลัวเหมือนกับคนอื่นๆ แต่กลับรู้สึกสงบนิ่ง

ซือมั่วมองนางอยู่ตลอดด้วยความตั้งใจ ผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากว่า “ได้ เช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า”

หา!

ดวงตาของกลุ่มมารในตำหนักไท่ฮวงเหมือนจะถลนออกมา องค์ราชาของพวกเขา…ยอมตกลงแล้ว!?

นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งในใต้หล้าโดยแท้!

ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้รับรู้ถึงประเด็นสำคัญอย่างหนึ่ง นั้นก็คือพระชายาสามารถโน้มน้าวความคิดขององค์ราชาได้ และสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจขององค์ราชาได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่พวกเขาไม่กล้าทำและไม่สามารถทำได้ พระชายาใช้เพียงประโยคเดียวก็สามารถจัดการได้แล้ว?

ราวกับว่าไม่ยากเลยแม้แต่น้อย?

พวกสั่วเซิ่งทั้งสี่คนยิ่งตกตะลึง…พวกเขาจากสิ้นหวังมา เป็นมีความหวัง จากตะลึงมาเป็นยินดี…ความรู้สึกขึ้นลงไม่หยุดกระแทกเข้าร่างกายของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

ซือมั่วหันกลับมา นัยน์ตาสีอำพันยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย เขาพูดออกมาว่า “ในเมื่อพระชายาไม่อยากให้พวกเจ้าตาย เช่นนั้นพวกเจ้าก็อยู่ต่อไปชั่วคราวเถอะ โทษตายเว้นได้แต่โทษเป็นยังอยู่”

เมื่อพวกสั่วเซิ่งทั้งสี่คนได้ยินถึงประโยคนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ

ความรู้สึกเคียดแค้นที่พวกเขามีต่อมู่ชิงเกอก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้งใจ พวกเขารู้แล้วว่าตนเองติดค้างพระชายาหนึ่งชีวิต!

“องค์ราชาวางใจ พวกเรารู้ว่าควรทำอย่างไร!” น้ำเสียงของสั่วเซิ่งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เขายกมือขึ้นรวบรวมพลังมารเอาไว้ในมือ สีหน้าเขาดุดัน จากนั้นก็กดฝ่ามือลงที่จุดตายบนหัวใจ

ชั่วขณะนั้นร่างกายของเขาก็เหมือนปรากฎรอยแตก เหมือนกับทั้งร่างแยกออก แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับคืนสู่ปกติ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มแตกร้าวอีก

ครั้ง

เป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดซํ้าไปซํ้ามา

ความเจ็บปวดที่ร่างกายฉีกขาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเขานำแล้ว ที่เหลืออีกสามคนก็ทยอยทำตาม

สายตาของคนอื่นๆ ดูเรียบเฉย แต่มู่ชิงเกอกลับมองซือมั่วอย่างแปลกใจ

ซือมั่วอธิบายว่า “นี่เป็นวิชาลงโทษตนเองอย่างหนึ่งของเผ่ามาร เมื่อลงมือแล้วก็จะดำเนินต่อไปเช่นนี้ครึ่งปี จะต้องรับความเจ็บปวดที่ร่างกายฉีกขาดทุกเวลา แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรื่องอื่นๆ ของพวกเขา”

มู่ชิงเกอตะลึง เผ่ามารมีวิชาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ

ทั้งสี่คนใช้วิชาที่โหดเหี้ยมลงโทษตนเองเพื่อจบเรื่องนี้ลงไป

ในความเป็นจริง มู่ชิงเกอก็เข้าใจดีว่าหากนางไม่เอ่ยห้าม พระราชวังไท่ฮวงก็จะเกิดฉากนองเลือด แต่ซือมั่วไม่มีเวลาจะชักช้าอยู่ที่นี่ต่อแล้ว นางเองก็ไม่มี นางจำ เป็นต้องรีบพาซือมั่วไปยังสำนักวิถีโอสถรีบพัฒนาวิชาปรุงยาของตนเอง จากนั้นก็แก้ไขปัญหาในร่างกายของซือมั่วโดยเร็ว

‘เรื่องนี้จบแล้ว แต่ยังมีอีกคน…’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ

“ใช่แล้ว” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองซือมั่ว ยิ้มให้เขา “ตอนที่เจ้าไม่อยู่ข้าได้จัดการคนไปหนึ่งคน แต่สถานะของนางพิเศษมาก ข้าจึงไม่สามารถตัดสินใจแทนเจ้าได้ นางจะเป็นหรือตายให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเองเถอะ”

คำพูดของนางทำให้ซือมั่วขมวดคิ้วขึ้น เขาพูดอย่างไม่ลังเลว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะจัดการอย่างไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องถามข้า”

ตามใจ!

ตามใจ!

นี่ยังเป็นองค์ราชาของพวกเขาหรือไม่?

ช่างเป็น…สาวงามทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ!

เมื่อบรรดามารในตำหนักไท่ฮวงได้ยินคำพูดของพระชายาแล้วก็รู้สึกเยียบเย็นขึ้นในใจ พวกเขารู้ว่าคนที่มู่ชิงเกอพูดถึงนั้นเป็นใคร

ทันใดนั้นในใจของกลุ่มมารก็รู้สึก ‘สงสาร’ เยี่ยนหย่าขึ้นมา

ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน ไปล่วงเกินพระชายา!

เมื่อผู้หญิงผูกใจเจ็บขึ้นมานั้นน่ากลัวนัก!

“ไม่ให้เจ้าจัดการดีกว่า” มู่ชิงเกอยิ้มงดงามสะท้านใจคน ดูแล้วช่างโอนอ่อนผ่อนตาม

ท่าทางของนางทำให้ซือมั่วขมวดคิ้วขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อเขามองเห็นท่าทางนี้ของเสี่ยวเกอเอ๋อร์แล้วถึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมา

กลัว? เหตุใดเขาถึงรู้สึกกลัว!

เขาไม่เคยกลัวอะไร มาตอนนี้เหตุใดถึงรู้สึกกลัวได้?

ซือมั่วครุ่นคิดอยู่ในใจ และเขาก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาว่าเขากำลังกลัวรอยยิ้มของมู่ชิงเกอในตอนนี้ เพราะภายในรอยยิ้มเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้

“ทหาร พาเยี่ยนหย่าเข้ามา” มู่ชิงเกอสั่งการ

องครักษ์มารด้านนอกตำหนักรีบไปดำเนินการในทันที

“เยี่ยนหย่า?” ซือมั่วถาม

มู่ชิงเกอมองมองเขา ถึงได้พบว่าในสายตาของเขานั้นเหมือนจำคนๆ นี้ไม่ได้ ทำให้ความรู้สึกไม่สบายในใจค่อยๆ คลายลง

บนเส้นทางไปพระราชวังไท่ฮวง สาวใช้ของเยี่ยนหย่ากำลังคุกเข่าขอพบซือมั่ว

แต่กลับไม่มีใครสนใจนาง

ตอนนี้นางมองเห็นองครักษ์มารกลุ่มหนึ่งผ่านร่างนางไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็พาคนๆ หนึ่งกลับ มา คนๆ นั้นก็คือเจ้านายของนาง อดีตเจ้าเมืองย่อยเยียนหย่า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version