Skip to content

พลิกปฐพี 448

ตอนที่ 448

จะเข้าก็ต้องเข้าส่วนใน

มู่ชิงเกอเพิ่งจะละสายตา

ซ่งจิ่นซานก็มองมาที่มู่ชิงเกออย่างแม่นยำ ในตอนที่นางมองเห็นมู่ชิงเกอนั้นนัยน์ตาก็เปล่งประกาย ปกปิดความยินดีไม่มิด

“จิ่นซาน เจ้ากำลังดูอะไร?” ผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างนางเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ

เดิมทีซ่งจิ่นซานก็เดินทางคนเดียว มาตอนนี้เพิ่งมาถึงสำนักวิถีโอสถก็ได้เพื่อนแล้ว ดูแล้วนางก็เป็นคนที่เป็นมิตรชอบคบหาเพื่อนฝูงคนหนึ่ง

ซ่งจิ่นซานเก็บความตื่นเต้นในใจกลับ ยิ้มมองเพื่อนแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรแล้ว เหตุใดอยู่ดีๆ เจ้าถึงได้ดีใจขึ้นมาเช่นนี้?” ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาอย่างไม่เชื่อ

ช่งจิ่นซานหัวเราะแล้วเอ่ยว่า”เพียงแค่พบคนรู้จักเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าข้ากับเขาจะรู้จักกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาจะคิดว่ารู้จักกับข้า”

ผู้หญิงคนนั้นฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจว่า “แปลกประหลาด”

การอธิบายของซ่งจิ่นซานยิ่งทำให้นางมึนงง

ซ่งจิ่นซานหัวเราะไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ต่อแถวลงชื่อกับผู้หญิงคนนั้น

บางครั้งนางก็ฉวยโอกาสในตอนที่ไม่มีใครสนใจลอบมองไปยังจุดที่มู่ชิงเกออยู่แวบหนึ่ง แน่นอนว่านางเองก็เห็นว่ามู่ชิงเกอยืนอยู่ท่ามกลางพวกเหมยจื่อจ้งสี่คน

รูปโฉมของทั้งสี่ล้วนแต่โดดเด่น บนร่างของสามคนในนั้นยังมีสัญลักษณ์ของสำนักวิถีโอสถส่วนใน สิ่งนี้ทำให้นัยน์ตาของซ่งจิ่นซานมืดทึบและหดหู่ขึ้นมา ถึงนางจะมั่นใจขนาดไหนแต่เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกออยู่ท่ามกลางผู้คนที่โดดเด่นเหล่านั้น ก็ทำให้นางก็รู้สึกว่าตนเองเล็กเหมือนฝุ่นธุลีอยู่ดี ปมด้อยที่ไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นมาจากหัวใจ

‘ข้าไม่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เพียงแต่มีพรสวรรค์ในการ ปรุงยา รอจนข้ามีความสามารถแล้วก็จะสามารถก้าวเข้าไปในโลกของเขาได้’ ซ่งจิ่นซานลอบเอ่ยในใจ

ความประทับใจที่นางมีต่อมู่ชิงเกอนั้นซับซ้อนมาก เพราะรูปโฉมอันน่าตกตะลึงของเขา ทั้งยังมีความสามารถที่น่านับถือ ที่สำคัญก็คือนางมีความรู้สึกอยาก พึ่งพิงมู่ชิงเกอตั้งแต่ที่ได้พบกันบนทะเลหยางไห่

‘เขาเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง ทั้งยังเป็นเจ้าเมืองลั่วซิงเฉิง แล้วก็ยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราชั้นมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลางอีก มาตอน นี้ก็มายังสำนักวิถีโอสถ…’ ซ่งจิ่นซานพูดในใจ ภาพลักษณ์ของมู่ชิงเกอยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจสัมผัสได้

ความยอดเยี่ยมโดดเด่นของมู่ชิงเกอทำให้นางได้แต่เงยหน้ามองยากที่จะใกล้ชิด

นางคิดอย่างสับสนวุ่นวายอยู่คนเดียว ส่วนอีกด้านมู่ชิงเกอก็ไม่ได้เอาเรื่องนางมาพัวพันใจอีก หลังจากมองดูสถานที่ลงชื่อไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็จากไปพร้อมกับจ้าวหนานชิง เหมยจื่อจ้ง ซางจื่อซูและจูหลิง ถึงแม้พวกเขาจะลงชื่อแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักวิถีโอสถอย่างเป็นทางการ เพราะยังต้องผ่านการทดสอบที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าไปพักในสำนักวิถีโอสถได้

“หลังจากที่พวกเรามีพื้นที่ยืนที่มั่นคงในสำนักวิถีโอสถแล้ว เพื่อความสะดวกในวันข้างหน้าจึงได้ซื้อเรือนหลังเล็กเอาไว้ที่นี่หนึ่งแห่ง หลายวันมานี้ศิษย์พี่เหมยก็พักอยู่ที่นี้ ชิงเกอ ห้องของเจ้าก็จัดเตรียมเอาไว้แล้ว” จ้าวหนานชิงพามู่ชิงเกอและทุกคนมาเรือนหลังเล็กที่มีสภาพแวดล้อมเงียบสงบหลีกเลี่ยงจากความวุ่นวายใน เมือง

เมื่อเปิดประตูใหญ่แล้วก็เชิญนางเข้าไป

มู่ชิงเกอก้าวเข้าไปในเรือน

ตัวเรือนไม่ใหญ่มาก ดูแล้วก็มีเพียงหกเจ็ดห้องเท่านั้น นอกจากห้องโถงและห้องครัว ห้องที่เหลือก็เพียงพอสำหรับพวกเขาคนละห้องพอดี

“หลายปีมานี้พวกเราไปมาที่นี่เป็นบางครั้ง” จูหลิงยิ้มและพูดออกมา

สายลมพัดเข้ามาทำให้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ในเรือนส่งเสียงดัง ‘ซ่า ซ่า’ และก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน

พวกเขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ต้นนั้น เหมือนคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้

หลังจากคิดถึงความทรงจำที่ผ่านมาแล้ว ทั้งห้าคนก็ถอนสายตากลับแล้วสบตากันหัวเราะออกมา ภายในโรงโอสถสาขาย่อยในแคว้นอวี๋ มู่ชิงเกอก็เคยมีเรือนหลัง เล็กที่คล้ายกันกับที่นี่อยู่หลังหนึ่ง

ภายในเรือนก็มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นไม้มีโต๊ะหิน พร้อมเก้าอี้หิน สำหรับหลบความร้อนนั่งจิบชาทานของว่างพูดคุยกัน

เดิมทีมู่ชิงเกอเตรียมเรือนหลังเล็กภายในโรงโอสถสาขาย่อยไว้เป็นป้อมปราการ

แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นสถานที่นัดพบกันของคนทั้งห้า

“ไปดูห้องของเจ้าก่อนว่าพอใจหรือไม่ แล้วพวกเราค่อยมานั่งคุยกันที่ใต้ต้นไม้” จ้าวหนานชิงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

“ข้าจะไปเตรียมของ” จูหลิงยิ้มหวานแล้วหันกายไปยังห้องครัว

ตอนนี้ซางจื่อซูได้เดินมาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าพาเจ้าไปที่ห้องเถอะ”

มู่ชิงเกอเป็นผู้หญิง ห้องของนางก็ถือว่าเป็นห้องส่วนตัว จ้าวหนานซิงและเหมยจื่อจ้งล้วนแต่เป็นคนมีมารยาท แน่นอนว่าจะไม่ไปยุ่งย่ามด้วย จึงขอตัวเดินไปยังใต้ ต้นไม้ก่อน

มู่ชิงเกอเดินตามซางจื่อซูมาถึงหน้าห้องๆ หนึ่ง ซางจื่อซูยกมือผลักประตู

ทั้งสองคนเดินตามหลังกันเข้าไปในห้อง มู่ชิงเกอยืนอยู่ในนั้นแล้วมองไปรอบๆ ห้องไม่ใหญ่มาก แต่กลับตกแต่งอย่างประณีตทำให้รู้สึกสดชื่น

ที่สำคัญก็คือนางพบว่า การตกแต่งของห้องๆ นี้ดูคล้ายกับห้องที่นางเคยอยู่ในโรงโอสถ

ห้องที่นางหมายถึงก็คือห้องในเรือนของโหลวป่ายชวนที่นางย้ายเข้าไปอยู่หลังจากกราบเขาเป็นอาจารย์แล้ว

“รู้สึกคุ้นเคยใช่ไหม?” เสียงของซางจื่อซูดังขึ้น

มู่ชิงเกอหันมองนาง ยิ้มแล้วก็พยักหน้า เมื่อคิดกลับไป นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววคิดถึง คิดถึงหลินชวน ทั้งยังคิดถึงชีวิตในโรงโอสถซึ่งเกรงว่าแม้แต่นางก็ยังพูดได้อย่างไม่ชัดเจน เส้นทางของการผู้แข็งแกร่งแต่เดิมก็เป็นเส้นทางที่ถูก กำหนดให้ต้องโดดเดี่ยว แต่ข้างกายของนางกลับรวบรวมกลุ่มเพื่อนที่มีใจเดียว กันมาโดยไม่รู้ตัว และแน่นอนว่ามันเป็นความโชคดีของนาง

เพราะความทะนุถนอมเป็นพิเศษทำให้นางให้ความสำคัญ จะรักษาเอาไว้ในใจตลอดไป

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปทางซางจื่อซูแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ลำบากแล้ว”

ลำบากพวกเขาที่ต้องฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อให้ได้มาพบกับตนเองในโลก แห่งยุคกลางไวขึ้น

ซางจื่อซูยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า

เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่แสดงออกเก่ง มีเพียงแค่ตอนอยู่ ต่อหน้ามู่ชิงเกอเท่านั้นที่จะพูดมากหน่อย

“เจ้าอยากจะพักผ่อนก่อน หรือจะ…,” ซางจื่อซูเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ข้าไม่เหนื่อย ไปนั่งกับพวกเจ้าก็ผ่อนคลายแล้ว”

ซางจื่อซูยิ้มออกมา “ดี”

ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องกลับไปยังใต้ต้นไม้

ตอนนี้จูหลิงก็ได้จัดชุดชาและอาหารว่างเอาไว้แล้ว

ทั้งห้าคนเข้าไปนั่ง จูหลิงก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็มีเพียงที่นี่ ที่ทำให้พวกเรารู้สึกว่ายังอยู่ในหลินชวน”

มู่ชิงเกอจิบชาฟังนางพูด หลังจากวางจอกชาลงแล้วก็พูดขึ้นว่า “ประตูมิติที่พวก เจ้าใช้มา ข้าก็ได้ใช้มาแล้วครั้งหนึ่งหลังจากนั้น ถือว่าค่อนข้างสมดุลดี หากพวก เจ้าอยากจะกลับไปดูหลินชวน ข้าสามารถจัดเตรียมศิลาวิญญาณให้พวกเจ้าได้”

คำพูดของนางทำให้คนอื่นๆ ชะงัก

จ้าวหนานซิงรีบโบกมือในทันทีแล้วเอ่ยว่า “เส้นทางจากภาคตะวันออกไปภาคตะวันตกนั้นห่างไกลเกินไป อีกทั้งตอนนี้พวกเราก็ยังเรียนไม่จบ ไม่รีบกลับไป”

“ใช่แล้ว อีกอย่างเจ้าก็เพิ่งมาถึง ยากมากที่พวกเราห้าคนจะได้อยู่รวมกัน จะไปได้อย่างไร?” จูหลิงก็เอ่ยขึ้น

เหมยจื่อจ้งนิ่งลงไป เงยหน้ามองมู่ชิงเกอแล้วพูดว่า “รอผ่านไปสักระยะ เมื่อเจ้าเสร็จธุระแล้ว พวกเราก็สามารถย้อนกลับไปยังหลินชวนด้วยกันได้”

“ดี คำไหนคำนั้น” มู่ชิงเกอพยักหน้าตกลง

หลังจากพูดคุยเล่นกันเสร็จ จ้าวหนานซิงก็มองไปยังมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งแล้วเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ก็ต้องทดสอบแล้ว ข้าต้องพูดเรื่องของสำนักวิถีโอสถให้พวกเจ้าฟัง

บ้าง”

พูดแล้วเขาก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า”พวกเราทั้งสามถือว่าได้สำรวจเส้นทางไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ก็คือการรายงานสถานการณ์คร่าวๆ”

มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันเอ่ยว่า “ลำบากศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซางและศิษย์พี่จูแล้ว”

จูหลิงหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ ซางจื่อซูก็ยิ้มบางๆ จ้าวหนานชิงกระแอมไอ ยืดกายขึ้นตรงแล้วพูดออกมาว่า “สำนักวิถีโอสถแบ่งออกเป็นส่วนในและส่วนนอก พูดง่ายๆ ก็คือ ส่วนนอกคือศิษย์ธรรมดาทั่วไป ส่วนในก็ คือศิษย์ที่มีความสำคัญ” เขาชี้ไปที่ตนเอง ซางจือซูและจูหลิง ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ไม่มีพรสวรรค์ หลายปี มานี้พวกเราสามคนเพิ่งจะได้เข้าไปอยู่ในส่วนใน แบ่งกันกราบปรมาจารย์สามท่านเป็นอาจารย์’

มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน

ภายในรอยยิ้มไม่มีความอิจฉาหรือหดหู่ใจ มีเพียงความรู้สึกยินดีกับพวกเขาเท่านั้น

“ตามกฎแล้ว ทุกครั้งที่สำนักวิถีโอสถเปิดรับศิษย์ก็จะเข้าไปเป็นศิษย์ส่วนนอกก่อน หลังจากเรียนขั้นพื้นฐาน และผ่านการทดสอบหลายครั้ง อิงตามความสามารถและการแสดงออกภายในหนึ่งปี ก็จะถูกคัดเลือกเข้าไป ในรายชื่อทดสอบเป็นศิษย์ส่วนใน จากนั้นผู้ถูกคัดเลือกตามรายชื่อก็จะได้รับการทดสอบอีกครั้งหนึ่ง คนที่มีคุณสมบัติถึงจะสามารถเข้าไปในส่วนในได้ หากว่าล้มเหลวก็ต้องรออยู่ส่วนนอกไปอีกหนึ่งปี”

เมื่อจ้าวหนานซิงพูดจบก็มองเหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอ

ทั้งสองคนกำลังครุ่นคิด

ครู่หนึ่งเหมยจื่อจ้งก็ถามขึ้นมาว่า “นอกจากสถานะส่วนนอกและส่วนในที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีอะไรที่แตกต่างอีก?”

จูหลิงเอ่ยว่า “ศิษย์ส่วนนอกจะได้สัมผัสแต่กับการปรุงยาเบื้องต้นเท่านั้น เช่นการคัดแยกวัตถุดิบ ท่องเทียบยา หรือการปรุงยาระดับสูงเป็นต้น หากคิดจะเป็นผู้ถูกคัดเลือกเข้าสู่ส่วนใน อันคับแรกก็ต้องสามารถปรุงยาระดับจิตให้ได้ก่อน นี่เป็นเหมือนประตู แน่นอนว่าสำหรับศิษย์พี่เหมยและชิงเกอแล้ว ล้วนแต่ไม่ใช่ปัญหา หลังจากเข้าไปสู่ส่วนในแล้วก็จะได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์ อีกทั้งเทียบยาและวิชาปรุงยาที่ได้สัมผัสก็ล้วนแต่เป็นระดับสมบัติและระดับเทวะขึ้นไป และจะได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าบรรดาศิษย์ส่วนนอกมาก”

“ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสามคนอยู่ที่ระดับไหนกันแล้ว?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ถามขึ้นมา

ทั้งสามคนสบตากันแล้วจ้าวหนานชิงก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้ทะลวงขอบเขตสู่ระดับเทวะแล้ว แต่ขอบเขตยังไม่สมดุล ส่วนพวกนางทั้งสองคน ตอนนี้ก็กำลังจะทะลวงเข้าระดับเทวะ”

คำพูดของเขาทำให้เหมยจื่อจ้งยิ้มอย่างขมขื่นออกมา “ดูแล้วข้าอยู่ระดับต่ำที่สุด” ถึงแม้ว่าไม่กี่ปีมานี้เขาจะไม่ได้หยุดปรุงยา แต่ก็ยังห่างจากคำว่าอาจารย์ปรุงยา ระดับเทวะอีกระยะหนึ่ง

เขาเคยเป็นอันดับหนึ่งของโรงโอสถสาขาย่อย มาตอนนี้กลับอยู่รั้งท้าย ช่องว่างก็ไม่น้อย ดีที่เหมยจื่อจ้งมีนิสัยเฉยชาจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจมากนัก

“ศิษย์พี่ พรสวรรค์ของท่านดีกว่าพวกเราสามคนมาก ท่านต้องสามารถกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะได้อย่างรวดเร็วแน่นอน” จูหลิงพูดปลอบ

เหมยจื่อจ้งยิ้มบางๆ ไม่ได้หดหู่หรือหยิ่งผยองในตนเอง

“ตอนนี้อาศัยความสามารถของพวกเจ้า การทดสอบเข้าสู่สำนักวิถีโอสถนั้นไม่ใช่ปัญหาการทดสอบเข้าสู่ส่วนนอก ถึงแม้ข้าจะไม่พูดให้พวกเจ้าฟังก็ไม่ยาก สำหรับพวกเจ้า” จ้าวหนานซิงเอ่ย

แต่คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป มู่ชิงเกอก็เงยหน้ามองเขา นัยน์ตาที่สดใสดูเปล่งประกาย “จะเข้าก็ต้องเข้าส่วนใน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version