Skip to content

พลิกปฐพี 449

ตอนที่ 449

คิดจะหักหน้าคุณชายงั้นหรือ

“จะเข้าก็ต้องเข้าส่วนใน” มู่ชิงเกอพูดอย่างแน่วแน่

คำพูดของนางทำให้ทั้งสี่คนชะงักไป มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “อีกสี่ปีกว่าๆ โลกแห่งยุคกลางจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น ข้าไม่มีเวลามากพอจะอยู่ในสำนักวิถีโอสถ ยิ่งไม่มีเวลาจะไปสูญเสียอยู่ในส่วนนอกตั้งหนึ่งปี ข้าไม่เพียงแต่ต้องเข้าสู่ส่วนใน แต่ยังต้องเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถที่จะจัดขึ้นใน

อีกไม่นานด้วย”

“งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ! เจ้าคิดจะเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถงั้นหรือ? เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปีก็จะถึงแล้ว อีกอย่างคนที่สามารถเข้าร่วมได้ ก็ต้องมีสถานะของศิษย์ส่วนใน” จ้าวหนานซิงพูดอย่างแปลกใจ

ส่วนที่ซางจื่อซูใส่ใจกลับเป็น “หลังจากนี้อีกสี่ปี โลกแห่งยุคกลางจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่อะไรขึ้นหรือ?”

คำพูดของมู่ชิงเกอเหมือนกับหินที่ตกลงบนผิวนํ้าที่เรียบนิ่งจนเกิดระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ทำให้พวกเขาล้วนแต่สงสัย

ในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน เหมยจื่อจ้งอยู่ในลั่วซิงเฉิง แต่เพราะมีนิสัยเฉยชาและไม่ค่อยสื่อสารกับคนอื่นๆ จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกเพียงเล็กน้อย ส่วนอีกสามคนก็ล้วนแต่ศึกษาวิชาปรุงยาอยู่ในสำนักวิถีโอสถ ที่คุ้นเคยก็มีแค่พื้นที่เล็กๆ นอกจากภาคตะวันออกแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยไปไหนอีกเลย ประกอบกับที่มีการปิดกั้นข่าวสารด้วยแล้ว พวกเขาก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

มู่ชิงเกอนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วก็พูดกับทั้งสี่คนว่า “อีกสี่ปีกว่าๆ สุสานเทพจะเปิดออก หากว่าพวกเจ้าอยากจะไปแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร เพื่อเข้าสู่พื้นที่ที่สูงขึ้นไปอีก นี่ก็เป็นเพียงโอกาสเดียว”

มีเพียงแค่ได้รับสิทธิ์แห่งเทพและเข้าไปสู่แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรแล้ว พวกเขาถึงจะสามารถฝึกฝนต่อได้ มิเช่นนั้น ถึงแม้จะเข้าไปได้โดยวิธีอื่นก็ไม่สามารถฝึกฝนได้

ระดับพลังในโลกแห่งยุคกลางเมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว…

หัวใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้งขึ้น การไปแดนมารในครั้งนี้ ทำให้นางสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้อย่างลํ้าลึก ในเหวหนอนโบราณ พลังจิตของนางฆ่าแมลงตัวหนึ่งก็ยังไม่ได้ ความรู้สึกอ่อนแอเช่นนั้นทำให้นางไม่คุ้นเคย

“แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร…” จ้าวหนานชิงพึมพำ เมื่อมาถึงโลกแห่งยุคกลาง แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนตำนาน

“ว่ากันว่า เส้นทางไปแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารไม่ได้เปิดมานับหมื่นปีแล้ว” จูหลิงก็พูดออกมา

“คนที่สามารถเข้าไปในสุสารเทพได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร?” ซางจื่อซูเอ่ยถาม

นัยน์ตาของนางเป็นประกายและเต็มไปด้วยการต่อสู้ พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่ไม่ชอบใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีความทะเยอทะยานมาก เพียง แต่เพราะเมื่อพวกเขารู้ว่ายังมีโลกที่สูงและกว้างใหญ่กว่า จึงอยากจะไปดูบรรยากาศจากบนที่สูง

ดวงตาของคนทั้งสี่มองไปยังมู่ชิงเกอ

นางเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเรื่องราวก่อนหลังให้พวกเขาฟัง รวมไปถึงเรื่องที่เหนือจากระดับสีทอง แล้วยังมีระดับข้ามผ่าน ระดับข้ามผ่านทุกระดับจะแตกต่างกัน รวมไปถึงเรื่องรากวิญญาณ และประตูสวรรค์…

หลังจากฟังจบแล้ว ทั้งสี่คนก็นิ่งเงียบลง

ครู่หนึ่งเหมยจื่อจ้งถึงได้เอ่ยว่า “ก็หมายความว่ามีเพียงแค่สิทธิ์แห่งเทพยังไม่พอ แต่ยังต้องมีรากวิญญาณ ต้องผ่านเคราะห์อัสนีสามครั้งถึงจะกลายเป็นประตูสวรรค์”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “หากไม่มีรากวิญญาณ หลังจากผ่านเคราะห์อัสนีครั้งแรกไปแล้วก็จะสามารถมองออกได้ แต่ถึงแม้ไม่มีรากวิญญาณ พวกเราที่เป็นอาจารย์ปรุงยา ก็สามารถสร้างรากวิญญาณเทียมออกมาได้ เพราะถึงอย่างไรอาชีพหลักของพวกเราก็คือการปรุงยา การใช้ศาสตร์การปรุงยารับรองเส้นทางก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมี”

“ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือต้องเร่งการฝึกฝน ต้องทะลวงขอบเขตสู่ระดับสีทองให้ได้ก่อนที่สุสานเทพจะเปิด เช่นนั้นถึงจะมีโอกาสได้สิทธิ์แห่งเทพ’’ จ้าวหนานซิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมา

เพียงแต่ประโยคนี้ของเขาทำให้คนอื่นๆ นิ่งเงียบลง ระดับพลังของพวกเขาตอนนี้อยู่เพียงแค่ระดับสีเงินชั้นหนึ่ง ชั้นสองเท่านั้น

จะต้องทะลวงขอบเขตสู่ระดับสีทองภายในระยะเวลาสั้นๆ สี่ปี แม้ว่าจะใช้ยาช่วยมากมายแค่ไหนก็ยากอยู่ดี

มู่ชิงเกอเห็นทั้งสี่คนดูเคร่งเครียดแล้วก็ยิ้มเอ่ยออกมาว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่ายังมีข้าอยู่หรือ? พวกเจ้าไม่ต้องเร่งร้อน ฝึกฝนตามที่ควรเป็น ถึงเวลานั้น หากพวกเจ้าไม่สามารถไปได้ ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าแย่งสิทธิ์แห่งเทพกลับมาเอง”

“เช่นนั้นก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว!” จูหลิงยิ้มพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ

นางรู้ดีว่าหากฝืนเข้าไปทั้งๆ ที่แข็งแกร่งไม่เพียงพอ ก็จะเป็นแค่เพียงตัวถ่วง หากจะเป็นเช่นนั้นไม่สู้ทำตามที่มู่ชิงเกอพูดจะดีกว่า

“อืม พวกเราอย่าเพิ่งคิดมากไป ต้องรีบฝึกฝนถึงเป็นเรื่องหลัก” จ้าวหนานชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ดังนั้น ข้ากับศิษย์พี่เหมยจึงไม่มีเวลาจะไปสูญเสียในส่วนนอกพวกเราต้องเข้าไปในส่วนในโดยตรงเลย ศิษย์พี่จ้าวช่วยพวกเราคิดหาวิธีที”

จ้าวหนานซิงเม้มริมฝีปากนิ่งเงียบ เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่กำลังครุ่นคิดหาวิธีจะทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งหลีกเลี่ยงการเข้าส่วนนอกและเข้าไปยังส่วนในโดยตรงได้

จูหลิงและซางจื่อซูก็ครุ่นคิดขึ้นมา

“ถึงแม้พวกเราจะอยู่ในสำนักวิถีโอสถไม่นาน แต่ก็รู้ดีว่าสำนักวิถีโอสถเป็นสถานที่ที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาก” ซางจื่อซูขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

จูหลิงพยักหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งว่า “อยู่ส่วนนอกหนึ่งปีไม่เพียงแต่เพื่อดูว่าคนๆ นั้นเหมาะแก่การปรุงยาหรือไม่ แต่ยังดูนิสัยด้วย”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธี” จ้าวหนานซิงพูดออกมา

คิ้วของเขายังคงขมวดอยู่ แล้วก็พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา “อาศัยชื่อเสียงภายในโลกแห่งยุคกลางของชิงเกอในตอนนี้ น่าจะสามารถทำให้สำนักวิถีโอสถอะลุ่ม อะล่วยให้ได้บ้าง และนางก็สามารถรับรองให้กับศิษย์พี่เหมย รวมกับมีคำรับประกันจากพวกเราสามคน เพียงแต่ต้องผ่านการทดสอบเข้าสู่ส่วนใน น่าจะไม่มีปัญหามาก”

ทั้งสี่คนฟังแล้วก็พยักหน้าติดต่อกัน

มู่ชิงเกอโบกมือเอ่ยว่า “ดี เช่นนั้นก็ทำเช่นนี้ ในการทดสอบวันพรุ่งนี้ก็ทำตามที่ศิษย์พี่จ้าวพูด หากว่าคนที่มาคุมการทดสอบเหล่านั้นตัดสินใจไม่ได้ก็เชิญคนที่ ตัดสินใจได้ออกมาพูดคุย”

นางไม่เชื่อว่ากฎของสำนักวิถีโอสถจะไม่สามารถยืดหยุ่นได้เลย

เหมยจื่อจ้งเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับสมบัติ ส่วนนางก็เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ ยังมีความจำเป็นอะไร ต้องไปเสียเวลาอยู่ส่วนนอกถึงหนึ่งปีอีก?

“ได้” จ้าวหนานชิงยืนขึ้นมา เอ่ยกับพวกเขาว่า “คืนนี้ พวกเจ้าสองคนก็พักที่นี่ ข้าจะกลับไปก่อน เพื่อสืบดูว่าคนที่รับผิดชอบในการทดสอบในวันพรุ่งนี้เป็นใคร และก็จะไปพูดกับอาจารย์ของข้าเสียหน่อย”

พูดแล้วเขาก็เอ่ยกับซางจื่อซูและจูหลิงว่า “พวกเจ้าก็กลับไปพูดกับอาจารย์ของใครของมัน หากว่าสามารถเชิญปรมาจารย์สามท่านมาร่วมรับรองได้ ชิงเกอและศิษย์พี่เหมยก็จะมีโอกาสมากขึ้นหน่อย”

ซางจื่อซูและจูหลิงก็ยืนขึ้นแล้วพยักหน้า ทั้งสามคนจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ชักช้า คำพูดก่อนหน้านี้ของมู่ชิงเกอทำให้พวกเขาร้อนใจขึ้นมา เวลาไม่รอคอยใคร เวลาของพวกเขาไม่ได้มีมากมายอย่างที่พวกเขาคาดคิด ครั้งนี้พวกเขาหวังว่าจะสามารถเดินทางไปแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารกับมู่ชิงเกอได้ ไม่ใช่ให้นางไปก่อนอีกแล้ว

หลังจากทั้งสามคนจากไป เหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอก็ยังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เขามองนาง ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “ชิงเกอ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”

มู่ชิงเกอชะงัก รู้สึกไม่เข้าใจ

เมื่อถูกสายตาที่เรียบนิ่งของเหมยจื่อจ้งจ้องมอง นางถึงได้เข้าใจความหมายในคำพูดนั้น การฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้…นางเหนื่อยไหม?

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วก็เล่นกับจอกชาในมือ หลุบตาลงมองใบชาที่ลอยอยู่ในจอก ค่อยๆ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ หากว่าข้ากลัวความลำบาก ตอนนี้คงยังเป็นคุณชายของตระกูลมู่ อยู่ในแคว้นฉินแล้ว เส้นทางของผู้แข็งแกร่งเป็นเส้นทางที่ข้าเลือกเอง ไม่ว่าเส้นทางนี้จะลำบากและยากแค่ไหน ข้าก็จะเดินต่อไป คนเราเกิดมาก็ต้องมีเป้าหมายเพื่อมุ่งไป ท่านว่าใช่ไหม?”

นางมองเหมยจื่อจ้งด้วยดวงตาที่สดใสเปล่งประกาย

มีคนมากมายที่คิดว่า ที่นางต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นั้น เป็นเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบของนาง แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายของนางไม่เคยเปลี่ยน หน้าที่และความรับผิดชอบเหล่านี้เป็นเพียงแค่ภารกิจตามเส้นทางที่นางเดินไปก็เท่านั้น และก็เป็นแรงจูงใจไม่ใช่ภาระหรืออุปสรรค

เหนื่อยหรือ? ร่างกายอาจจะเหนื่อยล้าบ้าง แต่หัวใจของนางไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย!

วันที่สอง จ้าวหนานซิงก็มาเรือนหลังเล็กแต่เช้า แล้วก็พามู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งเดินไปยังสำนักวิถีโอสถ

ตามทางจ้าวหนานชิงก็แนะนำแก่ทั้งสองคนว่า “เมื่อวานหลังจากที่พวกเรากลับไปก็บอกเรื่องสถานการณ์ของพวกเจ้าให้อาจารย์ของพวกเราฟัง พวกเขาตกลงว่าจะรับรองให้พวกเจ้า ส่วนคนที่รับผิดชอบการทดสอบก็ตัดสินใจไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่ง”

“คำสั่งจากเบื้องบน?” มู่ชิงเกอมองเขาอย่างแปลกใจ

จ้าวหนานซิงพยักหน้า “รายละเอียดนั้นข้าเองก็ไม่รู้ แต่สรุปแล้วตอนนี้พวกเจ้าสามารถเข้าร่วมการทดสอบเข้าส่วนในได้ แต่มีเงื่อนไข…”

จ้าวหนานซิงขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างลังเลว่า “ความต้องการของสำนักวิถีโอสถก็คือ ให้พวกเจ้าสองคนเข้ารับการทดสอบก่อน อีกทั้งยังต้องทำการทดสอบต่อหน้าทุก คนที่มาลงชื่อ”

นัยน์ตาของเหมยจื่อจ้งดูหนักอึ้งขึ้น มองไปยังมู่ชิงเกอ อย่างกังวลใจ แล้วก็เอ่ยกับจ้าวหนานซิงว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”

จ้าวหนานซิงส่ายหน้ายิ้มอย่างขมชื่น เขามองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของชิงเกอในตอนนี้นั้นโด่งดังมาก บางทีอาจจะมีใครบางคนไม่ชอบใจ การทดสอบ อย่างเปิดเผยในครั้งนี้ หากว่าเจ้าชนะก็สามารถรักษาหน้าเอาไว้ได้ แต่หากแพ้ ก็…”

เขายังพูดไม่จบ แต่มู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้งก็เข้าใจแล้ว สีหน้าของเหมยจื่อจ้งหนักอึ้ง ภายในนัยน์ตาที่เคยเรียบสงบฉายแววโมโหที่มีไม่บ่อยนักออกมา “หากว่าไม่ยอมก็แล้วไป เหตุใดต้องลอบวางกลอุบายเช่นนี้ด้วย?”

“เรียกว่าวางอุบายก็ไม่ถูก” สีหน้าของมู่ชิงเกอดูไม่ใส่ใจ นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บางทีอาจจะมีใครสักคนในสำนักวิถีโอสถคิดอยากจะทำลายศักดิ์ศรีของข้า เพื่อ ป้องกันไม่ให้ข้าหยิ่งผยองเกินไปหลังจากเข้าไปในสำนักวิถีโอสถ”

จ้าวหนานซิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้า…”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “การทดสอบต่อหน้าสาธารณะชนก็คือต้องการหักหน้า ดังนั้นก็ต้องเตรียมตัวถูกหักหน้า เพียงแต่…”

นางหันมองเหมยจื่อจ้ง แล้วก็พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ทำให้ศิษย์พี่เหมยต้องพลอย ลำบากไปด้วยแล้ว”

เหมยจื่อจ้งส่ายหน้าเอ่ยว่า “ลำบากอะไรกัน? หากไม่อาศัยเจ้า เกรงว่าข้าก็ต้องเสียเวลาอยู่ในส่วนนอกไปถึงหนึ่งปี การเสียเวลาเช่นนี้ข้าก็ไม่ยอมเช่นกัน”

ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ก้าวยาวๆ เดินไปยังสำนักวิถีโอสถ

เมื่อมาถึงสถานที่ลงชื่อที่มาเมื่อวาน ด้านล่างบันไดก็มีคนยืนอยู่เต็มไปหมดแล้ว เมื่อกวาดตามองออกไปอย่างน้อยก็น่าจะมีถึงหลักหมื่น

พวกเขาเฝ้ารออยู่ด้านล่างบันได รอคนของสำนักวิถีโอสถปรากฎตัวออกมา รอการทดสอบ

เวลานี้เอง ก็มีคนสามคนค่อยๆ เดินลงมาจากบันได

สามคนนี้ คนหนึ่งภายในนั้นดูค่อนข้างมีอายุ ผมขาว แต่ใบหน้ากลับไม่แก่ รูปลักษณ์ดูเคร่งขรึม ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นรุ่นเยาว์ มองดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้ว น่าจะเป็นเด็กฝึกหัดของคนที่อยู่ตรงกลางคนนั้น

“คนนี้ก็คือผู้รับผิดชอบการทดสอบในปีนี้ ปรมาจารย์ เฟิงผิง” จ้าวหนานซิงกระซิบให้ทั้งสองคนฟัง

เฟิงผิงยืนอยู่บนบันได กวาดตามองไปยังใบหน้าแต่ละใบหน้าที่ดูตื่นเต้นและหวาดกลัวเหล่านั้นแล้วก็ค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นมา “คนสองคนที่อยากจะทดสอบเข้าสู่ส่วนในโดยตรงเลยอยู่ไหน?”

เพียงแค่เขาพูดออกมา ก็ทำให้ทุกคนชะงัก

มีคนคิดจะทดสอบเข้าส่วนในเลยงั้นหรือ? โง่หรือเปล่า! ที่สำคัญก็คือเหตุใดเมื่อได้ฟังความหมายจากคำพูดของปรมาจารย์เฟิงผิงแล้วจึงดูเหมือนว่าสำนักวิถีโอสถยอมเปิดทางลัดให้สองคนนั้นอย่างนั้นเล่า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version