ตอนที่ 46
พาพวกมารุมอย่างนั้นหรือ ข้าก็จะสู้ให้ถึงที่สุด!
พูดจบ ใบหน้าของชายหนุ่มหลายตระกูลดูเย็นชาขึ้นมาก พูดจาข่มขู่อย่างไม่สนใจสถานการณ์ “ไอ้อ้วนเช่า ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ อยากจะประลอง ตัดสินกับข้าต่อหน้ามหาปราชญ์อย่างนั้นรึ?” ผู้พูดเป็นขั้นส้มชั้นสูงสุด หากคิดรับมือกับขั้นแดงชั้นต้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายมาก และบนสนามประลอง จะเป็นหรือตายก็ต้องขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการชีวิตของเจ้าอ้วนเช่า
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้ารึ!”
“เจ้าอ้วน”
มู่ชิงเกอเรียกสติเจ้าอ้วนเซาที่กำลังรนหาที่ตายเอาไว้ได้ทันเวลา
ทีแรกนางไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องนี้ แต่จะให้เจ้าอ้วนเช่ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะนางไม่ได้
นางค่อยๆ ลุกขึ้น ส่งเหล้าที่อยู่ในมือเข้าปาก ชุดสีแดงปลิวสะบัด ผมดำราวหมึกปลิวไหวไปมา ดูน่าดึงดูดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เมื่อดื่มหมดแก้ว มู่ชิงเกอที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนอยู่ในตอนนี้ ก็ทิ้งแก้วไปด้านหลังอย่างไม่แยแส พูดกับซือมั่วที่นั่งอยู่บนที่สูงกว่า “จะไปได้รึยัง?”
พอพูดจบสีหน้าทุกคนก็พลันแปรเปลี่ยน
กลัวว่าคำพูดไม่เข้าหู ความเสเพลและโง่เง่าของมู่ชิงเกอจะทำให้มหาปราชญ์ทรงกริ้ว จนทำให้แคว้นฉินทั้งแคว้นต้องเดือดร้อน
“มู่ชิงเกอ เจ้าเป็นใคร? กล้าพูดแบบนี้กับมหาปราชญ์ได้อย่างไร?”
“บังอาจ! มู่ชิงเกอ ยังไม่รีบคุกเข่าลงสำนึกผิด
อีก!”
“ข้าว่าพวกเจ้าพอได้รึยัง?” น้ำเสียงของมู่ชิงเกอทั้งเยือกเย็นและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน กลบเสียงทุกเสียงในทันใด
ทั้วทั้งบริเวณเงียบลงอย่างกะทันหัน ทุกคนมองนางด้วยความตกใจ มองราวกับกำลังส่งนางไปสู่ความตาย ขนาดมู่ซงและมู่เหลียนหรงเองก็ตาโตค้างด้วยความตื่นตระหนก สายตาของฉินอี้เหยาที่นั่งอยู่ท่ามกลางเชื้อพระวงศ์ก็มีความกังวลพาดผ่าน
มีเพียงคนเดียว ที่นัยน์ตามีรอยยิ้มแฝงอยู่ นั่นก็คือซือมั่วที่นั่งอยู่ด้านบนสุด
มู่ชิงเกอใช้สายตาอันเยือกเย็นและเรียบเฉยมอง ไปรอบๆ รอยยิ้มเยาะเย้ยตรงมุมปากกดลึกยิ่งขึ้น “ก็ แค่พวกจอมปลอม มีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า? ใช่ ข้าซ้อมคนกลางตลาด แล้วอย่างไร หากเทียบกับผู้ที่กล้าแอบปองร้ายข้าแล้ว ก็ถือว่าทำอย่างสง่างามเปิดเผย ข้าไปค้างที่ตรอกนางโลมแล้วอย่างไรเล่า ก็แค่ไปฟังเพลง ชมการแสดงเต้นรำ ข้าให้เกียรติพวกนางโลมมาก แม้ว่าจะเอาเปรียบไปบ้าง แต่ก็จ่ายเงิน ไม่เหมือนบางคน ภายนอกก็ทำตัวเป็นวิญณูชน แต่ในที่ลับกลับฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้าน รังแกสาวใช้ในตำหนัก ยังไม่ทันจะเข้าพิธีสวมหมวก ก็มีสาวใช้อุ่นเตียงอยู่เต็มตำหนัก เหมือนพวกม้าตัวผู้ติดสัดก็ไม่ปาน ข้าไม่อาจฝึกฝนพลังได้ แต่อย่างไรมหาปราชญ์ก็ทรงชื่นชอบข้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าพวกว่างงานชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างพวกเจ้าด้วย จงเก็บซ่อนความรู้สึกอิจฉาริษยาของพวกเจ้าไว้ให้ดีเถอะ อย่าให้ข้าเห็นมันอีก ไม่เช่นนั้น เจอหน้าที่ไหน ข้าจะเหยียบมันให้จมดินที่นั้น อยากจะเอาพวกมารุม ข้าก็จะสู้ให้ถึงที่สุด!”
พูดจบ นางก็ไม่สนใจสีหน้าตระหนกของคนรอบข้าง กวาดสายตาคมปลาบไปทางซือมั่วที่นั่งอยู่บนสุด “ท่านน่ะ จะไปหรือไม่ไป!”
คำพูดโอหังสามหาว และใบหน้าหยิ่งยโส แทบจะทำให้ทุกคนตกใจจนฉี่ราด
ซือมั่วยิ้มมุมปาก ท่าทางดูโมโหของคนชุดแดง ทำให้เขามีความสุข เงาร่างอันสูงใหญ่เพียงพลิ้วกายก็พามู่ชิงเกอหายไปจากครรลองสายตาของทุกคน
เหลือไว้เพียงผู้คนที่งงเป็นไก่ตาแตก
เกรงว่าจะไม่มีใครคาดคิดว่า จอมเสเพลไร้พลังของตระกูลมู่ จะกล้าพูดอุกอาจแบบนี้ออกมา
และที่สำคัญก็คือไม่ได้ทำให้มหาปราชญ์ทรงกริ้ว แต่กลับทำให้พระองค์พาเขาจากไปแล้วด้วย
ทุกคนมองไปยังเก้าอี้มังกรที่ทำจากหยกขาว บรรยากาศเงียบสงบไร้เสียง
มังกรพยัคฆ์วายุที่ดูน่าเกรงขามพวกนั้นก็หายไปเช่นเดียวกัน ราวกับกลายเป็นสายลมหอบหนึ่งที่พัดไป
ทันใดนั้นในมุมมืดหลังเก้าอี้มังกรที่ทำจากหยกสีขาว ก็มีเงาร่างอันผอมบางเดินออกมา เขาสวมชุดดำสนิทตลอดทั้งร่าง กอดกระบี่ไว้แนบอก ใบหน้าดูเยือกเย็นไร้ความรู้สึก
เขาค่อยๆ เดินออกมา กวาดสายตามองทุกคนจากหัวจรดเท้าด้วยสายตาอันเยือกเย็น และหยุดสายตาที่มู่ซง
“ท่านผู้เฒ่ามู่ เจ้านายของข้าให้มาบอกท่านว่า อีกสักครู่คุณชายมู่จะกลับตำหนักเอง ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” กู่หยาพูดอย่างเย็นชา ในใจรู้สึกสลดยากจะระงับ
ใต้หล้านี้ มีคนที่ทำให้เจ้านายของตนเองคิดก่อนทำอย่างรอบคอบขนาดนี้ด้วยหรือ
ถ้าคนพวกนั้นรับรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ คงจะเกิดความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้หลายคนต้องตกใจจนลูกตาหลุดออกเบ้าแน่
มู่ซงที่ถูกขานชื่อ ในใจเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แต่ก็ยังคงยกมือขึ้นประสานหมัดแสดงความเคารพ เพื่อเป็นการขอบคุณที่กู่หยานำข่าวมาแจ้ง
การให้ความเคารพคล้อยตามผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตรงกันข้ามกับนิสัยของคนตระกูลมู่
แต่มู่ชิงเกอได้รับเกียรติจากมหาปราชญ์ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ราวกับว่า หากวันหนึ่งเขาไม่สามารถปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ได้ ก็คงจะไม่ถึงขั้นโดนใครมาโขกสับเอาได้ง่ายๆ
ท่ามกลางท้องฟ้าในยามคํ่าคืน มู่ชิงเกอรู้สึกแค่ว่าตนเองเหมือนไร้ซึ่งนํ้าหนักไปชั่วขณะและตกสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นในทันที สายลมที่พัดอยู่รอบๆ ถูกกันเอาไว้ด้านนอก
เมื่อนางตั้งใจสังเกต กลับเห็นว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนรถม้าอันกว้างใหญ่และคนที่โอบตัวนางก็คือนายตัวประหลาดที่อยู่ในชุดขาวอันงดงาม ถูกคนที่มีอายุมากกว่าพันปีกอด มู่ชิงเกอรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
นางแกะมือของชายหนุ่มออกโดยไม่ลังเล แล้วดิ้นออกมาจากอ้อมกอดอันอบอุ่น ไปเบียดอยู่ตรงมุมๆ หนึ่งของรถม้า
นางมองชายหนุ่มที่กำลังยิ้มแวบหนึ่งแล้วจึงเริ่มพิจารณาสภาพภายในรถม้าหลังนี้
รถม้านี่กว้างมากใหญ่มากจริงๆ
ในใจนางกำลังคำนวณว่า นี่คงจะประมาณ 100 ตารางเมตรเห็นจะได้ ใหญ่กว่าที่เห็นภายนอกมากนัก ในรถม้ามีทุกอย่างที่ต้องการ ถือเป็นห้องนอนของชายคนนี้โดยสมบูรณ์
แต่ว่า…
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
หลายครั้งที่เจอกับเจ้าเฒ่าประหลาดคนนี้ เขาก็มักจะสวมชุดสีขาว ทีแรกนางคิดว่าสีโปรดของเขาคงจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์เสียอีก แต่ไม่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในรถม้าหลังนี้กลับเป็นสีดำล้วน
เบาะนุ่ม ที่นอน หมวก ล้วนเป็นสีดำทั้งหมด รวมทั้งกระถางธูป โต๊ะเก้าอี้ต่างก็เป็นสีดำ สีดำสนิทแบบนี้ ราวกับจะกลืนสีแดงสดบนตัวของนางไปทั้งหมด