ตอนที่ 47
พลังระดับสวรรค์
ซือมั่วที่นั่งเท้าเปล่าอยู่บนที่นอนกลับกลายเป็นแสงสว่าง เพียงหนึ่งเดียวในรถม้าหลังนี้
แต่ว่าความลํ้าค่าของสิ่งของที่วางประดับอยู่ในรถม้า สำหรับมู่ชิงเกอที่ตาไม่ถึงแล้วนางจึงไม่มีความตื่นเต้นแม้แต่น้อย นอกเสียจากจะมีคนมาบอกนางตรงๆ ว่า แค่หยิบสิ่งของที่ดูไม่เข้าตาสักชิ้นที่ตกแต่งอยู่ในห้องนี้ออกไป ก็จะสามารถซื้อเมืองเมืองหนึ่งได้อย่างง่ายดายนาง จึงจะยอมประจบเขาว่า “ท่านเศรษฐี เป็นเพื่อนกับข้าเถอะ!”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์”
ซือมั่วเพิ่งอ้าปากพูดก็เห็นมู่ชิงเกอยื่นมือออกมาทำท่าให้หยุดพูด เขาปิดปากด้วยท่าทางขำๆ อยากจะรู้ว่าแม่หนูคนนี้จะทำอะไร
มู่ชิงเกอเก็บซ่อนสายตาพิจารณาเอาไว้ แล้วพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชาว่า “เจ้าอยากจะเล่นอะไรอีก?”
“เล่น?” ซือมั่วขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ แต่สีหน้ากำลังบ่งบอกถึงความสุข
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะเย้ย “แม้จะไม่สนิทกับเจ้า แต่ข้าว่าเจ้าไม่เหมือนคนที่ว่างถึงขนาดไปปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงพระราชวังให้คนนับหมื่นต้องกราบไหว้”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างเข้าใจข้าดีจริงๆ เลย” ซือมั่วพูดพร้อมรอยยิ้ม ในเสียงหัวเราะนั้นหอมหวานดั่งสุราชั้นดี ดังกึกก้องอยู่ในรถม้าเหมือนเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับ ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้
เข้าใจเจ้ากับผีน่ะสิ!
ในใจของมู่ชิงเกอดูถูกไอ้เจ้าคนชอบคิดเองเออเองผู้นี้นัก พยายามรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคนไว้
การเตรียมพร้อมและตื่นตัวตลอดเวลาภายใต้ชุดสีแดงอันสวยงามนั่น ทำให้ซือมั่วไม่ค่อยจะชอบใจนัก
เขาไม่ได้พูดอะไรและตอบคำถามของมู่ชิงเกอตามปกติ “ข้าก็แค่อยากเจอเจ้าอีกครั้งก็เท่านั้น” และอยากจะเห็นว่านางเป็นอย่างไรในสายตาของคนอื่นๆ
“จะอ้วก” มู่ชิงเกอสะบัดแขนที่กำลังขนลุกไปมา พูดอย่างเหลืออด “ขอร้องเถอะ เจ้าเฒ่าประหลาดที่มีอายุมาแล้วไม่รูกี่ปี พูดจาชวนอ้วกให้น้อยลงกว่านี้หน่อย” เห็นเรื่องน่าขนลุกเป็นเรื่องสนุกตลอดเลย
“เจ้าเฒ่าประหลาดอย่างนั้นเหรอ?” ซือมั่วทวน ‘ชื่อเล่น’ ที่มู่ชิงเกอใช้เรียกเขา นัยน์ตามีรอยยิ้มและค่อยๆ ยอมรับมัน
หากกู่หยาและกู่เย่เห็นฉากนี้เข้า คนไว้ใจได้ทั้งสองคนที่กว่าจะเก็บมาได้ ก็คงจะสลายหายไปอีกครั้ง
“รถม้านี่และมังกรพยัคฆ์วายุของเจ้ามันคืออะไรแน่” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย สองตาที่สว่างสดใสและเต็มไปด้วย ความอยากรู้อยากเห็น
รถม้าสีดำสนิทที่มีอยู่จริงกลายเป็นหมอกควันไปได้
อย่างไร แล้วมังกรพยัคฆ์วายุที่เห็นๆกันอยู่กลับสามารถกลืนกินพวกเดียวกันได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอยิ่งค้นพบก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าเฒ่าตัวประหลาดที่มีชีวิตอยู่มานานนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
ซือมั่วตอบด้วยรอยยิ้ม “เครื่องมือมายา แม้จะสูงค่าหายากก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่มี” มู่ชิงเกอตะลึงกับคำตอบที่ได้รับและรีบดึงสติกลับมา แล้วมองไปรอบๆ รถม้าด้วยความตกใจอีกครั้งพร้อม พึมพำว่า “เจ้าหมายความว่ารถม้านี่เป็นแค่เครื่องมือมายาอย่างนั้นหรือ?”
ซือมัวยอมรับทั้งรอยยิ้ม
ตอนนี้ในใจของคนบางคนเริ่มกังวลมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบเครื่องมือมายาอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ของเขากับตุ้มหูปิดบังเพศชายหญิงบนหูซ้ายของตนเองแล้ว นางเอามือจับหูตนเองไว้โดยไม่รู้ตัว มู่ชิงเกอพึมพำด้วย ความสงสัย “เครื่องมือมายาเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่?”
ซือมั่วได้ยินเสียงพึมพำของนาง แต่ไม่ได้ตอบในสิ่งที่นางสงสัยเพียงแต่ยื่นมือขวาออกมาทำให้เกิดลมหมุนสีฟ้าวงหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจจากมู่ชิงเกอ
ขณะที่นางกำลังสนอกสนใจอยู่นั้น ลมหมุนสีฟ้าวงนั้นก็กลายเป็นมังกรพยัคฆ์วายุขนาดเล็ก ที่กำลังเล่นสนุกออดอ้อนอยู่ในมือของซือมั่ว ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหลือทำทางเปี่ยมด้วยอำนาจ และไอสังหารอยู่เลยแม้ แต่น้อย
“สำหรับมังกรพยัคฆ์วายุ…” ซือมั่วมองนาง แล้วพูดว่า “สิ่งที่สัตว์เทพให้ความสำคัญคือการสืบสายเลือด เลือดยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งมากขึ้น เท่านั้น สำหรับมังกรพยัคฆ์วายุแล้ว ปีกเนื้อตรงหลังยิ่งมาก เลือดก็จะยิ่งบริสุทธิ์ และเจ้าพวกนี้ก็จะเคารพมังกรพยัคฆ์วายุหกปีกมากที่สุด มังกรพยัคฆ์วายุหกปีกจะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ สามารถแบ่งร่างได้ ตัวหนึ่งของมันสามารถแบ่งออกได้เก้าร่างเป็นร่างที่มีลักษณะแตกต่างกันไป”
ในขณะที่ซือมั่วอธิบาย มู่ชิงเกอก็ตกตะลึงจนตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง ทีแรก นางรู้สึกว่าในโลกที่แตกต่างใบนี้ถือว่าเหนือจินตนาการมากแล้ว ไม่คิดว่าในบรรดาสัตว์ยังมีสิ่งที่เหนือจินตนาการมากกว่าเสียอีก และสัตว์ที่แค่ฟังก็รู้สึกว่าเทพแบบนี้ กลับถูกผู้ชายคนนี้เอามาใช้เป็นเก้าอี้นั่งเนี่ยนะ?
“มังกรพยัคฆ์วายุไม่ใช่ของหลินชวนจริงๆ เสียด้วย” หลังจากที่มู่ชิงเกอหายตกใจ ก็พึมพำขึ้นมา
ช่วงที่ผ่านมา น้อยมากที่นางจะออกจากจวน นอกจากฝึกพลังและเรียบเรียงตำรายา ก็จะอ่านหนังสือในหอตำรา เพี่อให้ตนเองเข้าใจโลกที่กำลังอยู่โดยเร็วที่สุด
แต่นางไม่เคยเจอสัตว์แปลกๆ อย่างมังกรพยัคฆ์วายุในหนังสือเลย
สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือมังกรพยัคฆ์วายุไม่ได้มีอยู่ในหลินชวน สิ่งที่ท่านปู่ของนางพูดในตอนแรก ตอนนี้ในใจนาง เริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้ว
“นอกหลินชวน ยังมีโลกแบบไหนอยู่กันนะ?” มู่ชิงเกอถามอย่างจริงจัง นัยน์ตากระจ่างใสมีประกายไฟแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้น ราวกับว่าในหัวของเธอกำลังมีโลกแปลกๆ หลายใบผุดขึ้นมา น่าเสียดาย ที่ซือมั่วไม่คิดที่จะเล่ารายละเอียด แต่กลับคว้าแพรต่วนกลางอากาศมาผืนหนึ่งแล้วโยนให้มู่ชิงเกอ
นางได้สติและรับเอาไว้ ลายผ้าที่อยู่ในมือนั้นดูละเอียดลออ เบาราวกับขนนก นางก้มหน้าลงมองแล้ว ขมวดคิ้วถามว่า “นี่คืออะไร?”
ซือมั่วพูดอย่างขี้เล่นว่า “ในเมื่อเลือกเจ้าท่ามกลางผู้คนขนาดนั้นแล้วแน่นอนว่าต้องให้ของดีอะไรกับเจ้าเสียหน่อย ลองเปิดดูสิ”
‘ของดี’ สองพยางค์นี้ทำให้มู่ชิงเกอตาเป็นประกายแอบคิดในใจ สิ่งที่เจ้าเฒ่าประหลาดที่มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้มอบให้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องไม่ธรรมดา
“พลังระดับสวรรค์อย่างนั้นหรือ?”
ซือมั่วยิ้มยอมรับ “พลังต่อสู้ในหลินชวน แบ่งออกเป็น ภาคสวรรค์และพิภพ โดยพลังจากสวรรค์จะสูงค่าและมีจำนวนน้อยมาก คัมภีร์พันสายฟ้าในมือของเจ้า นับได้ว่าเป็นพลังระดับสวรรค์ที่เหมาะสมกับการต่อสู้ของเจ้า รอให้เจ้าถึงขั้นม่วงเมื่อไหร่ ข้าจะหาสิ่งที่ดีกว่านี้ให้กับเจ้า”
ระดับขั้นของพลังในหลิงชวน มู่ชิงเกอรู้มาตั้งนานแล้ว
และรู้เป็นอย่างดีว่าพลังที่ท่านปู่และท่านอาของตนเองกำลังฝึกอยู่เป็นขั้นสูงของระดับสวรรค์ถือว่าเป็นพลังที่สูงที่สุดในแคว้นฉินแล้ว ในบรรดาคัมภีร์ที่วังหลวงเก็บรักษาไว้ที่สูงกว่าระดับนี้ก็คงมีแค่หนึ่งถึงสองเล่มเท่านั้น แต่เจ้าเฒ่าประหลาดนี่ แค่พลิกฝ่ามือก็มีคัมภีร์ภาคสวรรค์ในตำนานออกมาแล้ว?
“นี่มันระดับไหนของระดับสวรรค์” มู่ชิงเกอรู้สึกว่าปากลิ้นของตนเองเริ่มแห้ง “อืม” ซือมั่วค่อยๆ ขมวดคิ้ว พูดราวกับรังเกียจ “ก็แค่ขั้นสูงของระดับสวรรค์แม้จะไม่ถือว่าเก่งกาจอะไรมาก แต่ก็อยู่ในขั้นสูงที่สุดเท่าที่จะสามารถปรากฏออกมาในหลินชวนได้แล้ว เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าได้รังเกียจไปเลย”
รังเกียจ! รังเกียจกับผีสิ! หากเจ้ารังเกียจก็ยกคัมภีร์ทั้งระดับสวรรค์!และพิภพอะไรนั่นให้ข้าทั้งหมดสิ ถึงจะเรียกว่าดีจริง