Skip to content

พลิกปฐพี 465

ตอนที่ 465

ชิงเกอร้ายกาจมาก!

แสงสว่างนี้คงอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลาถึงหนึ่งก้านธูปถึงได้ค่อยๆ จางหายไป

เจ้าสำนักวิถีโอสถค่อยๆ เดินออกมานอกประตู บนแท่นมีปรมาจารย์วิถีโอสถ

จำนวนไม่น้อยกำลังรอเขาอยู่

“เจ้าสำนัก”

“เจ้าสำนัก”

“เจ้าสำนัก!”

เพียงเขาปรากฎตัว ทุกคนก็จ้องมองเขา เรียกขึ้น

“มีคนทำความเข้าใจวิถีโอสถสิบสองสายได้งั้นหรือ?” เขาค่อยๆ พูดขึ้น

เจ้าสำนักวิถีโอสถมีกลิ่นอายดั่งเทพเซียน ผมขาวยาวพลิ้วไหว ชุดตัวหลวมบนร่างถูกลมพัดปลิวไหวคล้ายกับสามารถลอยปลิวไปลับสายลมได้ทุกเมื่อ

ปรมาจารย์วิถีโอสถที่ยืนอยู่ด้านล่างของเขา เป็นปรมาจารย์ทั้งโนและนอกสำนักวิถีโอสถที่ทุกคนต่างให้การนับถือ

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาล้วนแต่ทำความเคารพ

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็มีคนก้าวออกมาทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “เรียนเจ้าสำนัก ใช่แล้ว”

“เอ? นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีของพวกเราสำนักวิถีโอสถ ในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ นอกจากชิงไห่แล้วก็ไม่มีคนสามารถทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองสายได้อีก”

เจ้าสำนักวิถีโอสถยิ้มอย่างเมตตา กวาดตามองพวกเขา “เป็นศิษย์ของท่านไหนกัน?”

ปัญหานี้ของเขากลับทำให้ปรมาจารย์วิถีโอสถเหล่านี้เปลี่ยนเป็นอึกอักและกระดากใจขึ้นมา

ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้เจ้าสำนักวิถีโอสถขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

ในที่สุด คนที่เอ่ยปากขึ้นก่อนหน้านี้จึงได้กัดฟันพูดว่า “เป็น…เป็น…ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก”

“ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก?” นัยน์ตาของเจ้าสำนักวิถีโอสถฉายแววสนใจ เขาเอ่ยว่า “นี่ยังไม่ถึงเวลาทดสอบเข้าสู่ส่วนในแต่กลับมีศิษย์ใหม่”

จากนั้นก็ค่อยๆ หัวเราะ “เป็นเจ้าเมืองมู่แห่งลั่วซิงเฉิง? หรือว่าเป็นเพื่อนอีกคนของเขาเล่า?”

“เจ้าสำนักเก่งกาจ คนที่เข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองสายก็คือเจ้าเมืองมู่ผู้นั้น” คนคนนั้นประสานมือพูด

เจ้าสำนักวิถีโอสถยิ้ม “ไม่เลว ข้าจำได้ว่าเขาเพิ่งเข้ามาในสำนักไม่ถึงสี่เดือนกว่าใช่ไหม”

“ใช่ขอรับ”

“เวลาเพียงแค่สี่เดือนกว่าก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองสายไห้หมดแล้ว ความสามารถในการทำความเข้าใจเหนือกว่าชิงไห่มาก! อีกอย่างเขาก็ยังเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงอิง และก็เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวแห่งโลกแห่งยุคกลางอีก” เจ้าสำนักวิถีโอสถค่อยๆ พูดขึ้น

สายตาของเขาตกไปอยู่ที่ร่างของคนเหล่านั้น ทันใดนั้นก็หยอกล่อว่า “พวกเจ้ามาถึงที่นี่ก็ เพราะมีความคิดจะรับลูกศิษย์งั้นหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกกระดากใจขึ้นมา

พวกเขามาที่นี่ก็เพราะมีความคิดจะรับลูกศิษย์ และต้องการให้เจ้าสำนักเป็นคนตัดสิน

แต่เจ้าสำนักวิถีโอสถกลับค่อยๆ ส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเขาอาศัยสถานะอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะเข้ามา ชิงไห่ก็เคยพูดว่าเขาครอบครองขอบเขตสมบูรณ์ที่อาจารย์ปรุงยาทุกคนต่างก็ต้องการ          ตอนนี้ก็ยังทำลายสถิติในการทำความเข้าใจวิถีโอสถของสำนักวิถีโอสถอีก พวกเจ้าคิดว่าตนเองยังสามารถสอนอะไรเขาได้? แม้แต่ตัวข้าก็ยังไม่กล้าใช้คำว่าอาจารย์และลูกศิษย์กับเขาเลย”

ประโยคนี้โจมตีอาจารย์ปรุงยาทั้งกลุ่ม

แน่นอนว่ามู่ชิงเกอมีความสามารถสูงมาก ถึงแม้พวกเขาจะอยากรับศิษย์อัจฉริยะ แต่ก็ไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้

“เถิกคิดเสียเถอะ สำนักวิถีโอสถสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงแค่ทางผ่าน เขาไม่ใช่คนของที่นี่ ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน หากว่าพวกเจ้ายินยอมก็สามารถผูกไมตรีกับเขา ในตอนที่เขาอยู่ที่นี่ได้ บางทีต่อไปข้างหน้าอาจจะมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีก” เจ้าสำนักวิถีโอสถพูด

เหล่าปรมาจารย์วิถีโอสถนิ่งเงียบลงไป

“เช่นนั้น…เจ้าสำนัก มีเรื่องหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่” คนที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้พูดออกมาอย่างลังเล

นัยน์ตาอันเรียบเฉยของเจ้าสำนักวิถีโอสถตกไปอยู่ที่ร่างของเขา พยักหน้าเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรที่ไม่ควรพูด?”

คนๆ นั้นเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจ้าสำนักวิถีโอสถแล้วเอ่ยว่า “ในตอนที่มู่ชิงเกอกำลังทำความเข้าใจวิถีโอสถอยู่นั้น ผู้อาวุโสบรรพบุรุษก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ไปเฝ้าอยู่ข้างกายเขาอยู่ตลอด”

“หือ?” ในที่สุด ท่าทีที่ดูสงบนิ่งของเจ้าสำนักวิถีโอสถถูกข่าวคราวนี้ทำลายลง ทำให้ไม่สงบเช่นเมื่อก่อน

แต่เขาก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่สั่งการคนอื่นๆ ว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ผู้อาวุโสบรรพบุรุษคิดจะทำอะไร ก็มีขอบเขตในใจ อย่าไปรบกวนนาง”

“ขอรับเจ้าสำนัก”

ทุกคนโค้งกายเอ่ยออกมา

เจ้าสำนักวิถีโอสถโบกมือขึ้นแล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “แยกย้ายเถอะ”

ในที่สุดแสงที่พุ่งขึ้นฟ้าตรงหน้าผนังเงาก็ค่อยๆ ถอนกลับไป ผนังเงาที่เรียบเงากลับคืนสู่ความสงบ

สีเปลี่ยนเป็นลึกลํ้าขึ้น แสงสีทองบนหว่างคิ้วของมู่ชิงเกอวาววาบ และก็ค่อยๆ ถอนหายไปกลับคืนสู่ปกติ นางยืนขึ้นมาจากผนังเงาแผ่นที่สิบสอง ร่างกายเหยียดตรง ทำให้คนรู้สึกถึง ความแข็งแกร่ง

นางสะบัดชายเสื้อหันกายเดินไปหาเหยาชิงไห่

เมื่อเห็นนางเดินมา คนรอบด้านก็เงียบสนิท เปิดทางให้นาง บนใบหน้าที่ตกตะลึง ฉายแววเคารพนับถือ

เหลียนเฉียวตามมาด้านหลังของมู่ชิงเกอเงียบๆ ดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจว่ามู่ชิงเกอจะเข้าใจวิถีโอสถหรือไม่ นางสนใจเพียงสามารถมองเห็นมู่ชิงเกอได้ก็พอ

มู่ชิงเกอเดินไปหยุดอยู่ตรงหห้าของเหยาชิงไห่

ท่าทางของเหยาชิงไห่ฉายแววซับซ้อนเอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย”

คำพูดดูจริงใจมาก เขามองมู่ชิงเกอต่ำเกินไป แต่ก็ไม่ได้อิจฉาเพราะสาเหตุนี้

“ขอบคุณ” มู่ชิงเกอเอ่ยเงียบๆ

มุมปากของเหยาชิงไห่ขยับเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “วิถีโอสถทั้งสิบสองสาย เจ้าได้ทำความเข้าใจหมดแล้ว เจ้าได้ข้อสรุปว่าอย่างไร?”

“เจ้าเล่า?” มู่ชิงเกอย้อนถาม

“ข้าหรือ?” เหยาชิงไห่หัวเราะขึ้นมา “ครั้งนั้นข้าใช้เวลาถึงสามปี ทำความเข้าใจวิถีโอสถจากผนังเงาทั้งสิบสองแผ่น แล้วก็ใช้เวลาอีกเกือบครึ่งปีถึงได้รับคำตอบ ไม่สู้พวกเรามาพูดพร้อมกันดีไหม?”

“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า ตกลงทันที

คำพูดของทั้งสองคนทำให้บรรดาศิษย์ที่อยู่รอบด้านตั้งใจฟังขึ้นมา คิดจะฟัง

ประสบการณ์ของพวกเขาให้ชัดๆ

“สร้างวิถีตนเป็นมหาเทพ”

“สร้างวิถีตนเป็นมหาเทพ”

คำแปดคำที่ไม่ต่างกันออกมาจากปากของมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่

คำตอบเช่นเดียวกันดุจดั่งก้อนหินที่ถูกทิ้งลงบนผิวน้ำที่สงบนิ่ง ทำให้หัวใจของศิษย์โดยรอบเกิดคลื่นขึ้นมา

สร้างวิถีตนเป็นมหาเทพ

มู่ชิงเกอสุดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดนางก็รู้สาเหตุที่ตนเองไม่สามารถทะลวงสู่ระดับมหาเทพได้ นั่นก็เป็นเพราะว่านางไม่มีวิถีโอสถเป็นของตนเอง

“ข้าไม่ได้มองเจ้าผิดไป เจ้าเป็นคู่มือที่ดีที่สุดของข้า” นัยน์ตาของเหยาชิงไห่ฉาย แวววาววาบ

มู่ชิงเกอกระตุกปากยิ้ม เอ่ยถามว่า “วิถีโอสถของเจ้า สำเร็จหรือยัง?”

เพียงแต่เหยาชิงไห่ไม่ได้ตอบปัญหานี้ตรงๆ เพียงแต่เตือนว่า “ห่างจากงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถอีกเพียงหนึ่งเดือนสุดท้าย ศึกระหว่างข้าและเจ้าก็จะจัดขึ้นในงานนั้น”

พูดแล้ว เขาก็หันกายจากไป เงาแผ่นหลังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

หลังจากมองตามเหยาชิงไห่จากไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้มองไปทางเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานชิง ซางจื่อซูและจูหลิง รู้สึกขบขันในใจ นางรู้ดีว่าตนเองทำให้พวกเขาเป็นห่วงอีกแล้ว

นางเดินไปหาคนทั้งสี่

เดิมทีเหลียนเฉียวก็คิดจะตามนางไป แต่กลับเหมือนรับรู้ถึงอะไรบางอย่างได้จึงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นแล้วหายตัวจากไปอย่างไร้ร่องรอย

มู่ชิงเกอไม่ได้สังเกตว่าเหลียนเฉียวจากไปแล้ว แต่ถึงจะสังเกตเห็นก็ไม่สนใจ นางเดินไปตรงหน้าของคนทั้งสี่

จ้าวหนานชิงและจูหลิงก็ชูนิ้วโป้งให้นาง

“ร้ายกาจมาก ชิงเกอ!” จ้าวหนานชิงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

จูหลิงก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากว่ามีเวลาไหนที่ชิงเกอไม่ร้ายกาจ ข้าถึงรู้สึกว่าแปลกประหลาด”

“น่าเสียดาย ที่วันนี้ไม่มีคนวางเดิมพัน” ทันใดนั้นซางจื่อซูก็พูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง

หลังจากแปลกใจแล้ว ทั้งห้าคนก็สบตากันแล้วหัวเราะขึ้นมา

ภายในเรือนสีทองงดงาม เหลียนเฉียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ เพราะเก้าอี้ใหญ่เกินไป แต่เป็นเพราะตัวคนเล็กเกินไปต่างหาก

เมื่อกลับมาถึงที่นี่ ใบหน้าของนางไม่ได้มีความไร้เดียงสาอีกแล้ว แต่กลับคืนสู่ภาพลักษณ์ที่ดูแก่ชราไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอก

“เจ้าเรียกข้ากลับมาทำไม?” นัยน์ตาของเหลียนเฉียวฉายแววอำมหิตมองไปยังเจ้าสำนักวิถีโอสถที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง

เมื่อเจ้าสำนักวิถีโอสถอยู่ต่อหน้าเหลียนเฉียวแล้วก็เผยท่าทีเคารพ ลองถามว่า “ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษสนใจศิษย์ใหม่มาก?”

เหลียนเฉียวแค่นเสียง เอ่ยอย่างไม่พอโจว่า “เป็นใครไปฟ้องเจ้าอีกแล้วใช่ไหม?”

ใบหน้าของเจ้าสำนักวิถีโอสถเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

ใบหน้าเล็กๆ ของเหลียนเฉียวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นางเอ่ยว่า “เจ้าไม่คิตว่า เหมือนเขามากเลยงั้นหรือ? สายตาและท่าทางเช่นนั้น รวมถึงความมั่นใจนั่น”

สายตาของนางฉายแววครุ่นคิต

เจ้าสำนักวิถีโอสถถอนหายใจในใจ เอ่ยกับเหลียนเฉียวว่า “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ท่านอาจารย์ได้…”

“ไม่! เจ้าไม่ต้องพูดกับข้า เขาสัญญากับข้าแล้วว่าจะกลับมา” เหลียนเฉียวใช้เสียงดังตัดบทพูดของเขา

เจ้าสำนักวิถีโอสถกัดฟันเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรมู่ชิงเกอก็ไม่ใช่ท่านอาจารย์ เขาจะไม่อยู่ที่นี่นาน”

“เช่นนั้นข้าก็จะตามเขาจากไป!” เหลียนเฉียวเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ได้มองดูเขาข้าถึงจะไม่รู้สึกว่าชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบากถึงเพียงนั้นอีก”

เจ้าสำนักวิถีโอสถกลับตกใจเอ่ยห้ามว่า “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ไม่ได้นะ! มีเพียงแต่ท่านอยู่ที่นี่เท่านั้นข้าถึงสามารถคุ้มครองท่านได้ หากว่าท่านจากไปแล้วถูกเบื้องบนพวกนั้นพบเข้า ท่าน…”

พูดไปแล้วเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น ขอร้องอย่างขมขื่นว่า “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ข้าได้รับปากท่านอาจารย์ไว้แล้ว จะไม่ยอมให้ท่านถูกคนเหล่านั้นจับตัวไปเป็นอันขาด ผู้อาวุโสบรรพบุรุษโปรดอย่าดื้อดึง อยู่ในสำนักวิถีโอสถต่อเถอะ”

ท่าทางของเหลียนเฉียวฉายแววซับซ้อน นางไม่ได้สนใจมองเจ้าสำนักวิถีโอสถที่คุกเข่าขอร้องนางโดยไม่สนใจสถานะอยู่ที่พื้น เพียงแต่พึมพำเอ่ยว่า “สำนักวิถีโอสถแห่งนี้เขาสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา ทั้งเจ้าก็เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเขา ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า เจ้าไปเถอะ”

“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ!” เจ้าสำนักวิถีโอสถเงยหน้าขึ้นมองนาง

แต่ว่า เหลียนเฉียวกลับหลับตาลง ปกปิดนัยน์ตาที่ฉายแววเจ็บปวดเอาไว้

เจ้าสำนักวิถีโอสถทำอะไรไม่ได้จึงต้องถอยออกไป

หลังจากเขาจากไปแล้ว ประตูห้องก็ปิดลง ภายในห้องมืดลงมา

เหลียนเฉียวขดตัวเป็นก้อนเข้ากับมุมเก้าอี้ ใบหน้าเล็กๆ หลบอยู่ในมุมมืดร้องไห้ออกมา

“ต้องรออีกนานแค่ไหน นานแค่ไหน ข้ายังต้องรออีกนานแค่ไหน?” เสียงร้องไห้ของเหลียนเฉียวทำให้คนที่ได้ยินหัวใจแตกสลาย

การรอคอยเช่นนี้หากไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์คงยากที่จะเข้าใจ

บนเส้นทางกลับ จ้าวหนานซิงเอ่ยถามว่า “ชิงเกอ เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างกายของเจ้าตลอดคนนั้นคือใครหรือ?”

เหลียนเฉียวหรือ?

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก นางเกือบลืมคนคนนี้ไปแล้ว

เพียงแต่สถานะของนางกลับทำให้นางไม่สามารถพูดความจริงกับเพื่อนของนางได้ นางคิดแล้วก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์ของปรมาจารย์คนไหน พบ จอกันโดยบังเอิญแล้วก็เข้ามาพัวพันข้า”

“เสน่ห์ของชิงเกอยากที่จะต้านทานจริงๆ!” จูหลิงหัวเราะขึ้นมา

มู่ชิงเกอมีท่าทีแปลกประหลาดแล้วพูดว่า “ก็ใช่ ดูเหมือนว่านาง…”

ขมวดคิ้วแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พูดต่อว่า “ดูเหมือนเป็นเพราะว่าข้ากับคนรักของนางดูคล้ายกัน ส่วนนางก็ไม่ได้พบเจอกับคนที่รักมานานมากแล้วถึงได้เป็นเช่นนี้”

การอธิบายของนางถือว่ามีเหตุมีผล และตอบข้อสงสัยของคนอื่นได้

“ชิงเกอ ยังเหลืออีกหนึ่งเดือนก็ถึงงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?” เหมยจื่อจ้งเอ่ยถาม

วันนี้เขามองเห็นเหยาชิงไห่แล้ว และรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา เกรงว่าคงต่อกรได้ไม่ง่ายนัก

มู่ชิงเกอลูสงบนิ่ง “ไม่ได้คิดจะทำอะไร เวลาที่เหลือก็จะเก็บตัวทบทวนเสียหน่อย”

นางต้องการสร้างวิถีโอสถของตนเอง ทำลายอุปสรรคเพื่อกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ

“เช่นนั้นก็ดี ช่วงนี้พวกเราก็จะไม่รบกวนเจ้า” ซางจื่อซูพยักหน้า

ทั้งห้าคนกินข้าวด้วยกันก่อนจะแยกย้ายกันไป

มู่ชิงเกอกลับไปในห้องก็ถูกซือมั่วจับตัวเข้าสู่ช่องว่างในทันที

เพียงแค่เข้ามา นางก็มองเห็นใบหน้าอันดำทะมึนของเขาแล้ว

“เอ่อ ข้าทำความเข้าใจอยู่ด้านนอกจึงหลงลืมเวลาไปชั่วคราวน่ะ” ท่าทางที่ถูกตัดพ้อและไม่พอใจของเขา นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาโกรธเรื่องอะไร?

คำพูดของนาง ทำใน้สีหน้าดำทะมึนของซือมั่วคลายลงมา เขาถอนหายใจแล้วรั้งนางเข้าสู่อ้อมอกของตนเอง ฝังใบหน้าอยู่ตรงซอกคอของนางแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าดี?”

นี่เป็นเหมือนกับข้อกล่าวหาของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ ทำให้ มู่ชิงเกอรู้สึกทนไม่ไหว นางยกมือขึ้นลูบเส้นผมยาวของเขาเบาๆ

ซือมั่วยกหัวขึ้น มู่ชิงเกอมองใบหน้าที่ห่างแค่เพียงคืบแล้วก็อดกัดเบาๆ ที่ริมฝีปากของเขาไม่ได้

นี่ทำให้นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วเปลี่ยนเป็นมืดทึบ ความรู้สึกที่ฝืนทนถูก

มู่ชิงเกอปัดเป่าไปอย่างง่ายดาย

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการก็อย่าทำเช่นนี้”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างขี้เล่นขึ้นมา นางใช้นิ้วมือช้อนคางของซือมั่วขึ้นมา นัยน์ตาฉายแววขี้เล่นเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าถูกข้าขังอยู่ในกรงทองของข้า ข้าคิดจะทำอย่างไรก็ต้องดูที่อารมณ์ของข้าอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” ซือมั่วถูกสายตาของนางทำให้ปากคอแห้งผาก เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาต้องการจะทรมานเขางั้นหรือ?

มู่ชิงเกอกระโดดเข้ามาในอ้อมอกของเขา ซือมั่วใช้สองมือรองรับตัวนาง นัยน์ตาฉายแววยินดี

“ปรนนิบัติข้าให้ดีจะมีรางวัล!” มู่ชิงเกอเอ่ยยั่วเย้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version