ตอนที่ 466
ข้ามาหามู่ชิงเกอ!
เวลาหนึ่งเดือน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตามเวลาที่ไหลผ่าน เหตุการณ์ที่หน้าผนังเงาทั้งสิบสองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป แต่ทุกครั้งที่มีคนมายังหน้าผนังเงาเพื่อทำความเข้าใจนั้นก็อดคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้
เวลาเพียงแค่วันเดียว…ไม่สิ น่าจะบอกว่าไม่ถึงครึ่งวัน เจ้าเมืองมู่ในตำนานก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถบนผนังเงาทั้งสิบเอ็ดแผ่นติดต่อกัน!
สิ่งนี้ทำให้คนเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเขาใช้เวลาทำความเข้าใจแผ่นแรกไปกี่วัน คงไม่ได้จงใจปล่อยเวลาให้ช้าใช่ไหม
สถิตินี้น่าตกตะลึงยิ่งกว่าสถิติที่เหยาชิงไห่เหลือทิ้งไว้เสียอีก
ในตอนที่ทุกคนเดินผ่านทำเนียบรายชื่อผู้ทำความเข้าใจวิถีโอสถนั้น ก็จะเห็นชื่อ ‘มู่ชิงเกอ’ อยู่แถวแรกและก็มีรายละเอียดของเวลาด้านท้าย ซึ่งล้วนแต่ทำให้คนได้แต่แหงนหน้ามอง
แต่ต้นเหตุของเรื่องนี้กลับนิ่งเงียบไปตลอดเดือน
ความลึกลับเช่นนี้ทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาในส่วนในของสำนักวิถีโอสถ
กลายเป็นลึกลับขึ้นมา
ภายในเมืองชั้นนอกของส่วนใน ภายในห้องรับรองส่วนตัวมีคนอยู่สี่คนกำลังฟังเรื่องที่ผู้คนคุยกันที่ห้องโถงด้านนอก
“ข้าได้ยินมาว่าลั่วซิงเฉิงนั้นเกิดขึ้นมาจากตอนที่เจ้าเมืองมู่เดินทางหาประสบการณ์ ได้เดินทางผ่านช่องว่างอันแปลกประหลาดแล้วก็ถูกปีศาจเข้าโจมตี หลังจากที่เขาฆ่าปีศาจลงได้สำเร็จก็ได้ใช้ยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพฟันช่องว่างจนเปิดออก ถึงได้พบกับลั่วซิงเฉิง!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้หรือ? ข้าก็ว่าแล้วว่าเหตุใดก่อนที่เจ้าเมืองมู่จะปรากฎตัวออกมา ข้าไม่เคยได้ยินชื่อลั่วซิงเฉิงเลย!”
“เจ้าเมืองมู่ร้ายกาจมาก! ถึงกับสามารถฟันออกมาเป็นเมืองเมืองหนึ่งได้!”
“เจ้าก็ไม่รู้บ้างว่าเขาเป็นใคร? เจ้าเมืองมู่เป็นคนธรรมดางั้นหรือ?”
ภายในห้องรับรอง จ้าวหนานชิงลอบมองไปยังเหมยจื่อจ้งแล้วถามว่า “ศิษย์พี่เหมย ลั่วซิงเฉิงของชิงเกอเกิดขึ้นมาเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”
เหมยจื่อจ้งค่อยๆ ส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ก็คงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาพูดอย่างแน่นอน”
“นี่ ข้ายังเคยได้ยินอีกว่าในตอนที่เจ้าเมืองมู่เกิดก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่
ธรรมดา”
ภายในห้องโถงเปิดประเด็นการพูดคุยขึ้นมาอีกครั้ง
“หา? ว่าอย่างไร?” คำพูดของเขาดึงดูดให้คนอื่นๆ เข้ามาสนใจในทันที
“ได้ยินมาว่าตอนที่เจ้าเมืองมู่เกิดนั้น เริ่มแรกก็มีแสงฟ้าแลบฟ้าร้อง ทั่วทั้งท้องฟ้าภาคตะวันตกล้วนแต่ได้รับผลกระทบ จากนั้นก็เกิดแสงสว่างไสว วิหคขานรับ ดอกไม้โปรยปราย เมฆเป็นประกายหลากสีสัน สรุปแล้วเพียงแค่ดูก็รู้ว่าเป็นไม่ใช่คนธรรมดามาเกิด!”
“หา! ร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“แม้แต่ตอนเกิดก็ยังไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป มิน่าล่ะเขาถึงได้อัจฉริยะ
ขนาดนี้!”
“บางทีอาจจะเป็นเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารกลับชาติมาเกิดก็ได้?” มีคน
คาดเดาออกมา
การคาดเดานี้ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยเห็นด้วย
“อืม มีโอกาสเป็นไปได้!”
“มีโอกาสเป็นไปได้สูง!”
“หากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะอธิบายความอัจฉริยะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้ได้
อย่างไร?”
“เดิมทีคิดว่าศิษย์พี่เหยาก็คือดวงดาวของภาคตะวันออก มาตอนนี้เมื่อเจ้าเมืองมู่ ปรากฎตัวแม้วก็ทำให้แสงของเขามืดทึบลงไปไม่น้อย”
“เฮ้ ไม่เหมือนกันนะ ศิษย์พี่เหยาถึงจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยังเป็นคนธรรมดาแต่เจ้าเมืองมู่นั้นเป็นเทพกลับชาติมาเกิด!”
คำพูดคุยทำให้คนในห้องรับรองทั้งสี่คนไร้คำจะพูด
จ้าวหนานชิงโบกไม้โบกมือหัวเราะเอ่ยว่า “ตามที่ข้ารู้มานั้น ชิงเกอเกิดอยู่ในจวนตระกูลมู่แคม้นฉินในหลินชวน ตอนที่เกิดก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ คนเหล่านี้ไปได้ยินคำเล่าลือเหล่านี้มาจากไหนกัน?”
จูหลิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าพวกเขาพูดจนชิงเกอกลายเป็นเทพกลับชาติมาเกิดแล้ว?”
“ก็เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรถึงน่าตลก” จ้าวหนานชิงเอ่ย
เหมยจื่อจ้งเอ่ยว่า “สถานการณ์ที่พวกเขาพูดถึงน่าจะเป็นสถานการณ์ตอนที่ทวนหลิงหลงลูกหลอมขึ้นมาใหม่”
ถึงแม้ว่าครั้งนั้นเขาจะไปถึงลั่วซิงเฉิงแล้ว แต่ต่อมาได้ยินจากปากของคนตระกูลซางจึงได้รู้ว่าในวันนั้นฟ้าดินเปลี่ยนสี
“น่าสนใจจริงๆ” จ้าวหนานชิงเอ่ยอย่างจนปัญญา “คนเหล่านี้เอาวันเกิดของชิง เกอกับการกำเนิดของยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพมารวมเข้าด้วยกัน”
พูดจบแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา
เขาเอ่ยว่า “พวกเขามองเห็นเพียงความรุ่งเรืองของชิงเกอ จะมีใครบ้างที่มองเห็นความพยายามในเบื้องหลังของนาง? ที่นางได้ทุกอย่างในวันนี้มาก็ล้วนแต่ได้มาอย่างยากลำบาก ทุกๆ ความสำเร็จล้วนแต่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ใช้เลือดเนื้อและหยาดเหงื่อแลกมาทั้งนั้น”
คำพูดของจ้าวหนานชิงทำให้ทั้งสามคนเห็นด้วย
พวกเขาเป็นเพื่อนที่เดินร่วมทางมากับมู่ชิงเกอ ที่พวกเขามองเห็นไม่ใช่เพียงแต่ความรุ่งเรืองของนางเท่านั้น แต่ยังมองเห็นทุกอย่างที่นางทำลงไปเบื้องหลังความสำเร็จด้วย
“ชิงเกอก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักปฏิเสธ ทุกครั้งที่มีความท้าทายเข้ามาใกล้ นางพึ่งพาความมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งกัดฟันยืนหยัดไม่สนใจอะไรคิดแต่จะจัดการความท้าทายให้ได้ ข้ายังไม่เคยเห็นนางมีความคิดจะยอมแพ้ต่อการท้าทายมาก่อน” จูหลิงเก็บรอยยิ้มกลับ น้ำเสียงฉายแววปวดใจ
ซางจื่อซูก็เอ่ยต่อว่า “ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้นางถึงได้ทำให้คนปวดใจ”
ไม่ผิด!
ปวดใจ มีแต่คนที่รู้จักมู่ชิงเกอจริงๆ เท่านั้นที่ล้วนแต่ปวดใจ ปวดใจในความมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งของนาง ยิ่งแผ่นหลังของนางเหยียดตรงเท่าไร บ้าคลั่งเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งปวดใจคิดอยากจะพยายามมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง แบกรับภาระร่วมไปกับนาง จ้าวหนานซิงสูดลมหายใจเข้าลึก พูดอย่างจริงจังว่า “พวกเราก็ต้องพยายามแล้ว!”
ซางจื่อซูกับจูหลิงพยักหน้าเห็นด้วย
เหมยจื่อจ้งพูดขึ้นว่า “ก็ไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนมานี้ชิงเกอสร้างวิถีโอสถของตนเองได้หรือยัง”
ปัญหานี้ทำให้พวกเขาทั้งสามคนค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแววกังวล
จูหลิงกัดฟันเอ่ยว่า “หลังจากวันนั้น ข้าก็ลอบสืบมาได้ว่าหลังจากศิษย์พี่เหยาทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองแล้วก็พยายามจะสรรหาวิถีโอสถของตนเองมาตลอด ครึ่งปีก่อนเขาเคยปรุงยาต่อหน้าสาธารณชน เวลานั้นยาที่ปรุงออกมาก็ยังเป็นยาระดับเทวะอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าครึ่งปีที่ผ่านมานี้เขาทะลวงขอบเขตแล้วหรือยัง”
คำพูดระหว่างมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ในวันนั้นทุกคนล้วนแต่ได้ยินแล้ว
หากว่าเหยาชิงไห่สร้างวิถีโอสถของตนเองได้แล้ว ก็จะมีโอกาสกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ แล้วมู่ชิงเกอล่ะ? ถึงแม้นางจะเป็นคนที่มีความสามารถในการเข้าใจอันน่าตกตะลึง แต่การจะสร้างวิถีโอสถของตนเองจะง่ายดายงั้นหรือ? เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งเดือน จริงๆ แล้ว…
ทั้งสี่คนนิ่งเงียบลงมา เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขาถึงรู้ว่าเวลาของมู่ชิงเกอนั้นกระชั้นชิดมาก
พวกเขาล้วนแต่หวังว่ามู่ชิงเกอจะสามารถเอาชนะเหยาชิงไห่ในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถได้!
“พวกเราด้องเชื่อใจชิงเกอ” สุดท้ายซางจื่อซูก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง
ภายในช่องว่าง มู่ชิงเกอนั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ยังไม่ได้เข้าสู่สมาธิแต่กลับมองบรรยากาศบนยอดเขาอย่างเกียจคร้าน
เมฆหมอกปกคลุมยอดเขาที่ดุจดั่งกระบี่
ไกลออกไปยังมีภูเขาเขียวที่สูงยิ่งกว่า ทะลวงขึ้นสู่ชั้นเมฆ
ทุกคนล้วนแต่คิดว่านางกำลังเก็บตัวอยู่ในเรือนเพื่อสร้างวิถีโอสถของตนเองและเตรียมตัวสำหรับการประลองกับเหยาชิงไห่ในงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถ
ที่จริงแล้วหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นางอยู่อย่างสงบบนภูเขามองเมฆหมอก ดูพระอาทิตย์ตก ดูลมฟ้าแปรเปลี่ยน
ซือมั่วอยู่ในชุดนอนสีดำเดินมาจากด้านหลังนาง
เขาไม่ได้ส่งเสียงรบกวน แต่กลับนั่งลงด้านข้างนางเงียบๆ หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็มองใบหน้ามู่ชิงเกอจากข้างๆ นัยน์ตาสีอำพันฉายแววจริงจัง
มู่ชิงเกอหันมองเขา ยิ้มให้เขาด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง
นางขยับกายเอนหัวพิงเข้าไปในอ้อมอกของเขา
ซือมั่วก็ยอมเป็นพนักพิงให้นางอย่างเอาใจ ยอมบังลมบังฝนให้นาง
“มองอะไรออกหรือไม่?” ซือมั่วหลุบตาลงถามออกมา
มู่ชิงเกอยิ้มเล็กน้อยเอ่ยว่า “มองออกแล้ว…บรรยากาศที่นี่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่แต่ก่อนข้าไม่เคยมา”
วันเวลาของนางมีแต่วุ่นวายอยู่ตลอด ไหนเลยจะมีเวลามาท่องเที่ยวในโลกของตนเองได้?
ซือมั่วยิ้ม “เจ้ารู้ชัดๆ ว่าที่ข้าถามเจ้าไม่ใช่สิ่งนี้”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วหัวเราะขึ้นมา ออกมาจากล้อมอกของเขา มองเขาแล้วเอ่ยว่า “วิถี เป็นเพียงแค่ความเข้าใจไม่ใช่หรือ? วิถีของข้า ก็คือความเข้าใจตามวิถีชีวิตของข้ามิใช่หรือ?”
คำตอบของนางทำให้นัยน์ตาของซือมั่วเปล่งประกายหัวเราะขึ้นมา “ดูแล้วเจ้า
ได้รับประโยชน์มาไม่น้อย”
มู่ชิงเกอทำให้เขาประหลาดใจ การทำความเข้าใจวิถีเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ? ถึงจะมี พรสวรรค์ดีแค่ไหนความสามารถในการเข้าใจสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งเดือน
ความเป็นเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือคนที่ทำความเข้าใจวิถีได้ผ่านความเป็นความตายหรือได้รับเรื่องที่คนทั่วไปไม่สามารถคาดคิดได้ ยิ่งผ่านมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจได้ลึกลํ้ายิ่งขึ้น ยิ่งมองเรื่องนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
รอยยิ้มยังอยู่บนใบหน้าของซือมั่ว แต่นัยน์ตาของเขากลับฉายแววปวดใจเพราะมู่ชิงเกอ และมีความโกรธที่ไม่รู้จะไประบายกับใคร
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า เจ้าผ่านอะไรมากันแน่? เป็นใครกันที่ทำกับเจ้าอย่างนั้น!’ ซือมั่วพูดอยู่ในใจ
เขาไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอได้ผ่านความเป็นความตายมาแล้วจริงๆ
เมื่อชาติก่อนนางก็อยู่ท่ามกลางความเป็นความตายและฝืนชะตาฟ้าดิน
ชาติก่อนนางถูกระเบิดจนร่างกายแหลกเละ ปีนออกมาจากภูเขาซากศพและทะเลเลือด ส่วนเส้นทางหลังจากนั้นมีตอนไหนบ้างที่ไม่เสี่ยงอันตราย มีตอนไหนบ้างที่ไม่ได้ลอดผ่านปากเหวแห่งความตายมา
ประสบการณ์จากชาติก่อนจนถึงชาตินี้ นางจะยังมองอะไรไม่ทะลุอีกหรือ?
เพียงแต่ว่ามองทะลุแล้วก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะปล่อยวางได้
เหมือนความรู้สึกของนางกับซือมั่ว เปลวไฟแผดเผาในใจ แม้ว่านางจะมองทะลุทุกอย่างว่าสุดท้ายแล้วอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกก็เป็นเพียงความว่างเปล่า แต่ก็ยังไม่อาจวางลงได้เหมือนเดิม
วิถีฟ้าบอกนางว่าความรู้สึกและเรื่องราวทุกอย่างไม่มีวันเป็นนิรันดร์ หลังจากผ่านไปพันปีหมื่นปี ก็จะกลายเป็นกระดูกขาว กลายเป็นความฝันเพียงแค่ตื่นหนึ่ง แต่นางก็ยังอยากจะฝืนชะตาฟ้า อยู่คู่กับซือมั่วไปตลอดกาล ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร์!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้ายิ่งรอคอยผลงานของเจ้าในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
ความหมายในคำพูดของเขาเหมือนกำลังขอร้องว่าในวันนั้นเขาอยากจะออกไปดูมู่ชิงเกอปรุงยาด้วยตนเอง
มู่ชิงเกอหัวเราะออกมา “หากเจ้าซ่อนตนเองไม่ให้ใครพบเห็นได้ ข้าก็สามารถปล่อยเจ้าออกไปได้”
ซือมั่วเลิกคิ้วล้อเล่นว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังหึงงั้นหรือ? ถึงไม่อยากให้ข้าถูกคนอื่นพบเห็น?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น พูดเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “เจ้าจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้!”
วันงานชุมนุมใหญ่แห่งวิถีโอสถใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
นี่เป็นเรื่องใหญ่ของทั้งภาคตะวันออกและทั้งโลกแห่งยุคกลาง
บรรดาตระกูลใหญ่ต่างๆ ทยอยเดินทางมายังสำนักวิถีโอสถ รวมไปถึงตำหนักเทพก็ส่งคนมา
ภาคตะวันออกก็คึกคักขึ้นเพราะเรื่องนี้จนกลายเป็นที่จับตามองของโลกแห่งยุคกลาง วันนี้ที่ส่วนนอกของสำนักวิถีโอสถมีคนมาสามคน พวกเขาเคาะประตูใหญ่ของสำนักวิถีโอสถส่วนนอก หนึ่งคนในนั้นมาพร้อมกับดวงตายิ้มแย้มและท่าทางไม่สนใจพิธีรีตอง เอ่ยกับคนที่มาเปิดประตูว่า “พวกเรามาพบมู่ชิงเกอ รบกวนแจ้งให้หน่อย!”