ตอนที่ 471
ข้าอยากปรุงยาเพื่อเจ้า!
ภายในลานแข่งขัน มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าการที่ตนเองเอาหม้อผลาญสวรรค์ออกมาจะทำให้เกิดความความวุ่นวายอย่างลับๆ ขึ้น
ตาเฒ่าของโรงโอสถเคยใช้หม้อผลาญสวรรค์มาข่มขู่นาง แต่นางกลับไม่รู้ว่าหม้อผลาญสวรรค์นั้นเป็นตัวแทนสิ่งใด!
“เหตุใดเขาถึงมีหม้อผลาญสวรรค์ได้! ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกข้าว่าหาหม้อผลาญสวรรค์ไม่เจอแล้วไม่ใช่หรือ?” ภายในตำหนักเหลียนเฉียวตะโกนถามเจ้าสำนักวิถีโอสถด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
นางโมโหมาก อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ได้แต่นิ่งเงียบรับโทสะของนาง ไม่กล้าพูดมาก
เจ้าสำนักวิถีโอสถตอนนี้มีสีหน้าย่ำแย่มาก เขาต้องรับพลังกดดันจากเหลียนเฉียวโดยตรงพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาปรากฎอยู่ในมือของเขาได้”
แต่เหลียนเฉียวกลับดูเหมือนไม่ได้ยินก็ไม่ปาน นางมีท่าทีหดหู่และพึมพำอย่างปวดใจว่า “หม้อผลาญสวรรค์ก็ปรากฎแล้ว หรือเขาจะกลับมาแล้ว…”
เจ้าสำนักวิถีโอสถเหลือบมองเหลียนเฉียว คิดจะเอ่ยโน้มน้าวแต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจ
เวลานี้เองกานเหล่าก็ถ่ายทอดเสียงไปถามเจ้าสำนักว่า ‘เจ้าสำนัก ตอนแรกท่านให้หยวนเฮ่านำหม้อผลาญสวรรค์จากไปเพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสบรรพบุรุษเห็นของจนพาลคิดถึงคนไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด…”
เจ้าสำนักถอนหายใจในใจแล้วส่ายหน้าไม่ได้ตอบคำ
ภายในตำหนักเงียบสงัดเพราะการปรากฎของหม้อผลาญสวรรค์ บรรยากาศกลายเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ภายในลานการแข่งขัน มู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ล้วนแต่เตรียมการปรุงยาของตนเอง พวกเขาจัดวางวัตถุดิบยาที่เตรียมไว้
หลังจากเตรียมทุกอย่างดีแล้ว เหยาชิงไห่ถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าจัดเตรียมเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็จะทำให้เต็มที่”
เขากำลังบอกมู่ชิงเกอว่า เขาจะทำการแข่งขันอย่างสุดความสามารถ
มู่ชิงเกอพยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะข้าก็จะไม่ปล่อยนํ้าแน่”
ปล่อยนํ้า*[1]?
เหยาชิงไห่คิดจะถามว่าปล่อยนํ้าหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่คิดจะพูดคุยต่อจึงไม่ได้เอ่ยถาม
“ความหมายของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็คือการแลกเปลี่ยนศาสตร์การปรุงยา ใช้การปรุงยาในการเชื่อมสัมพันธ์ ทุกท่านจงพยายามให้เต็มที่ จำเอาไว้ว่าศาสตร์การปรุงยามีมากมายหลายแขนง ยาไม่มีสูง ไม่มีตํ่า ปรุงยาก็เพียงเพื่อช่วยชีวิตคน หวังว่าทุกท่านจะ
ไม่ลืมปณิธานดั้งเดิมนี้!”
เสียงแก่ชราแต่ทรงพลังดังลงมาจากบนฟากฟ้า นํ้าเสียงนุ่มลึกดุจระฆังดังก้องไปทั่วบริเวณ
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าสดใสแล้วหรี่ตาลง
“งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถไม่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์มากนัก จะสิ้นสุดเมื่อทุกท่านปรุงยาเม็ดแรกออกมาแล้ว ทุกท่านเชิญเริ่มเถอะ” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันในใจ งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถไม่มีกฎอะไรที่หยุมหยิมจริงๆ
นางมองดูคนอื่นๆ รวมถึงเหยาชิงไห่ที่ตอนนี้ต่างรวบรวมสติเริ่มเตรียมปรุงยา
มู่ชิงเกอละสายตาพลางย้อนคิดถึงวิธีการปรุงยาอย่างละเอียด
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าแล้วเม้มปาก
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องตื่นเต้น’ ทันใดนั้นก็มีเสียงๆ หนึ่งดังก้องขึ้นในหูของนาง มู่ชิงเกอเงยหน้ามองออกไป บนอัฒจันทร์เพียงแวบเดียวก็มองเห็นดวงตาที่เปล่งประกายประดุจดวงดาวพร่างพราวคู่นั้น
นัยน์ตาของนางฉายแววแปลกใจเล็กน้อย ซือมั่วกลายร่างเป็นคนที่ดูธรรมดามากคนหนึ่งนั่งรวมอยู่กับคนนับแสนบนอัฒจันทร์ อีกทั้งเมื่อมองดูคนข้างซ้ายและขวาของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลย
เพียงแต่…
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววสงสัย คนรอบกายของซือมั่วเงียบสงบเกินไป
‘ข้าเพียงแต่ใชวิชามายาเล็กน้อยเท่านั้น เสี่ยวเกอเอ๋อร์เองก็ไม่ชอบให้ข้างกายของข้ามีคนอื่นนี่ใช่ไหม’ เสียงของซือมั่วดังขึ้นมาอีกครั้ง
คำพูดนี้คลายความสงสัยในใจของมู่ชิงเกอ แต่ก็ทำให้นางรู้สึกขบขัน
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากนั่งใกล้คนอื่นเองแต่กลับพูดเสียเหมือนเป็นเพราะนาง แต่เอาเถอะนางไม่อยากโต้เถียงกับเขาหรอก
เหยาชิงไห่ที่อยู่ข้างกายเริ่มปรุงยาแล้ว มู่ชิงเกอกลับยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ได้ตื่นเต้นร้อนใจแต่อย่างใด
‘นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะลองปรุงยาระดับมหาเทพ…” นางถ่ายทอดเสียงไปให้ซือมั่ว
ซือมั่วเผยรอยยิ้มบางๆ ตอบว่า ‘ไม่ต้องตื่นเต้น’
มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ เอ่ยกับเขาว่า ‘ข้าต้องการจะปรุงยาระดับมหาเทพให้เจ้า’
นางไม่อยากให้ซือมั่วต้องกลํ้ากลืนความเจ็บปวดเอาไว้อีกต่อไป นางต้องการรักษาอาการเจ็บป่วยในร่างกายของเขา
‘ดี’ ซือมั่วพยักหน้า
ส่วนลึกในแววตาของเขามีอารมณ์บางอย่างล้นทะลักออกมา เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อนไม่คุ้นเคย แต่กลับทำให้เขารู้สึกชอบมาก
คนที่เขาชอบก็ชอบเขาเช่นเดียวกัน แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่ดีไปกว่านี้อีก?
มู่ชิงเกอไม่คุยกับซือมั่วต่อ ยาที่นางต้องการปรุงมีชื่อว่า ยาปรับเปลี่ยนไขกระดูก ซึ่งหมายถึงว่าจะทำลายร่างกายและสร้างขึ้นมาใหม่ รักษาบาดแผลเรื้อรังในร่างกายให้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิม
และร่างกายที่ฟื้นคืนมาจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น
ยาปรับเปลี่ยนไขกระดูกเป็นยาที่มู่ชิงเกอได้รับมาจากเทียบยาที่สืบทอดมาจากเทพโอสถ เป็นเทียบยาที่เทพโอสถสร้างขึ้นเอง วัตถุดิบยาที่ต้องการนางก็ได้รวบรวมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนที่จะออกจากวังไท่ฮวงนั้น นางได้ไปค้นหาวัตถุดิบยาในคลังยาของแดนมารรกร้าง จนกระทั่งรวบรวมมาได้ครบ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะปรุงยาแล้ว
มู่ชิงเกอไม่สนใจคนอื่นๆ จิตใจดำดิ่งลงไปสู่เทียบยาปรับเปลี่ยนไขกระดูก
ความเงียบของนางกลับทำให้คนนับแสนรอบกายรู้สึกแปลกใจ
“เอ๋? เหตุใดเขาถึงไม่ขยับเล่า?”
“คนอื่นๆ ล้วนแต่เริ่มปรุงยาแล้ว เหตุใดเขาจึงยังไม่เริ่มอีก?”
“ประมุขน้อยเหยาก็เริ่มหลอมวัตถุดิบยาชนิดที่สองแล้วนะ”
เสียงวิเคราะห์ค่อยๆ ดังขึ้นมา แต่เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการปรุงยาของคนอื่น เสียงวิเคราะห์เหล่านี้จึงเบามาก มีเพียงคนที่อยู่บนอัฒจันทร์เท่านั้นถึงจะได้ยิน
มู่เสวี่ยอู่รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย นางมองไปทางซางซุ่นหวาง แต่ฝ่ายหลังกลับส่งสายตาปลอบให้นางสบายใจ
มู่เฟิงกับมู่เฉินก็สบตากันแวบหนึ่ง มู่เฟิงเอ่ยว่า “นายน้อยกำลังทำอะไรน่ะ?”
มู่เฉินส่ายหน้า “ความคิดของนายน้อยนั้นยากที่จะคาดเดามาโดยตลอด พวกเรารอดูเงียบๆ ก็พอ”
“เหตุใดชิงเกอถึงยังไม่เริ่มอีก เหยาชิงไห่เริ่มแล้วนะ!” จีเหยาฮั่วร้อนใจจนยืนขึ้นมา
จีเทียนเทียนรีบดึงเขาให้นั่งลงแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “เจ้าเมืองมู่ต้องมีแผนการของเขาแน่ ท่านไม่ต้องร้อนใจไป”
อิ๋งเจ๋อมองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเข้มว่า “สำรวมหน่อย”
จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่เข้าใจมู่ชิงเกอมากที่สุดน่าจะเป็นหานฉายไฉ่ เขามองเห็นมู่ชิงเกอไม่ขยับ นัยน์ตาเรียวยาวนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มุมปากกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่ชิงเกอดูเหมือนจะยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ แม้ว่าความร่วมมือระหว่างทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็ยากที่จะได้เมามายด้วยกันเหมือนตอนนั้นอีกครั้ง
แต่นี่จะสามารถโทษใครได้?
หานฉายไฉ่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะความคิดที่โง่งมของเขา ยิ่งมู่ชิงเกอก้าวสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ ในใจของเขาก็ยิ่งเข้าใจชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่คน
ในเส้นทางเดียวกัน
และโลกแห่งยุคกลางก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมู่ชิงเกอ
‘สุสานเทพ…’ ในใจของหานฉายไฉ่ปรากฎคำคำหนึ่งขึ้นมา มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น ตระกูลหานเองก็ได้รับข่าวเรื่องที่ว่าสุสานเทพจะเปิดออกเช่นเดียวกัน โอกาสนี้ทุกคนในโลกแห่งยุคกลางล้วนแต่ไม่ยอมพลาด แล้วเขาจะพลาดไปได้อย่างไร?
พวกเหมยจื่อจ้งสี่คนก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ที่มีไว้สำหรับสำนักวิถีโอสถมองดูมู่ชิงเกอ
ดีที่พวกเขามีความมั่นใจในตัวมู่ชิงเกอ ดังนั้นจึงไม่ได้ร้อนใจกับความเงียบของนาง
นอกกระจกดำ หมู่คนที่เบียดเสียดกันอยู่ในย่านการค้ากลับเงียบสงบผิดปกติ
ดูเหมือนทุกๆ คนล้วนแต่เงยหน้าขึ้นมองกระจกที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มองดูสถานการณ์ภายในนั้น
“เหตุใดเจ้าเมืองมู่ถึงยังไม่เริ่มปรุงยาอีก? ถึงจะพูดว่างานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถไม่มีเวลาจำกัด แต่คนอื่นๆ ก็เริ่มปรุงยาแล้ว โดยเฉพาะประมุขน้อยเหยา หรือว่าเขาไม่ร้อนใจสักนิดเลยหรือ?”
“หรือว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น?”
“ข้าดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่นะ”
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าเมืองมู่มาตื่นเวทีเอาตอนนี้หรอกนะ?”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ตื่นเวที? หากว่าตื่นเวทีจริงๆ เช่นนั้นก่อนหน้านี้พวกเราก็ประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว”
ภายในสำนักวิถีโอสถ อารมณ์ของเหลียนเฉียวค่อยๆ สงบนิ่งลงกลับสู่ท่าทีเคร่งขรึมเช่นเดิม นางมองไปที่มู่ชิงเกอ เมื่อเห็นว่านางยังไม่เริ่มปรุงยาจึงอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
“เหตุใดเขาถึงไม่ขยับ?” เหลียนเฉียวเอ่ยถาม
เจ้าสำนักวิถีโอสถเองก็ไม่อาจตอบได้
แต่ทันใดนั้นเหลียนเฉียวกลับเอ่ยว่า “หม้อผลาญสวรรค์อยู่กับเขา เช่นนั้นข้าก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วใช่หรือไม่?”
ประโยคนี้ทำให้เจ้าสำนักวิถีโอสถตกใจมาก รีบยกมือขึ้นห้าม “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ เรื่องนี้ไม่อาจล้อเล่นได้”
แต่จู่ๆ หลียนเฉียวก็โบกมือแล้วพูดว่า “เอาเถอะ เอาเถอะ ดูการแข่งขันก่อนเถอะ”
เจ้าสำนักวิถีโอสถถอนหายใจและไม่เอ่ยอะไรอีก
ภายในลานแข่งขัน มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ในใจของนางทบทวนขั้นตอนการปรุงยาซํ้าไปซํ้ามา หลบเลี่ยงปัจจัยที่อาจจะทำให้เกิดความล้มเหลว จนในที่สุดนางก็สามารถเริ่มปรุงยาได้แล้ว
บึ้ม!
พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง ตกลงไปในหม้อผลาญสวรรค์และลุกโหม
ตัวหม้อของหม้อผลาญสวรรค์ถูกพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเผาไหม้จนกลายเป็นสีแดงเจิดจ้า ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นว่าแววตาของทูตเทวะเปล่งประกายแสงบางอย่างออกมา
นัยน์ตาของเขาสะท้อนเพียงภาพหม้อผลาญสวรรค์ไม่มีอย่างอื่นอีก
เมื่อเพิ่มความร้อนให้ตัวหม้อแล้ว มู่ชิงเกอก็ใส่วัตถุดิบยาทั้งหมดเข้าไปในหม้อผลาญสวรรค์
วิธีหยาบๆ ของนางทำให้คนรอบด้านส่งเสียงตกใจออกมาในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น คนด้านนอกที่มองฉากนี้ผ่านกระจกดำก็พากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจออกมาเช่นกัน
มีความคิดหนึ่งปรากฎขึ้นในหัวของพวกเขา
‘เจ้าเมืองม่ผู้นี้ปรุงยาได้จริงไหม?’
คนอื่นจะคิดอย่างไรนั้นมู่ชิงเกอไม่สนใจ นางตั้งใจปรุงยาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แม้แต่เหยาชิงไห่ที่อยู่ข้างกายของนางเอง นางก็ไม่ได้สนใจ
“วิถีโอสถของชิงไห่…” ที่สำนักวิถีโอสถนอกกระจกดำ กานเหล่ามองกระจกแล้วพึมพำออกมา
ต้องมีวิถีโอสถของตนเองถึงจะเป็นมหาเทพได้!
อาจารย์ปรุงยาที่มีความสามารถไม่ถึงครึ่งก้าวของระดับมหาเทพไม่สามารถมองเห็นวิถีโอสถที่ซ่อนอยู่ในการปรุงยาได้
ในที่แห่งนี้นอกจากเจ้าสำนักวิถีโอสถที่เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพแล้วก็มีเพียงกานเหล่าที่เหยียบเข้าสู่ระดับมหาเทพ เพียงแค่เขาปรุงยาจากวิถีโอสถของตนเองออกมาได้ก็สามารถกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพได้แล้ว
ดังนั้นเขาถึงสัมผัสวิถีโอสถของเหยาชิงไห่ได้จากการปรุงยาของอีกฝ่าย
กานเหล่ามองอีกครู่หนึ่ง นัยน์ตาหดตัวลงมองเจ้าสำนักวิถีโอสถแล้วเอ่ยว่า “วิถีโอสถของชิงไห่ก็คือวิถีแห่งความชอบธรรมหรือ?”
วิถีแห่งความชอบธรรม!
อะไรคือวิถีแห่งความชอบธรรม!
อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ล้วนแต่มีสีหน้ามึนงง
เจ้าสำนักวิถีโอสถค่อยๆ พยักหน้าแล้วอธิบายว่า “ตระกูลเหยาสืบทอดมาจากลัทธิขงจื๊อ การฝึกปรือก็เน้นความเที่ยงตรง ความเที่ยงตรงนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับการปรุงยาของพวกเรา จึงสามารถเกื้อหนุนกันได้ ชิงไห่ใส่ความชอบธรรมเข้าไปในยาก็ถือว่าเป็นวิธีลัดที่ แยบยลมาก แต่ว่า…”
แต่ว่าอะไร? เจ้าสำนักวิถีโอสถไม่ได้พูดต่อ
คนอื่นไม่เข้าใจ แต่กานเหล่ากลับเข้าใจแล้ว เขาหลุบตาลงนึกเห็นด้วยในใจ
ใช้ความชอบธรรมเป็นวิถี ถึงจะเที่ยงตรงแต่ก็มีข้อจำกัด ทำตามกฎเกณฑ์เกินไปก็ยากที่จะทะลวงขอบเขต เหยาชิงไห่สามารถเป็นมหาเทพได้แต่ก็ไม่ได้น่าประหลาดใจอะไรมากมาย
ในใจของกานเหล่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะหลายปีมานี้เหยาชิงไห่เป็นศิษย์ที่มีความสามารถมากที่สุดในสำนักวิถีโอสถ
คิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็มองไปที่มู่ชิงเกอ
อัจฉริยะที่โผล่ออกมานี้จะสามารถสร้างวิถีโอสถอย่างไรออกมาได้ภายในหนึ่งเดือน? วิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดถูกสำนักวิถีโอสถใช้วิธีพิเศษรักษาเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาทำความเข้าใจวิถีโอสถ แล้วสิ่งนั้นจะก่อให้เกิดสิ่งใดขึ้นกัน?
วิถีทำได้แค่เข้าใจแต่ไม่สามารถใช้คำพูดถ่ายทอดกันได้
จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ต้องอาศัยความสามารถในการตระหนักรู้ของตนเอง
ดังนั้นการพูดคุยระหว่างเจ้าสำนักวิถีโอสถและกานเหล่านั้น อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ จึงฟังไม่เข้าใจและก็ไม่ได้ซักถามอะไร เพียงแต่มองกระจกดำไปเงียบๆ เท่านั้น
ส่วนเหลียนเฉียว หลังจากหม้อผลาญสวรรค์ปรากฎออกมาแล้ว นางก็เงียบไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นกระจกดำก็สะท้อนการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอและภาพวัตถุดิบยาหลายร้อยชนิดผสมปนเข้าด้วยกัน ภายในหม้อผลาญสวรรค์ออกมา ทำให้นัยน์ตาของกาน เหล่าและเจ้าสำนักวิถีโอสถหดตัวลงพร้อมกัน
“นี่คือ…นี่คือ…” กานเหล่ายืนขึ้นมาในทันที ตกตะลึงจนสองมือสั่นสะท้าน
เจ้าสำนักวิถีโอสถเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป หลุดปากพูดออกมาว่า “ถึงกับเข้าใจ.. .วิถีฝืนชะตาฟ้า!”
ฝืนชะตาฟ้า!
ฝืนชะตาฟ้า!
ฝืนชะตาฟ้า!
เจ้าสำนักวิถีโอสถตกตะลึงมาก เมื่อคืนเขายังชี้แนะเหยาชิงไห่อยู่เลยว่าการปรุงยายิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งฝืนชะตาฟ้า เปลี่ยนชะตาชีวิต วิถีของเขามีขอบเขตเล็กเกินไปจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาศาสตร์การปรุงยาของเขาเอง
แต่ศิษย์ผู้นี้ของเขากลับไม่เข้าใจและคิดไม่ถึงว่าคนที่เพิ่งจะใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการทำความเข้าใจวิถีโอสถของตนเองจะเข้าใจวิถีฝืนชะตาฟ้าที่แข็งแกร่งลึกลํ้าที่สุดนี้ได้
วิถีก็คือจิตใจ
วิถีโอสถก็คือวิถีของคนและยังเป็นเส้นทางในการฝึกฝนวิถีของจิตใจ
อัจฉริยะที่เข้าใจวิถีฝืนชะตาฟ้า ต่อไปภายภาคหน้าเขาจะเดินไปถึงจุดไหนกัน? ในใจของเจ้าสำนักวิถีโอสถปรากฎภาพเส้นทางฝืนชะตาฟ้าเส้นหนึ่งออกมา ส่วนคนที่ปีนเส้นทางฝืนชะตาฟ้าเส้นนั้นขึ้นไปก็คือคนที่กำลังปรุงยาอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างมู่ชิงเกอ!
“เจ้าสำนัก เป็นวิถีฝืนชะตาฟ้าจริงๆ หรือ? เขา…เขา กล้าได้อย่างไร?” กานเหล่าเอ่ยถามอย่างตกตะลึง
อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ แม้จะฟังได้ยินแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
เจ้าสำนักเงยหน้าแล้วถอนหายใจ “จะไม่กล้าได้อย่างไร? ฝืนชะตาฟ้าแต่เดิมก็ต้องการความกล้าและสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ถึงจะทำได้ จากวิถีโอสถของเขาก็สามารถมองเห็นเส้นทางที่เขาจะเดินไปได้แล้ว ความอหังการและดุดันเช่นนี้…คนคนนี้ไม่อาจเป็นศัตรูด้วยได้!”
* ปล่อยน้ำ หมายถึง เดิมทีมีความสามารถในการเอาชนะอีกฝ่ายในการแข่งขันได้ แต่ เพราะเหตุผลบางประการจึงไม่ยอมแสดงความสามารถออกไปอย่างเต็มที่ ทำให้คู่แข่งได้รับชัยชนะไป หรือก็คือ ออมมือ นั่นเอง