Skip to content

พลิกปฐพี 472

ตอนที่ 472

วิถีฝืนชะตาฟ้า!

‘เส้นทางน้อยใหญ่ ความชอบธรรมเป็นหัวใจ ข้าถือความชอบธรรมนำหน้า ใช้ความชอบธรรมเข้าสู่วิถี ขอเพียงมีใจซื่อตรงไร้ความละอาย! วิถีโอสถของข้านั้นคือที่สุด ไร้ความเกรงกลัว รับความชอบธรรมจากฟ้าดิน!’

เหยาชิงไห่ตะโกนออกมาในใจ

ภายในหม้อปรุงยาที่ลุกไหม้ ความชอบธรรมจากฟ้าดิน ราวกับได้กลายเป็นมังกรแห่งความชอบธรรมม้วนพันอยู่รอบหม้อหลอม ใส่วิถีโอสถของเหยาชิงไห่เข้าไปในวัตถุดิบยาทุกชนิด

ทั้งหม้อปรุงยาเต็มไปด้วยความหมายวิถีโอสถของเหยาชิงไห่

ชั่วขณะนั้น รอบกายของเขาก็พลันเกิดเกราะสีฟ้าพุ่งขึ้นไปบนฟ้า มีรูปร่างราวกับไม้บรรทัดที่ตรงดิ่งยอมหักแต่ไม่ยอมงอ!

สถานการณ์ของเขาดึงดูดความสนใจของคนนับแสนบนอัฒจันทร์เอาไว้

การประลองปรุงยาของอาจารย์ปรุงยาที่กำลังจะขึ้นสู่ระดับมหาเทพนั้นไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ

ผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างพากันยืดกายขึ้น ยื่นคอไปด้านหน้า มองไปยังเหยาชิงไห่อย่างตกตะลึง พร้อมส่งเสียงร้องออกมา

“นั่นคืออะไรน่ะ?”

“ข้ารู้สึกได้ถึงความเที่ยงตรงชอบธรรม!”

“ความเที่ยงตรงชอบธรรม? ของตระกูลเหยาหรือ?”

“แต่นี่คือการปรุงยามิใช่หรือ?”

“ใช่! ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“เป็นความเที่ยงตรงชอบธรรม…ความเที่ยงตรงชอบธรรมก็สามารถใช้ปรุงยาได้งั้นหรือ?”

“จะสามารถปรุงยาได้หรือไม่นั้นไม่รู้ แต่บรรยากาศนี้ก็ทำให้คนรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้นไปอีก”

ผู้คนภายในลานแข่งขันพากันตกตะลึง ส่วนบรรดาคนที่มองผ่านกระจกดำก็ถูกบรรยากาศของเหยาชิงไห่ทำให้ชะงักอ้าปากค้างมองแสงสีฟ้าที่โอบคลุมเหยาชิงไห่เอาไว้หนึ่งชั้น นิ่งเงียบกันไปหมด

ดูเหมือนชั่วเวลานั้น เขาจะดึงดูดทุกๆ สายตาเอาไว้ แล้วกลายเป็นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในลานแข่งขัน นอกกระจกดำเล็กในสำนักวิถีโอสถเองก็เงียบลงเช่นเดียวกัน นอกจากเหลียนเฉียวที่มีท่าทีเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่จ้องมองการเคลื่อนไหวของเหยาชิงไห่ แล้วก็เกิดอาการลุ้นระทึกขึ้นมา

“ปรุงยาก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? ชิงเกอจะต่อกรได้หรือไม่?” จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วพึมพำออกมา

บริเวณที่นั่งของบรรดาศิษย์สำนักวิถีโอสถ นัยน์ตาของพวกเหมยจื่อจ้งสี่คนเองก็ฉายแววกังวลใจ

“ชิงเกอเคยพูดว่า เมื่อเข้าใจวิถีโอสถของตนเองก็จะสามารถกลายเป็นมหาเทพได้ เหยาชิงไห่เข้าใจวิถีโอสถของตนเองแล้ว หนึ่งเดือนมานี้ไม่รู้ว่าชิงเกอได้รับอะไรมาบ้างหรือไม่” คิ้วของเหมยจื่อจ้งขมวดมุ่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล

จ้าวหนานซิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงเข้มว่า “พวกเราต้องเชื่อใจชิงเกอ นางไม่เคยทำให้ใครต้องผิดหวัง”

คำพูดของเขาทำให้สายตาของซางจื่อซูและจูหลิงผละออกมาจากเหยาชิงไห่เคลื่อนไปยังมู่ชิงเกอ แล้วก็เห็นว่าในขณะที่เหยาชิงไห่สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตข้างกายของมู่ชิงเกอ แม้แต่อาจารย์ปรุงยาที่อยู่ไกลออกไปก็ได้รับผลกระทบจนสีหน้าซีดขาว สองมือสั่นไหว จนกระทั่งยาที่กำลังขึ้นรูปก็ถูกทำลายลงไป ได้แต่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่นั้น มู่ชิงเกอน่ะหรือ? นางกลับยังคงเงียบสงบเช่นเดิม ทำเรื่องของตนเองไปโดยไม่ร้อนรน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับอิทธิพลจากความกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวของเหยาชิงไห่เลย

ความนิ่งสงบของนางทำให้ความร้อนใจของพวกเขาสงบลง ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

”ชิงเกอไม่น่าจะมีปัญหาอะไร’’ ซางจื่อซูพึมพำออกมา

จ้าวหนานชิงกลับยิ้มอย่างขมขื่น “รองานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจบลง ชิงเกอก็จะจากไปแล้ว นางยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะได้พบหน้ากันอีกเมื่อไหร่”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนปวดใจ

สุดท้ายจูหลิงก็ทำลายบรรยากาศเศร้าหมองนี้ลง นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ถึงอย่างไรพวกเราก็รู้ว่าลั่วซิงเฉิงอยู่ที่ไหน รอจนพวกเราเรียนจบแล้วก็ไปทำงานให้ลั่วซิงเฉิงของนางกับศิษย์พี่เหมย แล้วยังจะต้องกลัวว่าเจ้าเมืองอย่างนางจะหนีไปอีกงั้นหรือ?”

คำพูดของนางทำให้นัยน์ตาของพวกเขาเปล่งประกาย ค่อยๆ พยักหน้า รู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ไม่เลวเลย!

เมื่อคิดได้ดังนั้นทั้งสี่คนก็ทุ่มความสนใจไปที่งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ

เพราะได้รับผลกระทบจากเหยาชิงไห่ ทำให้อาจารย์ปรุงยาจำนวนไม่น้อยปรุงยาล้มเหลว ต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง

ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ทุกวัตถุดิบยาถูกโยนลงไปในหม้อทั้งหมดแล้ว บรรดาวัตถุดิบยาเหล่านี้ ส่วนมากล้วนแต่มีคุณสมบัติเป็นปฏิปักษ์กันโดยธรรมชาติ

ถึงแม้ว่าทุกคนจะกังวลว่าการกระทำของนางอาจจะทำให้เกิดการระเบิดขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่าภายในหม้อผลาญสวรรค์นั้นเกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งขึ้น

วัตถุดิบยานับร้อยชนิดจัดเรียงกันอย่างสงบภายในหม้อ พวกมันถูกพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเผาไหม้ ขจัดสิ่งปนเปือน เหลือไว้แต่ส่วนที่ดีที่สุด จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของมู่ชิงเกอควบคุมทุกอย่างภายในหม้อประดุจดั่งราชาที่ควบคุมปัญหาและอุปสรรคก่อนที่จะฝืนชะตาฟ้า

‘วิถีโอสถช่วยชีวิตคน เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ ชะลออายุขัย ตายแล้วกลับฟื้น แต่เดิมก็เป็นวิถีฝืนชะตาฟ้า! วิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดล้วนแต่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือฝืนชะตาฟ้าทั้งสิ้น ฝืนชะตาฟ้าเช่นนี้เข้ากันกับวิถีการฝึกปรือของข้า คนเกิดขึ้นมาบนโลก ไม่ใช่ ควรฝืนชะตาฟ้ากุมชะตาชีวิตของตนเองหรือ? ต้องยอมทำตามชะตาฟ้างั้นหรือ? หึ! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม! หากฟ้าขวางข้า ข้าก็จะฝืนชะตาฟ้า! หากว่าดินหยุดข้า ข้าก็จะบดขยี้ดิน! วิถีโอสถของข้าก็คือการฝืนชะตาฟ้า ควบคุมฟ้าดิน ฝืนความเป็นตาย!’

บึ้ม!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอสะท้อนเปลวเพลิงแห่งการฝืนชะตาฟ้าที่ลุกโชนออกมา

รอบกายของนางเกิดเป็นเปลวไฟรูปร่างอสูรร้ายเงยหน้าคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า

‘โฮก!’

เสียงคำรามสั่นสะเทือนตรงเข้าไปในจิตใจคน

เสียงคำรามนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในลานแข่งขันรู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเองสั่นสะท้าน เหมือนภายในร่างกาย มีอะไรหลุดออก ทำให้ผ่อนคลาย เบาสบายและสมองแจ่มชัดขึ้นมา

“นี่…”

“เหตุใดถึงรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นมานะ?”

มีคนจำนวนไม่น้อยที่จับหน้าอกของตนเองแล้วส่งเสียงออกมาอย่างแปลกใจ

นี่มันอะไรกันน่ะ?”

“ข้าก็ไม่รู้! อะไรนะ? พวกเจ้าก็รู้สึกว่าสบายขึ้นด้วยงั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ข้าได้ยินเพียงเสียงคำรามของสัตว์อสูรเพียงครั้งเดียว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย”

มู่เสวี่ยอู่มองไปยังซางซุ่นหวางที่อยู่ข้างกาย มองเห็นเขาเอามือหนึ่งวางทาบบนตำแหน่งหัวใจแล้วก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านตา ท่านเป็นอะไรไป?”

ซางซุ่นหวางโบกมือ กำลังจะเอ่ยตอบกลับได้ยินเสียงสายฟ้าดังมาจากกลางอากาศเสียก่อน

ครืน!

ครืน!

สีฟ้าที่เปลี่ยนอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจของทุกคน

พวกเขามองไปยังท้องฟ้าที่เปลี่ยนสี เห็นเพียงท้องฟ้าที่แต่เดิมสดใสเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว เหมือนฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่ปาน

ภายในชั้นเมฆมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบและเกิดฟ้าร้องอย่างต่อเนื่อง

“นี่…เกิดอะไรขึ้นอีกน่ะ?”

ท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีและภาพสายฟ้าแลบแปลบปลาบทำให้คนนับไม่ล้วนยืนขึ้นจากที่นั่งและคิดจะหลบหนีออกจากที่นี่

“ฟ้าพิโรธแล้วงั้นหรือ? ปรุงอะไรออกมากัน? ถึงได้ทำให้ฟ้าพิโรธเช่นนี้!”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว! ปรุงยากลับสามารถปรุงจนถึงขั้นนี้ได้!”

ภายในกระจกดำเล็กเมื่ออาจารย์ปรุงยามองเห็นฉากนี้ ประกอบกับภาพท้องฟ้าเปลี่ยนสีที่ด้านนอก ก็พากันเคร่งขรึมขึ้นมา มีคนไม่น้อยยืนขึ้นเดินออกไปที่ข้างกรอบประตู เงยหน้ามองสายฟ้าแลบแปลบปลาบที่กลางอากาศนั้น

เจ้าสำนักวิถีโอสถยืนอยู่ที่เดิม พึมพำเสียงเบาว่า “วิถีฝืนชะตาฟ้าอหังการเกินไป เมื่อต้องการฝืนชะตาฟ้ามี หรือสวรรค์จะละเว้น?”

กานเหล่าเดินมาข้างกายเขาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าสำนัก ข้าเคยได้ยินมาว่า หากวิถีโอสถถูกทำลายก็จะสูญเสียความสามารถในการปรุงยาไปทั้งหมด ไม่รู้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

นัยน์ตาของเจ้าสำนักวิถีโอสถฉายแวววาววาบ แล้วก็พยักหน้า

นัยน์ตาของกานเหล่าหดตัวลง เกิดความกังวลขึ้นมาในใจ

เขามองท้องฟ้า ถอนหายใจในใจ ‘วิถีฝืนชะตาฟ้าเต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางที่ฝืนชะตาฟ้านี้จะผ่านไปได้ง่ายๆ งั้นหรือ?’

ฟ้าพิโรธทำให้เขารู้สึกว่ามู่ชิงเกอกำลังเผชิญเคราะห์ที่ยากจะหลีกหนี หากวิถีโอสถถูกทำลาย มู่ชิงเกอจะไม่สามารถปรุงยาได้อีก ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ก็จะไม่มีวาสนากับวิถีโอสถอีกต่อไป

น่าเสียดาย เสียใจ ยากจะยอมรับ…

อารมณ์ต่างๆ นานา ทำให้กานเหล่าอดถอนหายใจอย่างต่อเนื่องออกมาไม่ได้

“เขาต้องทำได้” ในตอนนี้เองเหลียนเฉียวก็เอ่ยออกมา นํ้าเสียงของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ท่าน…” เจ้าสำนักวิถีโอสถมองนางอย่างตกตะลึง

เหลียนเฉียวยืนขึ้นมาจ้องไปยังด้านนอกที่มืดมิดลง แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “เป็นถึงเจ้านายคนใหม่ของหม้อผลาญสวรรค์ จะสู้ฟ้าพิโรธแค่นี้ไม่ได้ ได้อย่างไร?”

เหมือนเป็นการตอบรับคำพูดของเหลียนเฉียว ภายในกระจกดำ เปลวไฟที่ลุกโหมอยู่บนหม้อผลาญสวรรค์หลอมรวมเข้าเป็นร่างเดียวกันกับมู่ชิงเกอ

สัตว์อสูรด้านหลังของนางราวกับกิเลนเพลิงก็ไม่ปาน

มันแหงนหน้าคำรามใส่สวรรค์ด้วยความโกรธเกรี้ยว

กีบเท้าของมันราวกับจะเหยียบย่ำทำลายแผ่นฟ้าและก้าวขึ้นสู่วิถีฝืนชะตาฟ้า

สวรรค์พิโรธแล้ว!

สายฟ้าขนาดใหญ่เท่าแขนของผู้ใหญ่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าพุ่งเข้าหามู่ชิงเกอ ราวกับคิดจะฟาดคนที่หาญกล้าต่อกรสวรรค์ให้แหลกกลายเป็นผุยผง

“อา!”

ฉากนี้ทำให้คนนับไม่ถ้วนตกตะลึง

หม้อปรุงยาของอาจารย์ปรุงยาที่อยู่รอบด้านทยอยระเบิดออก ความพยายามก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงไปจนสิ้น ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือบางคนกลัวจะโดนลูกหลงจึงรีบวิ่งออกไปที่ขอบสนามแล้วถอนตัวออกจากการแข่งขันไป

สายฟ้ายังไม่ทันโดนตัวมู่ชิงเกอก็ถูกกิเลนเพลิงตัวนั้นกลืนลงไป

เหยาชิงไห่ยืนอยู่ที่เดิม เกราะสีฟ้ารอบกายโอบคลุมกายเขาเอาไว้ แต่ในขณะที่มู่ชิงเกอทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ก็ทำให้จุดนี้ของเขาไม่มีใครมาสนใจอีก

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีด้วยสีหน้าซีดขาว ในใจรู้สึกตกตะลึง

เขาตกตะลึง แต่ไม่ใช่เพราะฟ้าดินเปลี่ยนสี แต่เป็นเพราะตะลึงในวิถีโอสถของมู่ชิงเกอต่างหาก

‘ข้าไม่เคยเห็นวิถีโอสถที่อหังการและแข็งแกร่งดุจดั่งการคำรามใส่สวรรค์เช่นนี้มาก่อน!’ เหยาชิงไห่เอ่ยขึ้นในใจ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจคำพูดที่อาจารย์เคยพูดเอาไว้ ก่อนหน้านี้

‘เส้นทางการปรุงยาแต่เดิมก็เป็นการฝืนชะตาฟ้า’

รีบไป! ฟ้าจะถล่มแล้ว!”

“รีบหนีเร็ว สวรรค์พิโรธแล้ว อยู่ที่นี่ก็แค่รอความตายเท่านั้น!”

“ช่วยด้วย!”

สวรรค์ลงทัณฑ์ทำให้คนนับไม่ถ้วนเกิดความหวาดกลัว นอกและในลานแข่งขันตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน

บรรดาอาจารย์ปรุงยาที่ฝืนยืนอยู่ได้อย่างยากลำบากในตอนที่ฟ้าผ่าลงมา มาตอนนี้ล้วนแต่ถอดใจเลือกที่หลบ จะหนี จนลานแข่งขันขนาดใหญ่เหลือเพียงแต่มู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่แค่สองคน

เหยาชิงไห่มองไปยังมู่ชิงเกอ ตอนที่มองเห็นความสงบนิ่งของเขานั่นเอง นัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง เกิดคลื่นลมป่นป่วนขึ้นในใจอีกครั้ง

ด้านนอกกระจกดำอันเล็ก อาจารย์ปรุงยาที่มองเห็นความวุ่นวายอลหม่านก็อดมองไปที่เจ้าสำนักวิถีโอสถไม่ได้

ในตอนนี้เอง ภายในลานแข่งขัน เสียงน่าฟังและเปี่ยมอำนาจก็ค่อยๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง “การปรุงยาของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า จะไม่มีคนชมได้อย่างไร? ข้าขอสั่งให้พวกเจ้านั่งลงเดี๋ยวนี้’’

เมื่อสิ้นเสียงของเขา ความกดดันก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเขากระจายไปทั่วทั้งลานแข่งขันและแผ่ขยายออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

ทุกสถานที่ในและนอกสำนักวิถีโอสถล้วนแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น คนนับแสน นับล้านเหมือนกับถูกคำสาป ให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ขยับไปไหนไม่ได้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version