ตอนที่ 475
แม้เป็นยาพิษ ข้าก็ยอมกิน
ภายในช่องว่าง มู่ชิงเกอก้าวเข้าไปหาซือมั่วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มุมปากของซือมั่วอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขตามนาง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…”
“ชู่ว!” ซือมั่วเพิ่งจะเอ่ยปากก็ถูกมู่ชิงเกอใช้นิ้วปิดที่ริมฝีปากของเขา หยุดยั้งคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมา
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายดุจดวงดารา มองซือมั่วอย่างอารมณ์ดี
งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถสิ้นสุดลงแล้ว นางได้รับชัยชนะ แต่ไม่มีใครรู้ว่า นางไม่ได้สนใจชัยชนะนี้เลย สิ่งที่นางสนใจก็คือในที่สุดนางก็ปรุงยาปรับเปลี่ยนไขกระดูกออกมาได้แล้ว
หลังออกจากงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถแล้ว นางก็หาช่องพาซือมั่วกลับมายังช่องว่างทันที
ไม่ว่าด้านนอกจะมีคนมากมายแค่ไหนรอนางอยู่ หรือมีคนมากแค่ไหนที่รอจัดงานเลี้ยงฉลองให้นาง นางก็ไม่สนใจ
นางคิดเพียงแต่ว่าต้องเอายาที่ตนเองปรุงขึ้นมาส่งเข้าไปในปากของซือมั่วให้ได้
“ข้าทำได้แล้ว” มู่ชิงเกอแบมือออก ยาปรับเปลี่ยนไขกระดูกเปล่งแสงเก้าสีนอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนมือของนาง
ท่าทางที่ดูระมัดระวัง ดีใจเหมือนเด็กน้อย แล้วยังมีท่าทีโล่งใจของนาง ล้วนแต่ทำให้หัวใจของซือมั่วรู้สึกอ่อนยวบ
ทันใดนั้นซือมั่วก็ยื่นมือออกไปดึงมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก วางคางไว้บนหัวของนางแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ขอบคุณนะ”
“ทำไมต้องขอบคุณด้วย?” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของเขาแล้วพูดอย่างไม่พอใจ ซือมั่วเหลือบมองนัยน์ตาที่สดใสของนาง นัยน์ตาสีอำพันแฝงไปด้วยอารมณ์บางอย่าง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการถูกใครสักคนใส่ใจจะรู้สึกดีเช่นนี้ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ที่ข้าขอบคุณ ก็คือขอบคุณเจ้าที่ทำให้ข้าได้รู้สึกเช่นนี้”
มู่ชิงเกอมองเขา ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยตอบอย่างไรดี
นางน่าสงสารมากงั้นหรือ?
หรือจะพูดว่ามู่ชิงเกอน่าสงสารงั้นหรือ? ถึงแม้ว่าตั้งแต่เล็กนางจะไม่มีบิดามารดาอยู่ข้างกาย แต่นางก็ยังมีท่านปู่และท่านอา ถึงแม้ตั้งแต่เล็กนางจะต้องใช้ชีวิตอย่างผู้ชายแบกรับภาระทุกๆ อย่าง แต่ซือมั่วเล่า?
จากคำพูดและท่าทีบางอย่างที่เขาเผยออกมาโดยไม่ตั้งใจ คำพูดเหล่านั้นทำให้มู่ชิงเกอมองเห็นโลกที่ซือมั่วเคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ซือมั่วโหดเหี้ยมงั้นหรือ?
ไม่ เขาไม่ได้โหดเหี้ยม เพียงแต่เป็นเพราะสถานการณ์หล่อหลอมให้เป็นเช่นนั้น
เขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่ได้รับความรักจากบิดา มารดา ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่น้องที่เป็นเหมือนฝูงหมาป่า เขาต้องการมีชีวิต ดังนั้นจำเป็นต้องโหดเหี้ยมและเย็นชายิ่งกว่าใคร!
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา ปวดใจที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เย็นชามานับหมื่นปี แล้วยังสามารถทนผ่านมันมาได้
ตรงหน้าของนางราวกับปรากฎภาพภาพหนึ่งขึ้น
ภายในช่องว่างอันกว้างขวางเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกและความมืดมิด ซือมั่วในวัยเด็กถูกขังไว้ในที่คุมขังอย่างโดดเดี่ยว ทำได้เพียงขดตัวหลบอยู่ในมุมมืด ใช้ร่างกายให้ความอบอุ่นแก่ตนเอง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขามีแต่การฆ่าล้างและความเย็นชา กลิ่นคาวเลือดและฉากอันน่าสยดสยอง ความเย็นชาไร้จิตใจเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสจนชินชาและก็เป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคย
“ต่อจากนี้ไป มีข้าอยู่” มู่ชิงเกอพูดออกไป ให้คำสัญญาแก่ซือมั่ว
ซือมั่วชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มออกมา เพราะคำพูดนี้ของนางเหมือนกับมีแสงเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าพูดเองนะ หากว่าเจ้ากล้ากลับคำ ข้าจะขังเจ้าไว้ข้างกายไม่ยอมปล่อยมือไปตลอดกาล” ซือมั่วพูดอย่างจริงจัง
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมาพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้”
นางก็เคยพูดกับเขาเช่นนี้ ว่าหากเขายั่วยุนางแล้วก็ต้องคิดให้ดีไปตลอดชีวิต หากเขากล้ารังแกนาง นางจะทำให้เขาตายทั้งเป็น ทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต
ส่วนตอนนี้เขาพูดกับนางว่า หากเจ้าคิดกลับคำ คิดจะหนีจาก ข้าจะขังเจ้าเอาไว้ข้างกายไปตลอดชีวิต
ตอนนั้นเขาก็ตกลงอย่างเด็ดเดี่ยว
ตอนนี้นางก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
“กินยาเถอะ กินมันแล้วอาการบาดเจ็บของเจ้าก็จะดีขึ้น” มู่ชิงเกอยื่นยาส่งไปตรงหน้าของซือมั่ว
ซือมั่วหลุบตาลง มองบนยาปรับเปลี่ยนไขกระดูก ค่อยๆ ยื่นนิ้วเรียวยาวของตนเองไปรับยามาจากมือของนาง
“หลังจากกินมันแล้ว ข้าอาจจะต้องหลับลึกไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะตื่น อย่างเร็วก็สามวัน อย่างช้าก็เจ็ดวัน” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ ยาเปลี่ยนไขกระดูกเม็ดนี้ นางปรุงขึ้นมา จึงรู้ผลลัพธ์ของยาดี
“ข้าไม่อยู่ข้างกายเจ้า…” ซือมั่วพูดอย่างลังเล
มู่ชิงเกอกลับฟังออกถึงความกังวลใจในคำพูดของเขา นางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่กี่วันเอง ข้าไม่เป็นอันตรายหรอก”
ซือมั่วขบริมฝีปากแล้วเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ข้าน่าจะยืนกรานช่วยเจ้าสร้างหุ่นเชิดให้เสร็จก่อน”
“วางใจเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก” มู่ชิงเกอรับรองอีก
ซือมั่วหมดทางเลือกได้แต่ทำตามนาง
เขาเอายาในมือส่งไปที่ปากของตนเอง
แต่ในตอนที่เขากำลังจะส่งยาเข้าปากนั้นเอง มือของมู่ชิงเกอก็กลับยื่นมาขวางมือของเขาเอาไว้
เขามองนางอย่างแปลกใจ มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ากินเข้าไปเร็วขนาดนี้ ไม่กลัวว่าจะเป็นยาพิษหรือไร?”
หลังจากที่ซือมั่วกินยาลงไปแล้วก็จะหลับลึก จนเมื่อยาออกฤทธิ์ฟื้นฟูร่างกายของเขาจนหายดีแล้วจึงจะตื่นขึ้นมา
ที่มู่ชิงเกอพูดล้อเล่นก็เพราะนางรู้สึกทนไม่ได้เลยคิดอยากจะพูดคุยกับเขาสักสองสามคำ
แต่หลังจากพูดจบนางก็รู้สึกเสียใจแล้ว
นึกดูแคลนตนเองว่าเมื่อไหร่กันที่นางอ่อนไหวเหมือนผู้หญิงเช่นนี้ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น อีกทั้งซือมั่วก็ยังหลับอยู่ในช่องว่างของตนเอง มีอะไรที่ต้องลังเลอีก?
ซือมั่วมองนางแล้วจับมือของนางที่วางอยู่บนมือของตนเองออก
เขาพูดกับนางด้วยนํ้าเสียงที่เด็ดเดี่ยวไม่มีลังเลว่า “ยาที่เจ้าปรุงให้ข้า แม้จะเป็นยาพิษ ข้าก็จะกินมัน”
มู่ชิงเกอชะงัก ร่างกายราวกับมีกระแสความร้อนรุ่มกลุ่มหนึ่งพุ่งจากปลายเท้าขึ้นมาทั่วร่างกายของนาง
ซือมั่วกินยาปรับเปลี่ยนไขกระดูกลงไป สองมือประคองแก้มของมู่ชิงเกอขึ้นมาแล้วค่อยๆ โน้มกายแนบริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากของนาง แล้วจุมพิตอย่างดูดดื่ม
จนกระทั่งสัมผัสได้ว่ายาออกฤทธิ์แล้วเขาถึงได้หมดสติ ล้มลงไปในอ้อมอกของมู่ชิงเกอ
ริมฝีปากของมู่ชิงเกอยังมีกลิ่นอายของซือมั่วหลงเหลืออยู่ นางใช้สองมือโอบกอดร่างของซือมั่วเอาไว้แน่น
มองใบหน้าอันหล่อเหล่าของเขาอย่างละเอียด
หลังจากมองดูซํ้าไปซ้ำมาจึงค่อยประคองเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง สั่งให้เหมิงเหมิงดูแลให้ดี แล้วถึงได้หันกายออกจากช่องว่าง
เมื่อออกมาจากช่องว่างแล้ว มู่ชิงเกอก็ไปยังย่านตลาดนอกของสำนักวิถีโอสถก่อน
ที่นั่นพวกเหมยจื่อจ้งกำลังทำการต้อนรับซางซุ่นหวาง มู่เสวี่ยอู่ มู่เฟิง มู่เฉินอยู่ คนอื่นๆ กำลังรอนาง ส่วนพวกจีเหยาฮั่วก็จัดงานเลี้ยงฉลองให้นางอยู่ในโรงเตี๊ยม
เมื่อได้พบพวกเขาแล้ว ซางซุ่นหวางก็จะต้องรีบกลับตระกูลซาง มู่ชิงเกอจึงให้พวกเขากลับไปก่อนรอให้ตนเองจัดการเรื่องราวที่นี่ให้ชัดเจนแล้วค่อยกลับไปตระกูลซาง เพื่อปรุงยาฟื้นคืนชีพให้บิดา
มู่เฟิงและมู่เฉินก็ไม่ได้อยู่นาน หลังจากรายงานเรื่องราวที่เกี่ยวกับลั่วซิงเฉิงแล้วก็กลับไปพร้อมกันกับพวกซางซุ่นหวาง
หลังจากส่งคนสองกลุ่มนี้แล้วมู่ชิงเกอถึงได้พาพวกเหมยจื่อจ้งสี่คนไปยังงานเลี้ยงด้วยกัน
เมื่อไปถึงโรงเตี๊ยม มู่ชิงเกอถึงได้พบว่าจีเหยาฮั่วได้เชิญเหยาชิงไห่มาด้วย ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดว่าทุกคนควรร่วมฉลองด้วยกันจริงๆ หรือว่าคิดจะหักหน้าของเหยาชิงไห่กันแน่
ดีที่ตลอดทั้งงานเลี้ยง เหยาชิงไห่เอาแต่ยิ้มอย่างมีมารยาท ไม่ได้เผยร่องรอยของความกระดากใจออกมาเลยแม้แต่น้อย
งานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มพูดคุยเรื่องการเดินทางไปยังสุสานเทพ เมื่อเวลาพอสมควรแล้วก็นัดไปเจอกันที่ภาคกลาง อิ๋งเจ๋อกับเหยาชิงไห่นัดประลองในวันต่อไปแต่มู่ชิงเกอกลับไม่มีเวลาว่างไปดูการประลองในครั้งนี้ เพราะว่านางต้องไปพบกับคนคน หนึ่ง นั่นก็คือเจ้าสำนักวิถีโอสถเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหม้อผลาญสวรรค์
ดวงจันทร์ลอยสูงอยู่บนยอดไม้ คนที่ไม่เมาเหล้าก็มึนเมาไปกับบรรยากาศ
ชื่อเสียงของมู่ชิงเกอโด่งดังไปทั่วโลกแห่งยุคกลางอีกครั้ง ดีที่นางอยู่ในสำนักวิถีโอสถ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็สามารถเข้ามาได้ มิเช่นนั้นนางคงจะถูกเทียบเชิญกองใหญ่กดทับจนตาย
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา พวกมู่ชิงเกอบอกลาพวกจีเหยาฮั่วสามคนแล้วกลับไปยังสำนักวิถีโอสถส่วนใน
กลางทางนางกลับพบคนคนหนึ่งยืนขวางทางอยู่ คนคนนั้นดูเหมือนจะรอนางมานานแล้ว
เมื่อมู่ชิงเกอเห็นคนคนนั้นแล้วก็หรี่ตาลงพูดกับพวกเหมยจื่อจ้งว่า “ศิษย์พี่เหมย ศิษย์พี่จ้าว พวกท่านพาศิษย์พี่ซางและศิษย์พี่จูกลับไปก่อน ข้ายังมีธุระเล็กน้อยที่นี่”
พูดแล้วก็หันไปเอ่ยกับเหยาชิงไห่ที่มาด้วยกันว่า “ประมุขน้อยเหยาก็กลับไปก่อนเถอะ”
พวกเขาเองก็ไม่ได้ดื้อดึงมองมู่ชิงเกอกับคนคนนั้นเล็กน้อยแล้วก็เดินจากไป
รอจนพวกเขาเดินไปไกลแล้ว คนคนนั้นถึงได้เดินเข้ามาหามู่ชิงเกอ ในมือของเขายังหิ้วเหล้ามาด้วยสองไห
“ยังดื่มได้อีกไหม?” หานฉายไฉ่ชูมือขึ้น เขย่าไหเหล้าไปมาตรงหน้ามู่ชิงเกอ
นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นเหมือนกับเมื่อก่อน ยากที่จะมองเห็นอารมณ์แท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่กลับสามารถสัมผัสได้ว่าในตอนนี้หานฉายไฉ่นั้นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เขาปล่อยวางบางอย่างลง ในใจโล่งสบายและไม่ทำเรื่องสิ้นคิดอีก ความสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้คนรู้สึก สบายใจขึ้นมาก
มู่ชิงเกอเดินเข้าไปใกล้เขาแล้วก็รับเอาไหเหล้าจากมือเขามาหนึ่งไหพลางเปิดจุกแดงด้านบนออก กลิ่นหอมนุ่มลึกของเหล้าลอยออกมาจนนางอดสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ “หอมจริงๆ!”
หานฉายไฉ่ยิ้มเอ่ยว่า “ดื่มเหล้ากับเจ้า จะเอาเหล้าไม่ดีมาได้อย่างไร?”
มู่ชิงเกอเงยหน้ายิ้ม พูดว่า “เหล้าดีเช่นนี้ นอกจากจะดื่มด้วยกันแล้ว ก็ใจกว้างหน่อย เอามาให้สักหลายขวด ให้ข้าได้ลิ้มลองในวันปกติบ้าง”
ใครจะรู้เมื่อคำพูดของนางจบลง ของบางอย่างก็ถูกโยนออกมาจากฝั่งทางหานฉายไฉ่
นางยื่นมือออกไปรับเมื่อแบมือออกมาก็พบว่าเป็นแหวนจัดเก็บ
เมื่อใช้จิตวิญญาณสำรวจดูก็พบว่าด้านในเต็มไปด้วยเหล้าดีหลายร้อยไห มู่ชิงเกอมองหานฉายไฉ่อย่างแปลกใจ ฝ่ายหลังพูดว่า “ถือเป็นการฉลองให้ชัยชนะของเจ้าในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็หัวเราะแล้วก็เก็บเอาไว้
“หาสถานที่ที่มีบรรยากาศไม่เลวแล้วดื่มเหล้ากันเถอะ” หานฉายไฉ่เอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้านำเขาไปยังเรือนหลังเล็กที่พวกจ้าวหนานชิงซื้อเอาไว้
ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่มีบรรยากาศดีที่สุด แต่เป็นเพราะนางไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่ คิดแล้วก็มีเพียงเรือนหลังเล็กหลังนี้ที่มีบรรยากาศเงียบสงบไม่มีคนรบกวน เหมาะแก่การพูดคุยกัน
คืนนี้มู่ชิงเกอไม่ได้กลับไปยังส่วนใน
นางกับหานฉายไฉ่พูดคุยกันทั้งคืน และก็ได้รู้ว่าหานฉายไฉ่ก็จะไปสุสานเทพเช่นกัน เพียงแต่เขาไปกับกลุ่ ของภาคเหนือ มู่ชิงเกอถึงได้เข้าใจว่าเรื่องการเดินทางไปสุสานเทพทุกๆ ภาคต่างส่งกลุ่มคนเข้าไป แน่นอนว่าการจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็แล้วแต่คน
อีกสี่ปีสุสานเทพถึงจะเปิด แต่ว่ามู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเหล่าขุมกำลังแล้ว