Skip to content

พลิกปฐพี 476

ตอนที่ 476

ความลับของหม้อผลาญสวรรค์

วันต่อมาหานฉายไฉ่ก็ลาจากไป

มู่ชิงเกอกลับเข้าช่องว่างไปอาบนํ้าเล็กน้อย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและทิ้งชุดที่เหม็นกลิ่นเหล้าไว้ในช่องว่างแล้วไปดูซือมั่ว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ถึงออกจากช่องว่างมุ่งหน้าไปยังส่วนใน

นางเข้าพบเจ้าสำนักได้อย่างราบรื่น

หลังจากมู่ชิงเกอแจ้งจุดประสงค์ของตนเองออกไปแล้วก็มีคนมารับนางไปยังที่พักของเจ้าสำนักทันที

“เจ้ามาแล้วหรือ นั่งลงเถอะ” เจ้าสำนักวิถีโอสถนั่งสมาธิอยู่บนตำแหน่งของตน ชี้ไปที่ตำแหน่งใกล้ๆ ตนเอง แล้วพูดกับมู่ชิงเกอ

ห้องของเขาไม่มีเก้าอี้มีเพียงเบาะนั่งรูปลี่เหลี่ยมสำหรับนั่งกับพื้นเท่านั้น

หลังจากมู่ชิงเกอเดินไปถึงตำแหน่งที่เขาชี้แล้วก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น จัดเสื้อผ้าของตนเองแล้วมองไปที่เจ้าสำนักเหมือนรอให้เขาเอ่ยปาก

นางมีคำพูดมากมายที่ต้องการถามแต่ตอนนี้กลับไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปาก

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตัวเองอยากถามแล้วนางอยากรู้ว่าเจ้าสำนักอยากถามอะไรนางมากกว่า

“มาเร็วกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้เสียอีก” เจ้าสำนักเอ่ยปาก

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นบ่นในใจว่า ‘เขาหาว่าข้ามาเร็วไปงั้นหรือ?’

“พรสวรรค์ของเจ้าทำให้คนได้แต่แหงนหน้ามอง เพียงแค่สี่เดือนก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถสิบสองชนิดได้” เจ้าสำนักค่อยๆ พูดขึ้นจากนั้นก็หยุดลง หัวเราะพลางเอ่ยต่อว่า “จะพูดให้ชัดๆ ก็คือทำความเข้าใจวิถีโอสถสิบเอ็ดชนิดได้ภายในหนึ่งวัน ความสามารถในการทำ ความเข้าใจเช่นนี้ ไม่มีใครเทียบได้ อีกอย่างเพียงแค่หนึ่งเดือนเจ้าก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถของตนเองได้ อีกทั้งวิถีโอสถของเจ้าก็ทวนย้อนแหล่งกำเนิดของวิถีโอสถ”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่พูดจา เดิมนางคิดว่าเจ้าสำนักจะพูดถึงเรื่องหม้อผลาญสวรรค์เลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเริ่มพูดกับนางตั้งแต่เรื่องวิถีโอสถ

เจ้าสำนักวิถีโอสถถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เส้นทางนับหมื่นนับพันต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ใครจะรู้ว่าภายในเส้นทางนับหมื่นนับพันนั้นก็มีความยากง่ายและอ่อนแอแข็งแกร่งปะปนกันอยู่ เจ้าเลือกเส้นทางที่ยากที่สุด แต่ก็เป็นเส้นทางที่แข็งแกร่งที่สุด!” คำพูดของเขาทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง

นางรู้สึกว่าเจ้าสำนักเหมือนจงใจจะเปิดเผยข้อมูลอะไรบางอย่างให้นางรู้

แต่เจ้าสำนักก็ไม่ได้รอจนนางเข้าใจ พูดต่อว่า “จากวิถีโอสถข้าก็สามารถคาดเดาเส้นทางในอนาคตของเจ้าออกได้คร่าวๆ แล้ว ต้องบอกเลยว่าเจ้ากล้าหาญมาก วิถีฝืนชะตาฟ้าไม่ใช่ใครๆ ก็กล้าที่จะเดิน อีกทั้งยังสามารถเดินไปจนสุดทาง”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

เส้นทางฝืนชะตาฟ้า? ไม่ใช่ทางที่นางเลือกแต่เพราะทางที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้นมีเพียงแค่ทางเดียวต่างหาก

หากไม่อยากพ่ายแพ้ นางก็ต้องเดินต้านลมไปข้างหน้าไม่ยอมหยุด

“เคยมีคนคนหนึ่ง เขาเหมือนกันกับเจ้าเลือกเส้นทางที่ยากที่สุดเส้นนี้ เพียงแต่น่าเสียดาย…,” ทันใดนั้น นัยน์ตาของเจ้าสำนักก็ฉายแววโศกเศร้าขึ้นมา

“น่าเสียดาย? น่าเสียดายอะไรหรือ?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่ลง

เส้นทางฝืนชะตาฟ้าไม่ใช่นางเพียงคนเดียวที่เดิน ตามกาลเวลาที่ค่อยๆ ไหลผ่านและในอนาคตล้วนแต่จะมีคนเลือกเส้นทางนี้เช่นเดียวกันกับนาง ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าสำนักแล้วนางจึงสนใจมาก อยากจะรู้ถึงเรื่องราวที่คนคนนั้นผ่านมา

“น่าเสียดาย…” เจ้าสำนักค่อยๆ ส่ายหน้าเอ่ยเสียงเข้มว่า “น่าเสียดาย ที่เขาล้มเหลว”

“ล้มเหลวงั้นหรือ?” ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกผิดหวัง จากคำพูดของเจ้าสำนักทำให้นางรู้สึกได้ว่าคนคนนี้เป็นคนที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่เขาให้ความเคารพมาก

แต่คนที่เจ้าสำนักวิถีโอสถถือว่าเป็นคนที่เก่งกาจมากขนาดนั้นยังต้องล้มเหลวเมื่อเลือกเดินทางตามวิถีฝืนชะตาฟ้า

“ที่จริงแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นหรือตาย แต่น่าจะเป็นสิ้นชีพไปแล้วมากกว่า มิเช่นนั้นหลายปีมานี้เหตุใดจึงไม่มีข่าวคราวและไม่ยอมปรากฎตัว?” เจ้าสำนักค่อยๆ เอ่ยขึ้น

เขากับมู่ชิงเกอพูดคุยกันเหมือนกับสหายที่กำลังคุยเล่นกัน

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากไม่พูดจา

ครู่หนึ่ง เจ้าสำนักจึงมองมาที่นางแล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงมากกว่าออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแต่เดิมหม้อผลาญสวรรค์นั้นเป็นของเขา?”

มู่ชิงเกอเบิกตากว้างมองเจ้าสำนักวิถีโอสถ นางพยายามค้นหาพิรุธบนสีหน้าของเขาแต่สุดท้ายก็พบว่านี่ไม่เหมือนคำโกหก

เจ้าของคนก่อนของหม้อผลาญสวรรค์เป็นผู้แข็งแกร่งที่เลือกเส้นทางฝืนชะตาฟ้างั้นหรือ?

นางระงับความตกตะลึงในใจแล้วพูดกับเจ้าสำนักว่า “ในเมื่อคนคนนั้นยังไม่พบร่องรอย แล้วเหตุใดหม้อปรุงยาของเขาถึงไปอยู่ด้านนอกได้?”

เรื่องที่หม้อผลาญสวรรค์ตกมาอยู่ในมือของนางได้อย่างไรนั้นก็ค่อนข้างแปลกประหลาด

เดิมทีหม้อผลาญสวรรค์ซ่อนร่างจริงกลายเป็นหม้อปรุงยาที่ดำสนิท รวมไปกับบรรดาหม้อปรุงยาภายในโรงโอสถสาขาย่อย

จากนั้นก็ถูกนางเลือกออกมาจากหม้อปรุงยาทั้งหมด

ไม่! น่าจะพูดว่าหม้อผลาญสวรรค์เลือกนางเองต่างหากเล่า นับตั้งแต่ตอนนั้นนางก็แปลกใจแล้วว่าเหตุใดหม้อผลาญสวรรค์ถึงได้เลือกนาง? ไม่ใช่เพราะนิสัยของนาง แต่เป็นเพราะเส้นทางที่นางเลือกเหมือนกันกับเจ้าของเก่าของมันงั้นหรือ?

จากนั้นเมื่อไปลงยังโรงโอสถกลางแล้วได้พบกับตาเฒ่าไป๋หลี่ นางถึงได้รู้ว่าหม้อผลาญสวรรค์ไม่ธรรมดา สำหรับไม่ธรรมดาอย่างไรนั้นตาเฒ่าไร้ความรับผิดชอบ

คนนั้นกลับพูดไว้เพียงหนึ่งประโยค คือให้นางค่อยๆ ฝึกฝนและศึกษาเอาเอง

ตอนนี้เจ้าสำนักวิถีโอสถมาบอกนางว่าเจ้าของเดิมของหม้อผลาญสวรรค์เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝืนชะตาฟ้าคนหนึ่ง!

“เจ้าได้หม้อผลาญสวรรค์มาจากที่ไหน?” เจ้าสำนักเอ่ยถาม

เมื่อต้องการรู้ที่มาที่ไปอย่างแน่นอนก็ไม่สามารถปิดบังอะไรได้อีก มู่ชิงเกอคิดแล้วก็พูดกับเจ้าสำนักว่า “ข้าได้มาจากโรงโอสถสาขาย่อย แคว้นอวี๋ หลินชวน”

“หลินชวน!” เจ้าสำนักพูดออกมาอย่างแปลกใจ ทันใดนั้นก็เข้าใจพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน่าจะคิดออกนานแล้ว”

“คิดอะไรออกหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

เจ้าสำนักยิ้มออกมาแล้วเอ่ยกับนางว่า “คิดได้ว่า เห็นได้ชัดว่าข้าได้รบกวนให้คนนำหม้อผลาญสวรรค์ไปที่หลินชวนเพื่อให้ห่างจากโลกแห่งยุคกลาง แล้วมาตอนนี้ หม้อผลาญสวรรค์กลับมาปรากฎอยู่ในมือของอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงอิงได้อย่างไรน่ะสิ? ที่แท้เจ้าไม่ใช่คนของโลกแห่งยุคกลางแต่มาจากหลินชวนนี่เอง”

‘ที่แท้หม้อผลาญสวรรค์ก็ถูกเจ้าสำนักให้คนนำไปไว้ที่หลินชวน!’ มู่ชิงเกอตกตะลึง

แต่ที่ยิ่งน่าตกตะลึงก็คือส่วนหลัง

เจ้าสำนักเอ่ยต่อว่า “ในตอนนั้นผู้อาวุโสบรรพบุรุษคิดถึงอาจารย์ของข้ามากเกินไปจิตใจแหลกสลาย เพื่อที่จะไม่ให้นางเป็นเช่นนั้นต่อไป ข้าจึงแสร้งทำเป็นขับไล่อาจารย์ปรุงยาที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่งออกจากสำนัก แล้วก็ลอบตามหาเขาขอให้เขานำหม้อผลาญสวรรค์ออกไปจากโลกแห่งยุคกลาง”

มู่ชิงเกอมึนงง

หรือคนที่เหลียนเฉียวรอคอยมาตลอดจะเป็นเจ้าของคนก่อนของหม้อผลาญสวรรค์? อีกทั้งเจ้าของคนนี้ก็ยังเป็นอาจารย์ของเจ้าสำนักวิถีโอสถอีกด้วย?!

เพียงแต่มีจุดหนึ่งที่นางไม่เข้าใจ

“เพื่อให้เหลียนเฉียวกลับมาเป็นปกติ ก็ซ่อนหม้อผลาญสวรรค์ไว้ก็ได้แล้วนี่ เหตุใดต้องนำไปหลินชวนด้วย?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

มุมปากของเจ้าสำนักขยับเล็กน้อยหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เพราะว่าหากหม้อผลาญสวรรค์อยู่ที่เดียวกันกับผู้อาวุโสบรรพบุรุษก็จะเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรง ถ้าหากไม่มีช่องว่างใหม่เพื่อซ่อนมันก็จะถูกคนเหล่านั้นค้นพบได้ง่าย”

คนเหล่านั้น…คนเหล่าไหน?

มู่ชิงเกอเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะไม่ธรรมดาแล้ว

หากเป็นไปตามคำพูดของเจ้าสำนัก มู่ชิงเกอสามารถแน่ใจได้แล้วว่าคนที่เขาไหว้วานไปนั้นก็คือหัวหน้าโรงโอสถกลางไป๋หลี่เถิง ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะมีเหตุมีผลแต่ตาเฒ่าคนนั้นกลับถูกไล่ออกจากสำนักวิถีโอสถ ดังนั้นในใจจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจ จึงให้นางกลับมากู้หน้า

แต่ว่าในเมื่อตอนแรกเจ้าสำนักรบกวนให้เขานำหม้อผลาญสวรรค์ไป ต่อมาเมื่อมาตกอยู่ในมือของตนเอง เขากลับไม่ได้แย่งคืนไป ทั้งยังจงใจเอ่ยเตือนนางว่าหม้อผลาญสวรรค์นั้นมีความพิเศษเพื่ออะไรกัน?

“หม้อผลาญสวรรค์ เป็นหม้อที่อาจารย์ของข้าสร้างขึ้นมาเองกับมือ เป็นราชาของหม้อปรุงยาทั้งมวล ทั้งยังเป็นเหมือนสมบัติที่อาจารย์ปรุงยาทุกคนล้วนแต่ต้องการ ประโยชน์ของหม้อผลาญสวรรค์ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ มันยังเป็นอาวุธของอาจารย์ของข้า ภายในมีช่องว่าง ช่อนอยู่ ภายในช่องว่างยังมีของสะสมที่อาจารย์เก็บเอาไว้มานับแสนปี มีคนมากมายที่ต้องการมัน” คำพูดของเจ้าสำนักทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึง

ที่แท้นางเฝ้าคลังสมบัติอยู่โดยไม่รู้ตัวหรือ?

“แต่ว่า…” มู่ชิงเกออยากจะถามว่าเหตุใดตนเองถึงไม่ค้นพบความลับเหล่านี้

เจ้าสำนักกลับพูดต่อว่า “บนหม้อผลาญสวรรค์นั้นมีผนึก ผนึกนี้อาจารย์เป็นคนทิ้งเอาไว้ มีเพียงแค่ผู้อาวุโสบรรพบุรุษเท่านั้นถึงจะสามารถคลายผนึกได้ ในตอนนั้นที่อาจารย์เลือกเส้นทางฝืนชะตาฟ้าก็เพื่อผู้อาวุโสบรรพบุรุษ เขาคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้น จึงฝากผู้อาวุโส บรรพบุรุษและหม้อผลาญสวรรค์ไว้ให้ข้าดูแล แล้วก็จากไปเพียงลำพัง จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย”

“…” มู่ชิงเกอตกตะลึง

คำพูดของเจ้าสำนักมีบางส่วนที่ปกปิดเอาไว้ แต่ที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็เพราะไม่สะดวกที่จะพูด ดังนั้นนางจึงไม่ได้ซักไซ้

“คิดไม่ถึงว่าหยวนเฮ่านำหม้อผลาญสวรรค์จากไป แล้วกลับทำให้หม้อผลาญสวรรค์บังเอิญเลือกเจ้าเป็นเจ้านายคนใหม่” เจ้าสำนักเอ่ย

“หยวนเฮ่า? เป็นใครกัน?” มู่ชิงเกอไม่รู้จักหยวนเฮ่า

เจ้าสำนักชะงัก ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ดูแล้วเจ้าคนเจ้าเล่ห์คนนั้นคงจะเปลี่ยนชื่อ หากว่าเขาไม่ได้ชื่อว่าหยวนเฮ่าก็น่าจะมีแซ่ไป๋หลี่”

ไป๋หลี่ ไป๋หลี่เถิง

ชื่อนี้ตรงกัน

มู่ชิงเกอพยักหน้า

“เป็นอย่างนั้นจริงๆ เจ้านั้นเคยพูดว่าแซ่ของมารดาตนเองคือไป๋หลี่ และตัวเขาเองก็ชอบแซ่ไป๋หลี่มากกว่า” เจ้าสำนักพูดไปยิ้มไป ในแววตาฉายความคิดถึง

บางทีอาจจะคิดถึงบรรยากาศเมื่อตอนนั้น

“ที่ท่านเอ่ยเรื่องพวกนี้กับข้าก็เพราะคิดจะเอาหม้อผลาญสวรรค์คืนไปงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยถาม

เจ้าสำนักกลับส่ายหน้า “ไม่ ข้าเพียงคิดจะบอกเจ้าว่าตอนนี้หม้อผลาญสวรรค์ถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว เจ้าอยู่ในสำนักวิถีโอสถก็ยังดี แต่หากจากไปก็ให้ระวังความปลอดภัยด้วย”

“มีคนต้องการหม้อผลาญสวรรค์งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอตกใจ

เจ้าสำนักวิถีโอสถยิ้มบางๆ แล้วถอนหายใจ “บนโลกนี้สิ่งที่สามารถทำให้คนลุ่มหลงได้มากที่สุดก็คือความโลภ เจ้ามีสมบัติอยู่กับตัวแต่เดิมก็เหมือนกับโทษทัณฑ์อย่างหนึ่ง เมื่อคนเกิดความโลภก็จะทำให้เกิดการฆ่าล้างตามมา”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไป นางต้องยอมรับเลยว่าคำพูดของเจ้า สำนักนั้นมีเหตุผล

เพียงแต่จะมีใครลงมืองั้นหรือ?

อาจารย์ปรุงยางั้นหรือ?

“ศัตรูของเจ้าในอนาคตไม่ใช่อาจารย์ปรุงยา” ทันใดนั้น เจ้าสำนักก็เอ่ยขึ้น “แม้ว่าอาจารย์ปรุงยาจะต้องการหม้อผลาญสวรรค์มาก แต่อาจารย์ปรุงยาที่สามารถจดจำหม้อผลาญสวรรค์ได้ ตอนนี้ก็ถูกข้าทำพันธสัญญารับเข้ามาไว้ในสำนักวิถีโอสถหมดแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นข้าไม่รู้ แต่คงจะไม่สร้างความวุ่นวายให้เจ้า ที่เจ้าจะต้องระวังก็คือคนอื่น”

“คนอื่นงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น “ตาเฒ่าไป๋หลี่เคยพูดว่าหากหม้อผลาญสวรรค์ถูกเปิดเผย ข้าก็จะพบเจอกับการฆ่าล้างจากอาจารย์ปรุงยาทั้งโลกแห่งยุคกลาง”

เจ้าสำนักวิถีโอสถชะงักแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เขาแค่ขู่เจ้าเท่านั้น เจ้าเฒ่าผู้นี้คิดว่าหลายปีมานี้ข้าอยู่เฉยๆ งั้นหรือ?”

พูดแล้วภายในดวงตาของเขาก็ฉายแววอำมหิต พูดอย่างเย็นชาว่า “อาจารย์ปรุงยาที่โลภ มากอยากได้หม้อผลาญสวรรค์ส่วนมากล้วนแต่ถูกข้าสังหารไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็ถูกข้ารับเข้ามาในสำนักวิถีโอสถ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version