ตอนที่ 477
บีบเข้าถ้ำจิ๋วเฉวียน!
เจ้าสำนักวิถีโอสถชะงักแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เขาแค่ขู่เจ้าเท่านั้น เจ้าเฒ่าผู้นี้คิดว่าหลายปีมานี้ข้าอยู่เฉยๆ งั้นหรือ?”
พูดแล้วภายในดวงตาของเขาก็ฉายแววอำมหิต พูดอย่างเย็นชาว่า “อาจารย์ปรุงยาที่โลภ มากอยากได้หม้อผลาญสวรรค์ส่วนมากล้วนแต่ถูกข้าสังหารไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็ถูกข้ารับเข้ามาในสำนักวิถีโอสถ”
มู่ชิงเกอชะงัก มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุก ดูแล้วหลังจากนางกลับไปที่หลินชวน คงต้องไปคุยกับตาเฒ่าไป๋หลี่สักครั้ง
“ดูแล้วคงเป็นเขาที่นำพาเจ้ามา” เจ้าสำนักวิถีโอสถหัวเราะ
ท่าทางของมู่ชิงเกอแสดงทุกอย่างออกมาอย่างชัดเจน นํ้าเสียงของเขาจึงแสดงออกถึงความแน่ใจ
เรื่องไป๋หลี่เถิง มู่ชิงเกอยังไม่อยากพูดมากในตอนนี้ ที่นางสนใจก็คือคนที่เจ้าสำนักพูดว่ามีความโลภเหล่านั้น เพียงแต่เขาพูดแล้วหยุดเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย
ใครกันที่แม้แต่เขาก็ยังต้องหลบเลี่ยง?
“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ!” ทันใดนั้นเจ้าสำนักก็ยืนขึ้นมามองไปที่นอกประตูอย่างแปลกใจ
มู่ชิงเกอหันมองตามเขาไปก็มองเห็นเงาร่างเล็กๆ เดินย้อนแสงเข้ามา
ในตอนที่นางเดินเข้ามาในครรลองสายตานั้น ก็ได้เผยให้เห็นรูปร่างที่เหมือนเด็กผู้หญิงของนาง
“เหลียนเฉียว” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมา
อย่างไรนางก็ไม่เรียกคนที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงแต่ไม่ใช่มนุษย์คนนี้ว่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษแน่ จึงเรียกชื่อนางออกไปตรงๆ นางรู้สึกแปลกใจคิดไม่ถึงว่าเหลียนเฉียวจะมาด้วย
และคนที่แปลกใจก็ไม่ได้มีเพียงแค่นางคนเดียว
“พูดจบแล้วหรือยัง?” ใบหน้าเล็กๆ ของเหลียนเฉียวตึงเครียดขึ้นมา สายตาดูมากด้วยวัย นางไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เดินไปยังตำแหน่งของเจ้าสำนักแล้วนั่งลง
ส่วนเจ้าสำนักก็ถอยออกไปด้านข้างด้วยความเคารพ พร้อมพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ขอรับ”
มู่ชิงเกอมองเห็นภาพนี้เข้าก็ไพล่คิดไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าสำนัก จึงอดคิดไม่ได้ว่า ‘อาจารย์ของเขากับเหลียนเฉียวมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกันนะ?’
เหตุใดเหลียนเฉียวถึงตัดใจไม่ได้เช่นนี้?
คนรักหรือ? อา…จากรูปร่างภายนอกของเหลียนเฉียว ทำให้มู่ชิงเกอไม่ได้คิดไปในทางนั้น แต่เหลียนเฉียวไม่ใช่มนุษย์ แน่นอนว่าไม่อาจเป็นลูกสาวของอาจารย์ของเจ้าสำนักได้ นอกเสียจากว่าอาจารย์ของเจ้าสำนักเองก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกัน
ในเมื่อตัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรสาวออกไป ก็เหลือเพียงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดเพียงอย่างเดียวแล้ว
มิเช่นนั้นจะอธิบายการกระทำของเหลียนเฉียวในหลายปีที่ผ่านมานี้ได้อย่างไร?
“ดี ในเมื่อพูดชัดเจนดีแล้วเช่นนั้นข้าก็จะขอพูดสักประโยค” ทันใดนั้นเหลียนเฉียวก็พูดขึ้น
ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางจะทำให้สีหน้าของเจ้าสำนักวิถีโอสถเปลี่ยนไปในทันที
เหลียนเฉียวมองมู่ชิงเกอแล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งว่า “พาข้าจากไปด้วย”
หา?
มู่ชิงเกอสงสัยว่าการฟังของตนเองมีปัญหาหรือไม่ มองนางอย่างแปลกใจแล้วก็มองเจ้าสำนักที่ร้อนใจอยู่ด้านข้างพร้อมกับพูดว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ข้าพูดว่าให้เจ้าพาข้าจากไป” เหลียนเฉียวพูดอีกครั้ง
ครั้งนี้มู่ชิงเกอได้ยินชัดเจนแล้ว
เจ้าสำนักยืนขึ้นตรงหน้าเหลียนเฉียวในทันทีเขาคุกเข่าลงโดยไม่สนใจสถานะ เอ่ยห้ามว่า “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ไม่ได้นะขอรับ!”
เหลียนเฉียวกลับพูดเบาๆ ว่า “มีอะไรไม่ได้ หม้อผลาญสวรรค์ก็ได้กลับมาแล้ว ข้าสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้ และจะไม่มีใครหาข้าพบ”
เจ้าสำนักได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจมากพูดกับเหลียนเฉียวว่า “ไม่ได้ หม้อผลาญสวรรค์ถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะถูกพวกเขาหมายตา หากว่าท่านตามไปนี่ไม่
ใช่เป็นการส่งตัวเองไปให้พวกนั้นถึงที่หรือ?”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ต้องยิ่งเดินทางไปกับเขาด้วย หม้อผลาญสวรรค์เป็นของของเขา จะยอมให้ตกไปอยู่ในมือของสุนัขรับใช้พวกนั้นได้อย่างไร?” เหลียนเฉียว พูดอย่างดื้อดึง
“แต่ว่า…” เจ้าสำนักเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ
เหลียนเฉียวดัดบทพูดของเขาแล้วเอ่ยกับเขาว่า “มีเพียงข้าเท่านั้นถึงจะสามารถคลายผนึกของหม้อผลาญสวรรค์ได้ ทำให้มันสามารถใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่ ข้าตามเขาไปก็สามารถปกป้องเขาได้”
“ไม่ได้นะ!” เจ้าสำนักปฏิเสธ เขาพูดกับเหลียนเฉียวว่า “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ในใจของท่านนั้นก็รู้ดีว่าหากจะปลดผนึกของหม้อผลาญสวรรค์จะต้องสูญเสียพลังจำนวนมาก การคลายผนึกของหม้อผลาญสวรรค์ไม่ใช่จะสามารถคลายออกได้ในเวลาสั้นๆ หากว่าพบเจอกับ คนเหล่านั้นจริงๆ อาจจะไม่ทันการณ์ได้”
“ข้าซ่อนตัวอยู่ในหม้อผลาญสวรรค์ เมื่อหม้อผลาญสวรรค์ถูกเขาเก็บเอาไว้ พวกเขาก็หาไม่พบแล้ว” หลังจากเหลียนเฉียวนิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอีก
แต่เจ้าสำนักกลับส่ายหน้า “แม้จะเป็นเช่นนั้น ท่านก็ไม่อาจเสี่ยงได้ มิฉะนั้นข้าก็คงไม่มีหน้าไปพบกับอาจารย์ได้แล้ว”
เหลียนเฉียวกัดฟัน ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา นางคำรามใส่เจ้าสำนักวิถีโอสถว่า “หม้อผลาญสวรรค์ กลับมาแล้ว เพียงแค่ไปกับมัน ข้าถึงจะมีโอกาสหาร่องรอยของเขาพบ”
“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ!” เจ้าสำนักขึ้นเสียง
เขาตะคอกออกมาอย่างกะทันหัน จนแม้แต่เหลียนเฉียวเองก็ยังต้องเงียบเสียง
มู่ชิงเกอนั่งอยู่ด้านข้าง ไม่สะดวกจะสอดคำ สำหรับเรื่องที่เหลียนเฉียวอยากจะตามนางไปนั้น นางต้องปฏิเสธแน่นอน เพียงแค่ไม่มีช่องว่างให้เอ่ยปากก็เท่านั้น
ตอนนี้หากเจ้าสำนักสามารถล้มเลิกความคิดนี้ของนางได้จะดีที่สุด
เจ้าสำนักเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนว่า “หม้อผลาญสวรรค์ได้ยอมรับเจ้านายคนใหม่แล้ว นั้นก็หมายถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับอาจารย์ได้ตัดขาดลง ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ ในใจของท่านเองก็รู้ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องหลอกตัวเองด้วย? มีเพียงท่านอยู่ที่นี่ต่อ ข้าถึงจะ สามารถปกป้องท่านได้!”
เหลียนเฉียวเงยหน้ามองฟ้า ทันใดนั้นก็พูดออกมาว่า
“ในตอนนั้นเขาสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องข้า แต่เมื่อเขาจากไปกลับทำให้ข้าติดอยู่ภายในนี้ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับปกป้องข้าแต่เป็นสถานที่กักขังข้า”
ค่ายกล!
‘สำนักวิถีโอสถกลับเป็นค่ายกลอันหนึ่ง!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง รู้สึกตกตะลึงมาก
“ปิดฟ้าบังทะเล กลบซ่อนกลิ่นอาย” เหลียนเฉียวพูดออกไปทำให้มู่ชิงเกอยิ่งเข้าใจค่ายกลอันนี้หรือจะพูดว่าประโยชน์ของสำนักวิถีโอสถมากขึ้น
เจ้าสำนักมองเหลียนเฉียวอย่างตกใจที่นางเอ่ยความลับเช่นนี้ออกมาต่อหน้ามู่ชิงเกอ
แต่เมื่อพูดไปแล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก?
“เอาเถอะ เจ้าต้องการกักขังข้าก็กักขังไปเถอะ แต่ต่อไป ข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าอีกและเจ้าก็ไม่ต้องมารบกวนข้าด้วย” เหลียนเฉียวพูดจบก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
จู่ๆ นางก็ว่าง่ายขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ทำให้เจ้าสำนักแปลกใจนัก
แต่ในใจของเขา ไม่ว่าจะอย่างไรขอเพียงเหลียนเฉียวล้มเลิกความคิดที่จะจากไปก็ดีแล้ว
ส่วนมู่ชิงเกอ เมื่อได้ยินว่าเหลียนเฉียวเปลี่ยนใจก็รู้สึกโล่งอก
ทันใดนั้นเหลียนเฉียวก็มายืนอยู่ตรงหน้าของนางแล้ว ค่อยๆ หันหน้ามา “เจ้ารับปากกับข้าไว้แล้วว่าก่อนจากไปจะมาอยู่กับข้า ตอนนี้ก็ไปกับข้าเถอะ”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น นางยังมีเรื่องต้องถามเจ้าสำนักให้ชัดเจน แน่นอนว่าไม่คิดจะจากไปในตอนนี้ แต่เมื่อนางเห็นสีหน้าของเจ้าสำนักในตอนนี้แล้วดูเหมือนไม่คิดจะพูดอะไรต่ออีก ส่วนเหลียนเฉียวก็ยังรออยู่ที่ด้านข้าง หากนางปฏิเสธจะเป็นการยั่วยุให้นางมารผู้นี้โมโหจนเปลี่ยนใจอยากจะตามนางจากไปให้ได้หรือไม่?
คิดแล้วมู่ชิงเกอก็ตัดสินใจว่าตามใจเหลียนเฉียวก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นางยืนขึ้นมาตามเหลียนเฉียวกลับไปยังเรือนพักสีทองของนาง ด้านในไม่มีคนอื่นๆ แล้ว หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปแล้วประตูใหญ่ก็ปิดลงเอง
เหลียนเฉียวหันมองมู่ชิงเกอ เอ่ยความต้องการของนางออกมาว่า “เอาหม้อผลาญสวรรค์ออกมา ข้าอยากจะดูสักหน่อย”
มู่ชิงเกอชะงัก นางคิดไม่ถึงว่าเหลียนเฉียวจะเสนอความต้องการเช่นนี้
คิดแล้วนางก็โบกมือ หม้อผลาญสวรรค์ตกลงตรงที่ว่างระหว่างคนทั้งสอง
เมื่อได้เห็นหม้อผลาญสวรรค์อีกครั้ง นัยน์ตาของเหลียนเฉียวก็ปรากฎร่องรอยของความตื่นเต้น ภายในนั้นยังแฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด นางเดินไปตรงหน้าของหม้อผลาญสวรรค์แล้วยื่นมือออกไปลูบบนหม้อผลาญสวรรค์เบาๆ ท่วงท่าอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความคิดถึง
“เจ้าไปก่อนเถอะ ให้ข้าได้อยู่กับหม้อผลาญสวรรค์สักหนึ่งคืน พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาเก็บกลับไป” เหลียนเฉียวเอ่ย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ นิสัยของเหลียนเฉียวยากจะคาดเดา เมื่อคิดแล้วมู่ชิงเกอจึงพยักหน้าแล้วถอยออกไป
เมื่อออกจากที่พักของเหลียนเฉียวแล้ว มู่ชิงเกอก็ไปหาพวกเหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิง
เดิมทียังคิดว่าผ่านไปหลายวันค่อยออกเดินทาง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว นางรีบไปยิ่งเร็วยิ่งดี ดังนั้นนางจึงคิดจะบอกลาพวกเขาแล้วพรุ่งนี้เช้าก็จะจากไปทันที
สำหรับจีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อและจีเทียนเทียน แล้วก็เหยาชิงไห่
วันนี้อิ๋งเจ๋อและเหยาชิงไห่มีนัดประลองกัน สถานที่ก็คือป่าตันเฉวียนด้านหลังสำนักวิถีโอสถ เกรงว่าคงกลับมาไม่ทันในสองสามวันนี้และนางเองก็ขี้เกียจจะรอ
เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่จะจากไปนางก็เคยพูดแล้ว ระหว่างงานเลี้ยงเมื่อวาน ถือว่าเป็นการบอกลาไว้ล่วงหน้าแล้ว
หลังจากพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนแล้ว เมื่อฟ้าสว่างมู่ชิงเกอก็นั่งสมาธิพักผ่อนครู่หนึ่ง ถึงได้เดินไปยังที่พักของเหลียนเฉียว แต่เมื่อเข้าไปในเรือนพักสีทองเรือนนั้นแล้ว นางกลับไม่พบเงาร่างของเหลียนเฉียวเลย
หม้อผลาญสวรรค์ยังคงวางอยู่ที่เดิมที่นางวางเอาไว้เมื่อวาน มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินไปถึงข้างหม้อผลาญสวรรค์ ยื่นมือไปจับที่ขอบหม้อแล้วนิ่งคิด จากนั้นก็เดินวนไปรอบๆ
ภายในหม้อผลาญสวรรค์นั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย และนางก็สัมผัสไม่ได้ว่ามีกลิ่นอายอื่นๆ อยู่ในนั้น
“เหลียนเฉียว เหลียนเฉียว?” มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านข้างหม้อผลาญสวรรค์แล้วร้องตะโกนออกมา แต่ว่าภายในเรือนกลับว่างเปล่าไม่มีใครตอบ
นางขมวดคิ้วขึ้น เดินไปที่กลางห้อง “เหลียนเฉียว…”
นางร้องตะโกนต่อแต่ก็ไม่มีใครตอบ
จนกระทั่งเท้าหนึ่งของนางก้าวลงบนขั้นบันไดประตูห้องที่ปิดสนิทจึงมีเสียงของเหลียนเฉียวดังลอยออกมาว่า “ไสหัวไป อย่ามามารบกวนการนอนของข้า”
นํ้าเสียงนี้…
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว
นางไม่สนใจว่านํ้าเสียงของเหลียนเฉียวจะเป็นอย่างไร ขอแค่แน่ใจว่าเหลียนเฉียวอยู่ในห้องก็พอแล้ว
ปฏิกิริยาของเหลียนเฉียวทำให้นางรู้สึกกังวลใจว่านางมารผู้นี้จะแอบหลบอยู่ในหม้อผลาญสวรรค์แล้วตามนางจากไป
แต่เมื่อแน่ใจแล้วว่านั่นคือเสียงของเหลียนเฉียว มู่ชิงเกอก็วางใจแล้วถามไปอีกประโยคว่า “เช่นนั้นข้าจะเอาหม้อผลาญสวรรค์ไปแล้วนะ”
“ไปเถอะ ไม่ต้องมารบกวนข้า”
เสียงของเหลียนเฉียวดังขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ถึงได้ทำให้มู่ชิงเกอวางใจเต็มที่ ถอนเท้ากลับมาแล้วหันเดินกลับไปข้างหม้อผลาญสวรรค์
นางสะบัดมือเก็บหม้อผลาญสวรรค์เข้าไว้ในช่องว่าง จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปด้านนอก
ที่สมควรบอกลานางก็ได้บอกลาไปหมดแล้ว
ดังนั้นการจากไปในครั้งนี้นางจะไม่เสียเวลาอีก นางจึงเดินออกไปทางส่วนนอกของสำนักวิถีโอสถเลย
นางไม่ให้พวกเหมยจื่อจ้งมาส่งเพราะว่าไม่จำเป็น เมื่อมู่ชิงเกอเดินไปถึงนอกสำนักวิถีโอสถแล้วก็ปล่อยเสี่ยวไฉ่ออกมาแล้วกระโดดขึ้นบนหลังของมัน เสี่ยวไฉ่กระพือ ปีกลอยมุ่งหน้าไปยังเมืองชิงชาง
นางต้องการใช้ประตูมิติที่เมืองชิงชางเพื่อเดินทางไปเมืองอินถู จากนั้นก็กลับไปเมืองซีฝูแห่งภาคเหนือ เดินทางตามเส้นทางที่มาย้อนกลับไปยังภาคตะวันตก เพื่อกลับไปยังตระกูลซางฟื้นคืนซีพให้มู่เหลียนเฉิง
เสี่ยวไฉ่ลอยผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้าเจ็ดสี
มู่ชิงเกอนั่งสมาธิอยู่บนหลังของมัน ผมยาวสลวยปลิวไหวเบาๆ เพราะเสี่ยวไฉ่บังลมให้นางแล้ว จึงเหลือแค่เพียงสายลมเบาๆ เท่านั้น
‘อิงตามความเร็วของเสี่ยวไฉ่ ผ่านไปสักหน่อยก็จะถึงเมืองแล้ว’ มู่ชิงเกอคิดคำนวณในใจ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามนางก็ร่อนลงที่เมืองชิงชาง
เพียงแต่กลับต้องเจอกับข่าวร้าย
เป็นเพราะงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก่อนหน้านี้ ทำให้มีคนเข้ามาในภาคตะวันออกมากเกินไป จนประตูมิติได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจำเป็นต้องฟื้นฟู ส่วนเวลาในการฟื้นฟูนั้นกลับไม่แน่นอน
ข่าวนี้ทำให้มู่ชิงเกอต้องเปลี่ยนแผนปล่อยเสี่ยวไฉ่ออกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองอินถูโดยตรง
เส้นทางนี้แม้จะเป็นความเร็วของเสี่ยวไฉ่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายวัน
แต่ก็ยังดีกว่ารอประตูมิติซ่อมแซมในเมืองชิงชาง
วันนี้มู่ชิงเกอขี่เสี่ยวไฉ่อยู่กลางอากาศมาได้เป็นวันที่สามแล้ว หากอิงตามเส้นทางแล้วนางเข้าใกล้เมืองได้ครึ่งทางแล้ว เหลืออีกครึ่งทางนางก็จะถึงเมืองอินถู
การเดินทางอย่างต่อเนื่องทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกสงสารเสี่ยวไฉ่อยู่บ้าง
นางลูบเบาๆ บนหัวของเสี่ยวไฉ่ เอ่ยถามว่า “เสี่ยวไฉ่ เจ้าเหนื่อยไหม?”
เสี่ยวไฉ่กู่ร้องยาว เหมือนกำลังบอกนางว่าไม่เหนื่อย
มู่ชิงเกอยิ้ม แต่ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็แข็งค้าง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา
ตรงหน้าของนางมีอสูรเวหาจำนวนไม่น้อยเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งบนนั้นยังมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด และเมื่อหันมองไปด้านหลังของตนเอง ไกลออกไปด้านหลังก็มีอสูรเวหากลุ่มหนึ่งกำลังไล่ตามนางมาและบนนั้นก็มีคนยืนอยู่เต็มไปหมดเช่นเดียวกัน ดวงตาของนางหรี่เล็กลง อสูรเวหาในโลกแห่งยุคกลางนั้นพบเห็นได้ไม่มาก นางบินมาหลายวันก็ยังไม่เห็นสักตัว แต่มาตอนนี้กลับมีนับร้อยตัวบินมา อีกทั้งบนนั้นยังมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด
ถ้าหากบอกว่าจุดมุ่งหมายของคนเหล่านี้ไม่ใช่นาง เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงจะไม่เชื่อ
ด้านหลังไล่ล่าด้านหน้าขัดขวาง
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายดุดัน สั่งเสี่ยวไฉ่ว่า “อ้อมไป”
เสี่ยวไฉ่ส่งเสียงร้องสดใส เปลี่ยนทิศทางบินไปยังช่องว่างระหว่างสองทาง ดูเหมือนมันก็รู้แล้วว่ามีคนร้ายไล่ตามมาดังนั้นถึงได้เร่งความเร็วขึ้น
ส่วนทั้งสองกลุ่มด้านหลังก็ได้รวมกลุ่มกันแล้วจัดทิศทางใหม่เพื่อไล่ตามมู่ชิงเกอต่อ
‘เป็นใครกันที่มาไล่ตามนาง? หรือจะเป็นเพราะหม้อผลาญสวรรค์!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเย็นชา เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง
หลังจากอ้อมแล้วทิศทางก็เปลี่ยนไปมาก
เสี่ยวไฉ่พามู่ชิงเกอพุ่งเข้าชั้นหมอกหนา มู่ชิงเกอหรี่ตาลง มองลงไปที่พื้น มองเห็นเพียงบนพื้นนูนเป็นหลุมไม่เรียบ มีหลุมรูปร่างแปลกประหลาดเต็มไปทั่วพื้น
ส่วนหมอกเหล่านี้ก็เหมือนโผล่ขึ้นมาจากหลุมบางหลุม
นี่คือ…ถํ้าจิ่วเฉวียน!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ สั่งการเสี่ยวไฉ่ว่า “เสี่ยวไฉ่ ลงไป!”
เสี่ยวไฉ่พุ่งลงไปและอสูรเวหาด้านหลังของมันเหล่านั้นก็ ตามลงไปเช่นกัน พวกเขาเข้าไปยังหมอกสีขาวหนาแน่นนั้น…