ตอนที่ 492
ข้าแบกรับความผิดให้เจ้า
รอบลานพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
เมื่อถูกคนจำนวนมากใช้สายตากระตือรือร้นและบูชาจ้องมองมา ถึงมู่ชิงเกอจะหนังหน้าหนาแค่ไหนก็อดอายไม่ได้อยู่ดี
จ้าวหนานชิง ซางจื่อซูและจูหลิงสามคนสบตากันแล้วยิ้ม รอดูเรื่องสนุก
โหลวชวนป่ายก็ยิ้มจนตาหยี ใบหน้าฉายแววได้ใจ
“แค่ก” มู่ชิงเกอคิดแล้วก็ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า
เพียงแค่นางขยับ มู่เสวี่ยอู่ก็ตามไป
ส่วนบรรดาศิษย์ของโรงโอสถสาขาย่อยก็พากันแหวกทางให้ทั้งสองคนเดินไปยังใจกลางของลานโรงโอสถ
สาขาย่อยที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้เก่าแก่เขียวขจี
มู่ชิงเกอเดินไปข้างกายเหมยจื่อจ้งแล้วก็ยิ้มให้เขา
ไม่รอให้นางพูด โหลวชวนป่ายก็เดินเข้ามาเอ่ยกับนางว่า “ในเมื่อมาแล้วก็ทำเหมือนกับพวกเขาไหม?”
ความหมายในคำพูดของเขาก็คือ ถามมู่ชิงเกอว่าจะยอมบรรยายถึงศาสตร์การปรุงยาให้บรรดาศิษย์ของโรง โอสถสาขาย่อยฟังดั่งเช่นพวกเหมยจื่อจ้งหรือไม่
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วก็พยักหน้า
หลังจากได้รับคำยินยอมจากนางแล้วโหลวชวนป่ายถึงได้เดินมาข้างหน้า ประกาศกับบรรดาศิษย์ของโรงโอสถสาขาย่อยว่า “ใช่แล้ว ศิษย์พี่มู่ของพวกเรากลับมาแล้ว ความภูมิใจของพวกเราชาวหลินชวน นางกลับมาแล้ว!”
“ขอต้อนรับศิษย์พี่มู่กลับมา!”
“ขอต้อนรับศิษย์พี่มู่กลับมา!”
ปฏิกิริยาของบรรดาศิษย์นั้นอบอุ่นมาก พวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมู่ชิงเกอมาบ้างไม่มากก็น้อย และก็รู้สึกชื่นชมบูชานางมาก
โหลวชวนป่ายยกสองมือขึ้นแล้วลดลง หลังจากกดความตื่นเต้นของทุกคนลงแล้วถึงได้ยิ้มและเอ่ยว่า “ศิษย์พี่มู่ของพวกเจ้ายากที่จะมีเวลากลับมาลักครั้ง พวกเจ้าอยากฟังประสบการณ์ในศาสตร์การปรุงยาของ นางหรือไม่?”
“อยาก!”
“อยากสิ!”
“ศิษย์พี่มู่ เล่าให้พวกเราฟังเถอะ!”
“ศิษย์พี่มู่ โปรดสั่งสอนด้วย!”
โหลวชวนป่ายหันมองมู่ชิงเกอ รอยยิ้มในดวงตาลํ้าลึก
มู่ชิงเกอรับรู้ได้ นางเดินไปข้างหน้า นั่งลงบนตำแหน่งที่เหมยจื่อจ้งนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อนางนั่งลง บรรดาศิษย์ด้านล่างก็พากันกลับเข้าที่นั่ง สงบสติอารมณ์ลง เผยท่าทางกระตือรือร้นออกมา
พวกเขายินดีฟัง มู่ชิงเกอก็ไม่ขัดศรัทธา
ถึงแม้ว่านางจะยังไม่มีประสบการณ์ในการบรรยายคาบเรียน แต่เมื่อครู่ได้ฟังเหมยจื่อจ้งบรรยาย ทำให้พอจะจับทางได้ในใจคร่าวๆ
นางยิ้มบางๆ ทุกคนด้านล่างก็รู้สึกว่ามีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหน้า ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสง
“หลายวันมานี่ ศิษย์พี่เหมย ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง และศิษย์พี่จูล้วนแต่แบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดบางอย่างกับพวกเจ้าแล้ว ข้าก็จะไม่พูดซํ้าอีก วันนี้ในเมื่อได้มาแล้วก็จะพูดถึงวิถีโอสถ ข้าจะพูดให้พวกเจ้าฟังว่าอะไรคือวิถีโอสถ” ประโยคหลังของมู่ชิงเกอพูดขึ้น อย่างมีพลัง
วิถีโอสถ!
วิถีโอสถงั้นหรือ?
บรรดาศิษย์ด้านล่างมีสีหน้ามึนงง พวกเขารู้จักเพียงศาสตร์การปรุงยา รู้จักเพียงวิชาปรุงยา แต่ยังไม่เคยได้ยินถึงวิถีโอสถเลย
หลังจากที่พวกเหมยจื่อจ้งสี่คนได้ยินมู่ชิงเกอพูดเช่นนี้แล้ว ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
แม้แต่โหลวชวนป่ายและอาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน
พูดถึงวิถีโอสถ ในบรรดาคนที่นี่มีแค่มู่ชิงเกอเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดถึงมันมากที่สุด!
เพราะว่านางเข้าใจวิถีโอสถของตนเองจนกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ!
ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ก็ดี อาจารย์ปรุงยาก็ดี พากันทยอยเข้าที่นั่ง ตั้งใจฟังมู่ชิงเกอพูด ถึงแม้มู่เสวี่ยอู่จะไม่ได้เรียนศาสตร์การปรุงยา แต่ก็เข้าไปนั่งรวมกับทุกคน
“…ของทุกสิ่งในโลกล้วนแต่สร้างขึ้นจากวิถี วิถีคือแก่นแท้ คือเหตุผล คือที่มา คือทางกลับ ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรยเป็นวิถี ตะวันขึ้นพระจันทร์ตกก็เป็นวิถี หนึ่งวันสามมื้ออาหารก็เป็นวิถี การฝึกปรือของพวกเราก็คือการค้นหาวิถีของตนเอง ดังนั้น โอสถก็มีวิถีของโอสถ วิถีโอสถใดๆ ก็คือประสบการณ์และความเข้าใจต่อการปรุงยาที่แตกต่างกันของเจ้า ข้า เขาและอาจารย์ปรุงยาทุกคน”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอพูดถึงวิถี พูดถึงวิถีโอสถ
ไม่ใช่ว่านางคิดอยากจะทำตัวแตกต่างจากทุกคนและก็ไม่ใช่เพราะจงใจแสดงตนว่าเหนือกว่า แต่เป็นเพราะนางรู้ว่า พวกเหมยจื่อจ้งสี่คนมีโอกาสไปทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองในสำนักวิถีโอสถต่อ แต่บรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ ในบรรดาพวกเขาจะมีสักกี่คนที่สามารถเดินไปถึงสำนักวิถีโอสถในโลกแห่งยุคกลางได้?
มีพวกเขามากมายที่รู้จักและคุ้นเคยเพียงแค่วิชาปรุงยา พวกเขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับวิถีโอสถเลย!
ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงอยากจะหว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้ในใจพวกเขา เปิดโลกในการปรุงยาให้พวกเขา แน่นอนว่าเมล็ดพันธุ์นี้จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรนั้น นางเองก็ไม่รู้ ทุกๆ คนก็ไม่รู้
อย่างน้อยนางก็ได้ทิ้งความหวังเอาไว้
“…ว่ากันว่า เช้ารู้วิถีเย็นอาจตาย สำหรับการทำความเข้าใจวิถีโอสถนั้นก็เหมือนกัน พวกเราทำตามกฎแต่ก็อย่าให้กฎผูกมัด วันนี้ ข้าจะพูดถึงวิถีโอสถสามชนิดให้พวกเจ้าฟัง” มู่ชิงเกอชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว
พูดมากไปทำความเข้าใจได้ไม่หมด พูดเยอะเกินไปจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของพวกเขา
ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงเลือกวิถีโอสถที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายสองวิถีจากสิบสองวิถีโอสถ รวมกับวิถีโอสถที่นางทำความเข้าใจออกมาได้
เมื่อได้พูดก็พูดจนถึงพระจันทร์ขึ้นตรงหัว แต่ทุกคนกลับฟังอย่างออกรสชาติ ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
วิถีโอสถของข้าก็คือวิถีฝืนชะตาฟ้า…” มู่ชิงเกอพูด จนคอแห้ง มู่เสวี่ยอูรีบยื่นนํ้าให้นางดื่ม เมื่อคอชุ่มชื่น แล้วมู่ชิงเกอถึงได้พูดต่อ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือ วิถีฝืนชะตาฟ้า?”
ฝืนชะตาฟ้า?
อะไรคือฝืนชะตาฟ้า?
บรรดาศิษย์ที่อยู่เบื้องล่างพากันส่ายหน้าอย่างมึนงง
มู่ชิงเกอเอ่ยถามว่า “คนคนหนึ่ง แต่เดิมควรตายไป นั่นเป็นชะตาชีวิตของเขา พวกเราปรุงยาช่วยชีวิตเขา เปลี่ยนอายุเขา นี่ก็คือฝืนชะตาฟ้า! รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ยังทำ ก็คือฝืนชะตาฟ้า ฟ้าต้องการทำลายข้า ข้าก็รบกับฟ้า นี่ก็เป็นฝืนชะตาฟ้า! พวกเราเป็นอาจารย์ปรุงยา ควบคุมความเป็นความตายเอาไว้ในมือ แต่เดิมก็เป็นเส้นทางที่ฝืนชะตาฟ้า เดิมก็กำลังต่อต้านกับฟ้า ต่อต้านกับชะตาชีวิต!”
ครืน!
ท่ามกลางอากาศยามคํ่าคืน เกิดเสียงฟ้าร้องขึ้นในทันใด ฟ้าแลบสะท้อนแสงไปบนร่างกายของทุกคน พวกเขาทั้งหลายถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
แต่ในชั่วพริบตานี้เอง พวกเขากลับมองเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ใต้ฟ้าร้องและฟ้าผ่าอย่างองอาจ
ราวกับว่าถึงแม้ฟ้าจะถล่มลงมาก็ขวางเส้นทางฝืนชะตาฟ้าของนางไม่ได้
ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีสักวันที่นางเหยียบฟ้าเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า!
ฝืนชะตาฟ้า!
ฝืนชะตาฟ้า!
พวกเขาล้วนแต่ศึกษาศาสตร์การปรุงยา แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าวิถีของตนเองนั้นไปในทางไหน
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้พวกเขารู้สึกตื่นขึ้น เหมือนมีบางอย่างถูกเปิดออก
มู่ชิงเกอสอนวิถีโอสถไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
คืนนี้ฟ้าแลบแปลบปราบราวกับว่าสวรรค์ต้องการที่จะหยุดนางไม่ให้สอนสิ่งนอกรีต แต่ไม่ว่าฟ้าจะข่มขู่อย่างไร ถึงแม้จะมีฟ้าผ่าลงมาจริงๆ มู่ชิงเกอก็ยังคงพูดต่อไปอย่างสงบดังเดิม ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
รอนางพูดจบ เวลาคล้อยผ่านไป บรรดาศิษย์และอาจารย์ปรุงยาของโรงโอสถสาขาย่อยยังคงนั่งอยู่กับที่ เหมือนหลุดเข้าไปในขอบเขตที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ขอบเขตนี้มู่ชิงเกอมอบให้แก่พวกเขา นางใช้ความเข้าใจของตนเองมาเปิดทางให้พวกเขา
ขอบเขตนี้สามารถเรียกได้ว่า ‘การตื่นรู้!’
พวกเหมยจื่อจ้งเดินมาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีก็คิดอยากจะพูดคุยกับอาจารย์โหลวสักหน่อย แต่ตอนนี้ดูแล้วคงไม่ค่อยเหมาะ พวกเราไปเถอะ ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยว่ากันใหม่”
ทั้งหกคนย้อนกลับไปยังแคว้นกู่วู่ เตรียมตัวใช้ประตูมิติกลับไปยังโลกแห่งยุคกลาง
เมื่อมองเห็นพระราชวังของแคว้นกู่วู่แล้ว มู่ชิงเกอก็ลอบสาบานในใจว่า ‘ข้าจะต้องตามหาฮ่องเต้หญิงของพวกเจ้ากลับมาให้ได้!’
เมื่อกลับไปยังโลกแห่งยุคกลางแล้ว เดิมทีมู่ชิงเกอก็อยากจะกลับไปลั่วซิงเฉิงสักครั้ง แต่เพราะมีเหลียนเฉียวอยู่ ทำให้นางเหมือนมีก้างติดคอ จึงตามพวกเหมยจื่อจ้งกลับสำนักวิถีโอสถ
ส่วนมู่เสวี่ยอู่ก็กลับไปตระกูลซาง
มู่ชิงเกอไปแล้วย้อนกลับมาอีก ตอนที่เจ้าสำนักวิถีโอสถพบนางนั้นก็ส่งสายตาแปลกใจมาให้
แต่ในตอนที่เขาเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของมู่ชิงเกอก็เข้าใจขึ้นมาแล้วถามว่า “เป็นผู้อาวุโสบรรพบุรุษตามเจ้าไป หรือว่ามีคนไล่ล่าเจ้า?”
มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ทั้งสองอย่าง”
จากนั้นนางก็สะบัดมือ เหลียนเฉียวปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของนาง ใบหน้าเล็กดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ!” เจ้าสำนักวิถีโอสถเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่าเหลียนเฉียวจากไป หลังจากมู่ชิงเกอไปแล้ว เขาก็ยังตั้งใจไปคารวะเหลียนเฉียวที่เรือน คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นแค่กลอุบายเล็กๆ ที่เหลียนเฉียวสร้างขึ้นมา
ยังดีที่มู่ชิงเกอส่งนางกลับคืนมาอย่างปลอดภัย
เจ้าสำนักวิถีโอสถมองเหลียนเฉียวด้วยสีหน้าที่ดูยํ่าแย่มาก “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ เรื่องราวเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก!”
เหลียนเฉียวถลึงตาใส,มู่ชิงเกอแวบหนึ่ง สบถออกมา แล้วก็ไม่สนใจเจ้าสำนักวิถีโอสถ หันกายเดินออกไปจากห้อง เจ้าสำนักวิถีโอสถมองแผ่นหลังของนางแล้วก็ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง
จนกระทั่งแผ่นหลังของเหลียนเฉียวหายไปจากสายตาของเขาแล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
หลังจากถอนหายใจแล้ว เขาก็มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ขอบคุณเจ้าแล้ว”
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ระหว่างทางที่ข้าจากไปโดนคนของตำหนักเทพไล่ตามมา”
พูดแล้วนางก็เล่าเรื่องราวในถํ้าจิ่วเฉวียนออกมา
แน่นอนว่าเรื่องที่ควรพูดก็พูด ที่ไม่ควรพูดนางก็ไม่พูด
หลังจากเจ้าสำนักฟังเขาพูดจบแล้ว ก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วเขาก็ยิ้มเยาะออกมา “พวกหมาป่าละโมบเหล่านี้! ตำหนักเทพก็เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ของพวกมันเท่านั้น!”
เขามองมู่ชิงเกอแล้วก็รับรองกับเขาว่า “เรื่องหม้อผลาญสวรรค์ปรากฎในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถนั้นถูกข้าปิดข่าวเอาไว้แล้ว แต่ที่เจ้ากังวลใจก็มีเหตุผล เจ้าฆ่าคนของตำหนักเทพไปมากมาย ไม่ช้าก็เร็วทางตำหนักเทพก็ต้องสืบพบ เมื่อพวกเขาสืบลงมาก็
จะต้องพบว่าหม้อผลาญสวรรค์อยู่กับเจ้า”
มู่ชิงเกอเม้มปาก นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่นอน แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
“แต่ข้อได้เปรียบของเจ้าก็คือพวกเขาไม่อาจจะลงมืออย่างโจ่งแจ้งได้ เพราะหากพวกเขาแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้ง สำนักวิถีโอสถของข้าก็จะไม่นั่งอยู่เฉยๆ แน่” เจ้าสำนักวิถีโอสถเอ่ยเตือน
นี่ทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกเหนือความคาดหมาย
เจ้าสำนักวิถีโอสถยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดว่า ข้าจะผลักเรื่องออกจากตัวกระมัง?”
จากนั้น นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววเย็นชา พูดด้วยไอสังหารว่า “หม้อผลาญสวรรค์เป็นของของท่านอาจารย์ข้า จะยอมให้พวกโจรแย่งไปได้อย่างไร? เจ้าวางใจได้ หากตำหนักเทพจะลงมือกับเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง สำนักวิถีโอสถของข้าก็จะยืนอยู่ข้างเจ้า ต้านรับศัตรูไปด้วยกัน”
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางไม่ได้พูดคำพูดเกรงใจตามมารยาท เพราะหากจะต้องต่อกรกับตำหนักเทพจริงๆ นางจำเป็นต้องรวมกำลัง มิเช่นนั้นอาศัยเพียงนางคนเดียวไม่อาจต่อต้านได้
“ตอนนี้เจ้าต้องการให้ข้าส่งคนไปคุ้มครองไหม?” เจ้าสำนักวิถีโอสถพูดขึ้น
มู่ชิงเกอยิ้ม ปฏิเสธว่า “ไม่จำเป็น”
“ดี หากว่าเจ้าต้องการก็มาหาข้าได้ตลอด” เจ้าสำนักวิถีโอสถให้สัญญา
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ
การย้อนกลับมายังสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ได้กลับมาส่งเหลียนเฉียว ทั้งยังได้คำสัญญาจากเจ้าสำนักวิถีโอสถอีก สำหรับนางแล้ว ทำให้นางมีโล่เพิ่มอีกส่วนสำหรับการต่อสู้กับตำหนักเทพในอนาคต
“ใช่แล้ว ครั้งนี้ที่เจ้ามา หากว่ามีเวลาก็สามารถไปดูที่แม่นํ้ารั้วได้” ทันใดนั้นเจ้าสำนักก็พูดขึ้นมา
“แม่นํ้ารั่ว?” มู่ชิงเกอแปลกใจ
นางรู้จักแม่นํ้ารั่ว เป็นแม่นํ้าสายหนึ่งที่อยู่บริเวณใต้สุดของภาคตะวันออก เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทะเลหยิน และพื้นดิน ถูกเรียกว่าแม่น้ำรั่ว ภาคตะวันออกมีทะเลสองแห่งอยู่ตรงกันข้ามกัน แบ่งเป็นหยินและหยาง
แต่เหตุใดนางต้องไปที่นั้นด้วย?
ความสงสัยของมู่ชิงเกอทำให้เจ้าสำนักวิถีโอสถเอ่ยออกไปอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าครบรอบร้อยปีที่แม่นํ้ารั่วจะถามวิถีแล้ว?”
“แม่นํ้ารั่วถามวิถี?” มู่ชิงเกอมึนงง
เจ้าสำนักส่ายหน้า “ดูแล้วเจ้าคงไม่รู้จริงๆ ทุกครั้งที่แม่นํ้ารั่วถามวิถีจะดึงดูดคนจำนวนมากให้เข้ามา หากฝึกปรืออยู่ที่นั่นสามารถทะลวงระดับได้”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย ชั่วขณะนั่นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
“หากว่าเจ้าจะไป ก็ไปพร้อมกันกับชิงไห่เถอะ” เจ้าสำนักสั่งอีก
เมื่อเดินออกมาจากที่พักของเจ้าสำนักแล้ว มู่ชิงเกอก็พบกับเหยาชิงไห่ตามคาด
ไม่ต้องทักทายอะไรมากความ เขาตรงไปที่หัวข้อหลักทันที “ไปเถอะ”
ใครๆ ก็คิดจะพัฒนาฝีมือให้แข็งแกร่งที่สุดก่อนจะเดินทางไปสุสานเทพ ไม่อาจทนต่อการเสียเวลาเพียงเล็กน้อยได้
วันนั้น มู่ชิงเกอก็เดินทางไปกับเหยาชิงไห่ ออกจากสำนักวิถีโอสถไปยังแม่นํ้ารั่ว
“อะไรคือแม่นํ้ารั่วถามวิถีกันแน่?” มู่ชิงเกอถามระหว่างทาง
เหยาชิงไห่อธิบายว่า “พูดกันว่าแม่นํ้ารั่วนั้นเกิดขึ้นจากวิถีอาคมของเผ่าเทพผู้เก่งกาจหลายท่านเหลือทิ้งเอาไว้ตอนแลกเปลี่ยนความรู้กันเมื่อหมื่นปีก่อน ทุกๆ ร้อยปี แม่นั้ารั่วจะปรากฎวิถีอาคมในครั้งนั้นออกมา กลายเป็นโลกอีกโลก หากว่าสามารถเข้าร่วมทำความเข้าใจได้พลังฝึกปรือก็จะพัฒนาและทะลวงระดับ”
มู่ชิงเกอลอบเลิกคิ้ว แบกความรู้สึกแปลกใจ คาดหวัง ทั้งยังสงสัย ไปถึงแม่นํ้ารั่วพร้อมกันกับเหยาชิงไห่
ตอนที่พวกเขามาถึงนั้น แม่นํ้ารั่วก็มีคนจำนวนไม่น้อยแล้ว ดูจากท่าทีก็ล้วนมาเพราะแม่นํ้ารั่วถามวิถีทั้งนั้น
และมู่ชิงเกอก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อได้พบกับเงาร่างที่คุ้นเคยท่ามกลางผู้คน
นางกำลังคิดว่าคนคนนี้เป็นใคร คนคนนั้นก็มองเห็นนาง และเดินเข้ามาหา และประโยคแรกที่เขาพูดก็คือ “ข้าแบกรับความผิดให้เจ้า”