ตอนที่ 503
จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ
ภาคใต้ อำเภอจินไห่
ภายในเมืองหลวง ผู้คนหลั่งไหลดูคึกคักผิดปกติ
โดยเฉพาะแหล่งกระจายข้อมูลอย่างโรงนํ้าชา และร้านอาหารก็ยิ่งคึกคักจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือโรงนํ้าชา ประเด็นที่พวกเขาพูดถึงนั้นก็เป็นประเด็นที่พูดคุยกันมาหลายวันก็ไม่เบื่อ ซึ่งก็คือเรื่องเจ้าเมืองมู่แห่งลั่วซิงเฉิงนั่นเอง
“พูดถึงเจ้าเมืองมู่แล้ว พูดไปสามวันสามคืนก็ไม่ซํ้าเรื่องเดิมเลย!”
“เจ้าเมืองมู่…ข้ารู้จัก เป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง ผู้ชนะในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลางใช่ไหม? เจ้านายที่แท้จริงของเขี้ยวมังกรน่ะ!”
“จุ๊จุ๊ ยังมีอีกเรื่อง เจ้ารู้หรือไม่?”
“เรื่องอะไรหรือ?”
“ข่าวล่าสุดบอกว่าเจ้าเมืองมู่ที่ชื่อก้องไปทั่วโลกแห่งยุคกลางผู้นี้นั้นที่แท้เป็นสาวงามล่มเมืองผู้หนึ่ง!”
“หา?!”
“จริงหรือเท็จกัน?”
“จริงแท้แน่นอน!”
“เจ้าเมืองมู่เป็นผู้หญิงหรือ? นี่…น่าสนใจเกินไปแล้ว?”
“คิดถึงตอนนั้นบนทุ่งหญ้าอัสดง ในงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เจ้าเมืองมู่ต้านรับหมัดของประมุขน้อยอิ๋งได้สามหมัด ทั้งตอนหลังก็ยังเอาชนะประมุขน้อยจีอีกสามร้อยกระบวนท่า บนทุ่งหญ้าอัสดง เขานำเขี้ยวมังกรบุกทะลวงเข้าไปถึงใจกลางของกองทัพสัตว์อสูร ทั้งยังตี กลองศึกท่ามกลางสายฝน ตอนนี้มาคิดดูก็ล้วนแต่ทำให้คนรู้สึกนับถือ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำทุกอย่างนี้ได้จะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง!”
“ใช่เลย ผู้หญิงคนหนึ่งยังหลอมยุทธภัณฑ์ระดับมหาเทพทำให้คนทั้งใต้หล้าอัศจรรย์ใจ ทั้งยังทำให้ลั่วซิงเฉิงกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในโลกแห่งยุคกลางอีก”
“ยังมีเมื่อเก้าปีก่อน นางยังไม่เข้าแม้แต่ทำเนียบฉูเฟิ่ง แต่หลังจากนั้นห้าปีกลับโผล่มากลายเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง แม้แต่อันดับหนึ่งที่ทำตัวลึกลับซับซ้อนอย่างคุณชายใหญ่เว่ยมั่วลี่ก็ยังไม่ใช่คู่มือของนาง”
“ใช่ ใช่ ใช่! ก่อนงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจะเริ่มต้นขึ้น จะมีใครรู้ว่าเจ้าเมืองมู่สามารถปรุงยาได้ด้วย? แต่นางกลับสามารถเอาตำแหน่งอันดับหนึ่งในงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถมาได้อีกทั้งข้ายังได้ยินว่านางผ่านการทดสอบที่เข้มงวดจนสำนักวิถีโอสถต้องทำลายกฎรับนางเข้าสู่ส่วนในโดยตรง อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงแค่สี่เดือนก็ทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองในสำนักวิถีโอสถจนหมด แข็งแกร่งกว่าอันดับหนึ่งของสำนักวิถีโอสถอย่างเหยาชิงไห่แห่งภาคตะวันออกไม่รู้กี่เท่า!”
“คนที่เก่งกาจเปี่ยมด้วยความสามารถและน่านับถือเช่นนี้กลับเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง! ข่าวนี้น่าตกตะลึงจริงๆ”
“ใช่แล้ว เพียงแค่ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมา ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเดินทางไปลั่วซิงเฉิงเพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จ”
“เหอ เหอ เพียงแค่มีข่าวเรื่องที่เจ้าเมืองมู่เป็นผู้หญิงออกมา ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยในโลกแห่งยุคกลางที่เสียนํ้าตาอย่างปวดใจแล้ว”
“แต่ผู้ชายกลับกระหยิ่มใจ! สาวงามเช่นนี้ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์รูปโฉมก็ยังงดงามอีก สมบูรณ์แบบไร้ข้อตำหนิ ทั้งยังไม่ได้แต่งงานด้วย ไม่ใช่ว่ายังมีโอกาสหรือ?”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ! อย่าฝันไปเลย คนงดงามโดดเด่นอย่างเจ้าเมืองมู่ คนธรรมดาจะอาจเอื้อมถึงงั้นหรือ? เกรงว่ามีเพียงแต่เหล่าคนตระกูลใหญ่เท่านั้นแหละที่จะกล้าไปขอ แล้วก็แล้วแต่ดวงด้วย”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแค่มีข่าวเรื่องที่เจ้าเมืองมู่เป็นผู้หญิงออกมา ทั้งห้าภาคก็มีคำกล่าวหนึ่งที่เหมือนกันออกมา”
“คำกล่าวอะไร?”
“จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ!”
“จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ!”
“จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ!”
ภายในร้านอาหารคึกคักขึ้นมา ดูเหมือนว่าทุกๆ คนจะวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้กันหมด
ส่วนภายในห้องรับรองส่วนตัวหนึ่งในร้านอาหาร มีคนอยู่สามคนนิ่งเงียบไม่พูดจา สามคนนี้เป็นชายสองหญิงหนึ่ง ผู้ชายสองคนนั่งตรงกันข้ามกันหญิงสาวนั่งคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา
เซิ่งอวี้หลีมองฉินอี้เหยา ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยว่า “อี้เหยา เจ้ารู้นานแล้วหรือ?”
ฉินอี้เหยามองเขาแล้วก็พยักหน้า ตอนนี้นางก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกในใจของตนเองเป็นอย่างไรกันแน่ เพียงแค่รู้สึกโล่งใจก็เท่านั้น
เจี่ยงเทียนเฮ่าที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเซิ่งอวี้หลีตอนนี้กำลังเล่นกับจอกชาว่างเปล่าในมือ พึมพำพูดว่า “จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ”
การพึมพำนี้ของเขาถูกเซิ่งอวี้หลีได้ยินเข้า เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เจี่ยงเทียนเฮ่าหัวเราะขึ้นมาเอ่ยว่า “ข้าอยากไปลั่วซิงเฉิงสักครั้ง”
ฉินอี้เหยาเงยหน้ามองเขา ยกชาขึ้นจิบที่ริมฝีปาก มุมปากปรากฎรอยยิ้มเย้ยจางๆ
เรื่องเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นในเมืองต่างๆ
ทุกๆ วันจะมีคนจำนวนนับไม่ล้วนเดินทางไปลั่วซิงเฉิง
ตระกูลอิ๋ง ภาคตะวันตก
เมื่ออิ๋งเจ๋อออกมาจากการฝึกฝนก็ถูกบิดาของตนเองเรียกเข้าไปพบ
เขามองบิดาของตนเองอย่างมึนงง ส่วนประมุขตระกูลอิ๋งก็เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เจ๋อเอ๋อร์ เจ้ากับมู่ชิงเกอแห่งลั่วชิงเฉิงมีความสัมพันธ์กันไม่เลวใช่หรือไม่?”
อิ๋งเจ๋อมองบิดาของตนเอง ไม่ได้ตอบคำ
ดีที่ประมุขตระกูลอิ๋งรู้จักนิสัยของเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่พูดต่อว่า “เรื่องที่นางเป็นผู้หญิง เจ้ารู้หรือไม่?”
หนังตาของอิ๋งเจ๋อกระตุก
อากัปกริยาเล็กน้อยนี้ถูกประมุขตระกูลอิ๋งจับสังเกตเอาไว้ได้เขาเผยรอยยิ้มออกมา พูดกับอิ๋งเจ๋อว่า “ดูแล้ว เจ้าคงรู้ในเมื่อเจ้าทั้งสองก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน เจ้าอยากไปลั่วซิงเฉิงกับข้าสักครั้งไหม?”
“ทำไมต้องไปลั่วซิงเฉิงด้วย?” อิ๋งเจ๋อเงยหน้าเอ่ยถาม
ประมุขตระกูลอิ๋งยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตั้งใจฝึกฝน คงไม่รู้ว่าตอนนี้มีคำกล่าวประโยคหนึ่งที่โด่งดังไปทั่วโลกแห่งยุคกลาง”
อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบ อดทนรอคำพูดต่อไป
“จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ!” ประมุขตระกูลอิ๋งมองตาอิ๋งเจ๋อยิ้มแล้วพูดออกมา
‘จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอหรือ?’ อิ๋งเจ๋อทวนคำเหล่านี้ในใจ เขาเข้าใจความหมายของบิดาตนเองแล้ว แต่ในใจของเขากลับไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว
ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แต่เป็นเพราะเขารู้ดีว่ามู่ชิงเกอเคยบอกเขาและจีเหยาฮั่วว่านางมีคนในใจแล้ว
ความนิ่งเงียบของอิ๋งเจ๋อทำให้ประมุขตระกูลอิ๋งพูดโน้มน้าวใจว่า “เจ๋อเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าไม่อาจเอาแต่ใจปฏิเสธได้ มู่ชิงเกอผู้นี้ไม่เพียงมีพรสวรรค์ในการฝึกปรือ แต่ยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตรา อาจารย์ปรุงยา ทั้งยังเป็นเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง หากสามารถแต่งนางเข้าสู่ตระกูลอิ๋งได้ก็ถือเป็นการช่วยเหลือตระกูลอิ๋ง ฟังคำบิดา ไปลั่วซิงเฉิงสักครั้งเถอะ”
ภาคเหนือ หานฉายไฉ่ยืนอยู่ในหอสรรพสิ่ง มองไปบนท้องฟ้ายามคํ่าคืน เขาถือกาเหล้าในมือ กลิ่นหอมของเหล้าฟุ้งกระจาย “จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ…จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอหรือ?”
ดวงตาเรียวยาวของ เขาดูมึนเมาเล็กน้อย ยิ้มเยาะที่มุมปาก
ครู่หนึ่งเขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น เอียงกาเหล้าในมือลงปล่อยให้เหล้าไหลตามปากกาลงสู่ปาก เขาพึมพำเอ่ยว่า “ใครก็รู้ว่าจะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ แต่ในโลกนี้มีมู่ชิงเกอแค่เพียง คนเดียวเท่านั้น”
ภาคเหนือ จีเหยาฮั่วที่อยู่ในขณะกักตนบำเพ็ญถูกบิดาดึงหูออกมาและบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความหมายของประมุขตระกูลจีนั้นชัดเจนมากว่าเหมือนกับประมุขตระกูลอิ๋ง หวังจะให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเองแต่งมู่ชิงเกอเข้าตระกูล เพื่อเพิ่มอิฐให้บ้าน…ไม่สิ เพื่อเพิ่มบ้านให้ใหญ่ขึ้น!
ภาคตะวันออก ตระกูลเหยาเมืองเฟิงเจียง
เหยาชิงไห่ถูกเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งรีบ เพียงแค่เดินผ่านกรอบประตูเข้ามาก็ได้ยินคำว่า ‘จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ’ ประโยคนี้ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าเขาจิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย
ความหวั่นไหวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันในลั่วซิงเฉิง
เวลานั้นเขารู้สึกแปลกใจตนเองที่ตกตะลึงกับรูปโฉมของบุรุษ ต่อมาก็ตอนอยู่ที่แม่นํ้ารั่ว เรื่องที่มู่ชิงเกอเป็นผู้หญิงถูกเปิดเผย เขาถึงได้รู้ว่าความรู้สึกครั้งแรกของตนเองนั้นไม่ผิด
ข้อเสนอของบิดาก็คือให้เขาไปลั่วซิงเฉิงสักครั้ง
เขาพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ภาคกลาง ซีเซียนเสวี่ยฝึกปรืออยู่ในห้อง รอจนนางถอนตัวออกจากการฝึกฝน เปิดประตูห้องออกมา อาจารย์ของนาง นักบวชเทวะของตำหนักเทพก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้านาง
“เซียนเสวี่ย ช่วงนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายในโลกแห่งยุคกลางนั้นมีข่าวหนึ่งเล่าลือกันไปทั่ว” นักบวชเทวะนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับนางแล้วพูดขึ้น
ใบหน้าของซีเซียนเสวี่ยนิ่งสงบ ค่อยๆ ส่ายหน้า
นักบวชเทวะยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่กำลังพูดว่า จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งมู่ชิงเกอ ที่แท้เจ้าเมืองมู่แห่งลั่วซิงเฉิง อันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงอิง อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของโลกแห่งยุคกลาง คนที่เข้าใจวิถีโอสถจนปรุงยาระดับมหาเทพออกมาได้ในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ กลับเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง”
นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยหดตัวลง
นักบวชเทวะเอ่ยว่า “เจ้าก็แปลกใจมากใช่ไหม? ข้าเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน จำได้ว่าเจ้ากับนางได้ประมือกันหลายครั้ง หรือว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยหรือ?”
ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ ส่ายหน้า พูดอย่างนิ่งสงบว่า “ไม่”
นักบวชเทวะยืนขึ้น สะบัดแขนเสื้อกว้างแล้วเอ่ยว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ อาจารย์ไปก่อน ไม่รบกวนการฝึกฝนของเจ้าแล้ว จำไว้ว่าในใจของอาจารย์ เจ้าถึงจะเป็นสาวงามที่สุดในโลก และก็สมควรจะเป็นแบบอย่างของผู้หญิงในใจของทุกคนเช่นเดียวกัน ตั้งใจฝึกฝน อย่าให้อาจารย์ผิดหวัง”
เมื่อนักบวชเทวะพูดจบก็ถอยออกไป
ส่วนซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ได้ฝึกฝนต่อ นางกัดริมฝีปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “ถูกคนภายนอกล่วงรู้แล้วอย่างนั้นหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันถึงได้ทำให้เจ้าละทิ้งสถานะปลอมไป?”
ภายในลั่วซิงเฉิง คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเดินทางมาที่นี่ เพื่อจะมาพิสูจน์ด้วยตาว่าเจ้าเมืองมู่ในตำนานนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
ยังมีข่าวว่าตระกูลใหญ่จากห้าภาค บรรดาเหล่าผู้มีเบื้องหลังล้วนแต่ส่งผู้ชายที่โดดเด่นและสูงส่งที่สุดในตระกูลมายังลั่วซิงเฉิงเพื่อทำการสู่ขอ
นี่เป็นฉากการสู่ขอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง พวกเขาจะพลาดไปได้อย่างไร?
และก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หอบความหวังที่ว่าเจ้าเมืองมู่อาจจะไม่อยากแต่งออก แต่คิดประกาศหาคู่ แล้วเกิดโชคดีเป็นตนเองขึ้นมาเดินทางมาที่นี่ด้วย
เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!
ดังนั้นคนที่เข้าไปในลั่วซิงเฉิงก็ล้วนแต่มีความมุ่งหมายในใจ เวลานั้นทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางก็เปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาเพราะมู่ชิงเกอคนเดียว
“เจ้ามาที่นี่…” มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าเมือง มองเว่ยมั่วลี่ที่มาเคาะประตูขอพบ รู้สึกแปลกใจในใจ
เรื่องข่าวลือที่น่าเบื่อด้านนอกนั้นนางได้ยินแล้ว เพียงแต่นางไม่คิดจะไปสนใจเท่านั้น นางอยากจะแต่งงานกับใคร ต้องให้คนภายนอกมาตัดสินด้วยงั้นหรือ?
สำหรับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในลั่วซิงเฉิง นางก็จะคิดซะว่าเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของลั่วซิงเฉิงแล้วกัน
“ข้ามาช่วยเจ้าแก้ไขปัญหา” เว่ยมั่วลี่เอ่ย
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยถามว่า “แก้ปัญหาอะไร?”
เว่ยมั่วลี่พูดออกมาตรงๆ ว่า “ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าครั้งหนึ่ง ช่วยเจ้าแบกรับความผิดนั้นไม่พอ เจ้าไม่อยากแต่งงานกับใคร ข้าจะฆ่าคนคนนั้นซะ”