ตอนที่ 513
สุสานเทพจะเปิดแล้ว!
“ข้าจะไม่ไปจากครูฝึก!” จิงไห่ตะโกนเสียงดัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวั่นใจ ราวกับกังวลว่าอีกพริบตาเดียวก็จะมีคนบีบบังคับให้เขาไปจากมู่ชิงเกอ
“เด็กน้อย พวกเราไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ผู้อาวุโสตระกูลจิงรีบอธิบาย แต่คนที่เขาอธิบายด้วยนั้นคือจิงไห่ ไม่ใช่มู่ชิงเกอ
“ชิ” จิงไห่สบถหันหน้าหนีไม่สนใจเขา
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นยุติการอธิบายที่ไร้ความหมายนี้ลง
จิงฟ่งอวี่พูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเมืองมู่ ท่านและข้าก็ถือว่ารู้จักกันมานานแล้ว พวกเราคิดเพื่อประโยชน์ของจิงไห่จริงๆ ไม่ได้คิดจะทำอะไรอื่น เหตุใดท่านไม่…”
มู่ชิงเกอตัดบทคำพูดของเขา “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพูดแล้วว่า จะไปหรือไม่ไปตระกูลจิงนั้นล้วนขึ้นอยู่กับการยินยอมของจิงไห่”
จากนั้น นางก็มองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลจิงแล้วพูดว่า “ของที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ข้าไม่ต้องการ จิงไห่เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ข้าบ่มเพาะเขามาอย่างไรก็เป็นความรับผิดชอบของข้า ไม่เกี่ยวกับตระกูลจิงของพวกท่าน แล้วข้าก็ไม่ต้องการคำขอบคุณจากตระกูลจิงด้วย”
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลจิงคาดเดาความคิดของนางไม่ออก
สรุปว่ายอมรับปากให้จิงไห่กลับไป หรือว่าไม่ยินยอมกันแน่
เขาเดาใจมู่ชิงเกอไม่ออก แต่มีประโยคหนึ่งที่ชัดเจนมาก เขามองจิงไห่แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเอ็นดูว่า “เด็กน้อย เจ้าไม่อยากกลับไปยังตระกูลของตนเอง ไม่อยากอยู่กับคนในตระกูล หรือสืบหาว่าบิดาของเจ้าเป็นใครกันแน่งั้นหรือ ข้าได้ยินฟ่งอวี่บอกว่าบิดาของเจ้าจากไปตั้งแต่เจ้ายังเด็ก หากตามพวกเรากลับไปเจ้าก็จะได้รู้ว่าบิดาของเจ้าเป็นใครอย่างไรเล่า”
คำพูดของเขามีแรงดึงดูดสูงมาก
ใบหน้าของจิงไห่ดูลังเล
เรื่องอื่นนั้นเขาไม่สนใจ แต่ข่าวเกี่ยวกับบิดาของตนเองนั้น…
มู่ชิงเกอนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย มุมปากเหมือนจะยิ้มก็แต่ไม่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยขัดคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลจิง
จิงไห่เม้มปากแน่นมองไปที่มู่ชิงเกอ
ดูเหมือนเขาจะมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่มู่ชิงเกอ สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลจิงรู้สึกปวดหัว เขารู้สึกได้ว่า เด็กคนนี้หวั่นไหวแล้ว แต่ในช่วงสำคัญเขากลับละทิ้งโอกาสในการตัดสินใจของตนเองไปเสียนี่
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมายิ้มและมองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลจิง นิ้วชี้ขวาของนางมีกลิ่นอายพลังจิตรัดพันเป็นริ้วๆ คนที่รู้จักก็จะรู้ว่านางกำลังเพาะเลี้ยงจิตวิญญาณของหยวนหยวนอยู่ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่านางกำลังเล่นปลอกนิ้วอยู่
“ผู้อาวุโสตระกูลจิง มีประโยคหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าควรถามดีหรือไม่” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นมา
ผู้อาวุโสตระกูลจิงชะงักไปแล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า “เจ้าเมืองมู่เชิญเอ่ยมาตามตรงได้เลย’’
มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า “จิงไห่เป็นศิษย์ของข้า ทั้งยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียว เขาอยู่ข้างกายข้าก็ได้รับการบ่มเพาะความสามารถอย่างเต็มที่ ตระกูลจิงต้องการให้เขากลับไป หากจะให้กลับไปฝึกฝนเหมือนกับศิษย์ธรรมดาทั่วไปนั้น ข้าคิดว่าให้เขาอยู่ข้างกายข้าต่อจะดีกว่า”
“ที่แท้เจ้าเมืองมู่ก็เป็นห่วงเรื่องนี้นี่เอง!” ผู้อาวุโสตระกูลจิงโล่งใจ “เจ้าเมืองมู่วางใจได้เลย ตระกูลจิงของพวกเราเลี้ยงคนตามพรสวรรค์ จิงไห่อยู่ห่างไกลจากตระกูลแต่กลับสามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้ด้วยตนเอง มีพรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึง ดังนั้นหลังจากที่เขาตามพวกเรากลับไปไม่มีทางต้องทนอดสูอย่างแน่นอน หากว่าเจ้าเมืองมู่ไม่วางใจข้าก็สามารถรับรองได้หากเด็กคนนี้ได้รับความอยุติธรรมหรือถูกรังแกในตระกูลจิง เจ้าเมืองมู่ก็มาเรียกร้องให้ข้ารับผิดชอบได้เลย!”
“ไม่” มู่ชิงเกอส่ายหน้า “นี่ยังไม่พอ”
“ไม่พอหรือ” นัยน์ตาของผู้อาวุโสตระกูลจิงหดตัวลง ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเอาขาที่ไขว่ห้างลง นางหุบยิ้ม สบตากับผู้อาวุโสตระกูลจิง “ข้ายังอยากให้ท่านรับรองว่าทรัพยากรในการฝึกปรือหนึ่งในสามของตระกูลจิงจะต้องใช้กับจิงไห่ อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าการคัดเลือกประมุขน้อยของตระกูลจิงนั้นจะคัดเลือกจากผู้ชนะทุกๆ สามปี ใครได้ครองตำแหน่งผู้ชนะสามครั้งติดต่อกันก็จะได้เป็นประมุขน้อยที่แท้จริง เพียงแต่มีกฎที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเป็นสายหลักของตระกูลจิงเท่านั้น เรื่องนี้ข้าไม่สนใจ ข้าต้องการให้ท่านรับปากข้าว่าจะให้จิงไห่มีโอกาสในการคัดเลือก และข้อสุดท้าย จิงไห่มีสิทธิ์ในการเลือกที่จะอยู่หรือไปได้ตลอดเวลา พวกท่านไม่สามารถบังคับอะไรเขาได้”
“เรื่องนี้…” ผู้อาวุโสตระกูลจิงฟังที่มู่ชิงเกอพูดจบแล้วก็ตกตะลึง ไม่สามารถตัดสินใจได้ชั่วขณะ
แม้แต่จิงฟ่งอวี่ก็เผยสีหน้าลำบากใจเอ่ยว่า “เจ้าเมืองมู่ เงื่อนไขบางอย่างค่อนข้างเกินไปหน่อยกระมัง ถึงจะพูดว่าเงื่อนไขเหล่านี้ล้วนแต่คิดถึงจิงไห่เป็นหลัก แต่ตระกูลจิงเป็นตระกูลใหญ่ รุ่นเยาว์ก็ไม่ได้มีเพียงแค่จิงไห่คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาจะใช้ทรัพยากรการฝึกปรือหนึ่งในสามเพียงคนเดียว แต่เรื่องที่จะทำลายกฎเรื่องการคัดเลือกประมุขน้อยก็เกรงว่าจะมีคนมากมายไม่ยอมแล้วสร้างความลำบากให้เขาแล้ว สุดท้ายหากตระกูลจิงทุ่มเทบ่มเพาะเขาอย่างเต็มที่แล้วแต่กลับไม่สามารถตัดสินเรื่องการจะอยู่หรือไปของเขาได้อีก นี่ไม่ใช่เป็นการทำให้ตระกูลจิงลำบากหรือ”
คำพูดของเขาทำให้ผู้อาวุโสตระกูลจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จิงไห่อยู่ที่ลั่วซิงเฉิงก็ได้ใช้ทรัพยากรในการฝึกฝนทั้งหมด หรือพวกท่านคิดว่าทรัพยากรในการฝึกปรือของลั่วซิงเฉิงนั้นไม่อาจเทียบเท่าหนึ่งในสามของตระกูลจิง? ส่วนสิทธิ์ในการคัดเลือกก็เป็นเพียงแค่โอกาสหนึ่งเท่านั้น จะสามารถเป็นประมุขน้อยตระกูลจิงได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา คนที่คิดจะทำการใหญ่ให้สำเร็จ หากไม่สามารถอดทนต่อคำนินทาและความอิจฉาได้แล้วจะสามารถทำการใหญ่อะไรได้อีก หากคนอื่นๆ ในตระกูลจิงไม่ยอมก็ให้ไปประลองกับจิงไห่ แพ้ชนะก็เป็นเรื่องของพวกเขาเอง สำหรับจุดสุดท้าย ข้าเป็นอาจารย์ที่สั่งสอนเขามาก็ ยังไม่ได้ห้ามหากเขาจะอยู่หรือไป ตระกูลจิงก็แค่มารับเขาไปกลางทาง หรือยังคิดจะผูกเขาเอาไว้ชั่วชีวิตอีก? อีกอย่างจิงไห่ก็เป็นคนรู้จักบุญคุณคน หากพวกท่านดีต่อเขา เขาก็จะไม่ไร้นํ้าใจต่อตระกูลจิงอย่างแน่นอน พูดไปพูดมาทุกอย่างก็ต้องดูจากสิ่งที่พวกท่านเลือกมิใช่ หรือ เงื่อนไขของข้านั้นเกินไปตรงไหน หากคิดว่าเกินไป ทั้งสองท่านก็สามารถจากไปตอนนี้ได้เลย”
ความไร้เยื่อใยของนางทำให้คนตระกูลจิงทั้งสองกระดากใจไปชั่วขณะ
เงื่อนไขที่ดูเกินไปเหล่านั้นเมื่อถูกมู่ชิงเกออธิบายออกมาเช่นนี้แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนลำบากใจจนเกินไปนัก
แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาตัดสินใจเองไม่ได้
ครุ่นคิดอยู่นานผู้อาวุโสตระกูลจิงถึงได้เอ่ยว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ทำได้แค่ต้องกลับไปรายงานประมุขตระกูลเพื่อให้ประมุขตระกูลเป็นผู้ตัดสินใจ”
พูดแล้วเขาก็มองไปทางมู่ชิงเกอ แล้วเอ่ยถามว่า “แต่ข้ามีคำขอที่อยากให้เจ้าเมืองมู่ตกลง”
“ผู้อาวุโสเชิญพูด” มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ย
ผู้อาวุโสตระกูลจิงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ให้ข้าตรวจดูสายเลือดของเด็กคนนี้สักหน่อยได้ไหม” ในคำพูดของเขา แฝงความหมายบางอย่างแต่มู่ชิงเกอก็เข้าใจดี พูดให้ชัดก็คือต้องการแน่ใจถึงความเข้มข้นของสายเลือดของจิงไห่เสียก่อน ถึงจะรู้ว่าพวกเขาควรจะสูญเสียมากมายขนาดนั้นเพื่อนำเขากลับตระกูลจิงหรือไม่ แท้จริงแล้วภายในตระกูลใหญ่ไหนเลยจะมีคำว่าเลือดย่อมข้นกว่านํ้าอยู่?
หากว่าวันนี้สายเลือดของจิงไห่ไม่ได้ตื่นขึ้นหรือหากเขาไม่ได้สืบทอดสายเลือดของอาจารย์ทะลวงสวรรค์เกรงว่าถึงเขาจะอยู่ต่อหน้าของคนตระกูลจิงทั้งวันพวกเขาก็จะไม่เหลือบตามองมาแม้แต่แวบเดียว ยิ่งไม่คิดจะหาวิธีนำตัวเขากลับไป
จุดนี้ผู้อาวุโสตระกูลจิงเข้าใจ มู่ชิงเกอก็เข้าใจ
ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงไม่ได้ขัดขวางเพียงตอบตกลงอย่างสบายๆ
จิงไห่ทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอก้าวมาข้างหน้าแล้วยื่นมือของตนเองออกมา ผู้อาวุโสตระกูลจิงจับข้อมือของเขา ส่วนอีกมือก็ล้วงเอาหินผลึกก้อนหนึ่งออกมาวางลง
บนมือของจิงไห่
“เด็กน้อยไม่ต้องตกใจ ออกแรงกำให้แน่นก็พอแล้ว” เขาเผยรอยยิ้มเอ็นดูให้จิงไห่
จิงไห่พยักหน้า ออกแรงกำหิน ในตอนที่เขากำหินจนแน่นนั้นเอง หินก้อนนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีจางกลายเป็นเข้มขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
ความเข้มของสีนั้นราวกับว่าภายในก้อนหินมีเลือดไหลเวียนอยู่ก็ไม่ปาน
ก้อนหินเปล่งแสงสีแดงออกมาโอบล้อมจิงไห่เอาไว้ภายใน เขายืนกำก้อนหินด้วยใบหน้าที่มึนงง แต่ผู้อาวุโสตระกูลดิงกับจิงฟ่งอวี่กลับตกตะลึงจนถอยหลังไปไม่หยุด
มู่ชิงเกอหรี่ตาลง จับจ้องท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคนอย่างละเอียด
ในที่สุดแสงสีแดงดุจเลือดก็หายเข้าไปภายในก้อนหินก้อนนั้น ก้อนหินกลับมากระจ่างใสเช่นเดิม จิงไห่ส่งก้อนหินคืนให้ผู้อาวุโสตระกูลจิงแล้วหันหน้าเดินกลับไปยืนที่ด้านหลังของมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าเรียบสงบ
แต่จิงฟ่งอวี่กับผู้อาวุโสคนนั้นกลับตกตะลึงไปแล้ว
พวกเขาจ้องมองจิงไห่ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้เอ่ยออกมาว่า “เจ้าเมืองมู่ วันนี้พวกเราขอตัวก่อน วันหน้า…ไม่สิ พรุ่งนี้พวกเราจะมาใหม่”
พูดแล้วเขาก็รีบออกไปจากที่พักไปพร้อมกันกับจิงฟ่งอวี่
จนกระทั่งทั้งสองคนจากไปแล้ว จิงไห่ถึงถามมู่ชิงเกอ อย่างมึนงงว่า “ครูฝึก พวกเขาเป็นอะไรไปหรือ”
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างมีเลศนัย เอ่ยตอบว่า “บางทีอาจจะตกใจในความเข้มข้นของสายเลือดของเจ้าน่ะ”
“หา?” จิงไห่มีสีหน้ามึนงง ไม่ได้มีท่าทีภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย
“ครูฝึก ท่านอยากให้ข้าไปตระกูลจิงจริงๆ หรือ?” จิงไห่ถามอย่างอาลัย
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองเขา “ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะตามหาบิดามารดาของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือ นี่อาจเป็นอีกโอกาสหนึ่ง อีกอย่างความสามารถของอาจารย์ทะลวงสวรรค์ เจ้าเรียนรู้อยู่ในตระกูลจิงก็จะดีกว่าด้วย”
จิงไห่ยังคงพูดว่า “แต่ว่า…ข้าไม่อยากไปจากครูฝึก อยากจะอยู่ทำงานข้างกายครูฝึก”
“เพียงแค่เจ้าเรียนรู้จนมีทักษะแล้วถึงจะสามารถช่วยงานข้าได้ไปยังตระกูลจิงก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าจำเป็นต้องอยู่ที่นั่นไปตลอด เมื่อครู่คำพูดของข้าเจ้าก็ได้ยินแล้ว รอให้เจ้าเรียนรู้จนหมดแล้วคิดจะอยู่หรือไปก็แล้วแต่ตัวเจ้าเอง” มู่ชิงเกอพูด
‘เพียงแค่เรียนรู้จนมีทักษะแล้วถึงจะสามารถช่วยงานข้าได้’ จิงไห่พูดในใจซํ้าไปซํ้ามา ในที่สุดก็กัดฟันตัดสินใจ เขาพูดว่า “แต่หากตระกูลจิงไม่ตกลงตามเงื่อนไขที่ครูฝึกเสนอเล่าจะทำอย่างไร”
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมั่นใจ “พวกเขาจะต้องตกลงอย่างแน่นอน”
หากเป็นก่อนหน้านี้อาจจะมีลังเลบ้าง แต่ตอนนี้เมื่อได้ตรวจสอบด้วยตนเองแล้วเห็นความสามารถของจิงไห่ พวกเขาจะต้องไม่ยอมทิ้งไปอย่างแน่นอน เพราะว่าตระกูลจิงในยุคนี้นอกจากจิงฟ่งอวี่แล้วก็ไม่มีคนมีความสามารถที่สามารถฝากความหวังไว้ได้อีก อีกทั้งจิงฟ่งอวี่ก็ยังถูกโห่วทำร้ายจนบาดเจ็บถึงรากฐาน หลายปีมานี้จึงใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบ พลังฝึกปรือก็พัฒนาไปได้ช้ามาก เกรงว่าตระกูลจิงคงจะร้อนใจมานานแล้ว
“ครูฝึก ท่านหวังให้ข้าเป็นประมุขน้อยตระกูลจิงงั้นหรือ?” จิงไห่เอ่ยถาม เขาไม่สนใจกับเรื่องนี้ แต่หากมู่ชิงเกอต้องการเขาก็จะพยายามแย่งเอามาให้ได้
มู่ชิงเกอส่ายหน้า เอ่ยเรื่องแผนการของนางกับจิงไห่เป็นครั้งแรกว่า “เสี่ยวไห่ อีกไม่นานข้าก็จะต้องไปจากที่นี่ ข้าต้องการมอบลั่วซิงเฉิงให้เจ้าดูแล ตำแหน่งประมุขน้อยตระกูลจิงมีเพียงจะทำให้เจ้ากดดันเท่านั้น หากว่าเจ้าสามารถเป็นประมุขน้อยได้แต่ในอนาคตเจ้าไม่ต้องการมันก็ให้จากไปได้เลย จากไปยิ่งไกลยิ่งดี”
นางออกจากโลกแห่งยุคกลางก็จำเป็นต้องพาบรรดาผู้จงรักภักดีของตระกูลมู่และองครักษ์เขี้ยวมังกรไปด้วย ลั่วซิงเฉิงนั้นนางจะมอบให้จิงไห่จัดการ รวมถึงกองทหารส่วนตัวหลายหมื่นที่บ่มเพาะขึ้นมาในหลายปีนี้ก็จะกลายเป็นไพ่ตายในมือของจิงไห่ ดังนั้นในช่วงที่นาง ยังไม่จากไป จิงไห่จะต้องรีบพัฒนาตนเองให้เร็วที่สุด
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว” ดวงตาของจิงไห่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่เขาก็เข้าใจว่าจะต้องมีวันนั้นสักวัน ไม่ว่าจะสามารถอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอได้หรือไม่ เขาก็จะต้องจัดการเรื่องราวทุกเรื่องที่นางมอบหมายมาให้อย่างเต็มที่
ลั่วซิงเฉิงนั้นเขาจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้อง!
วันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างคนของตระกูลจิงก็มาถึงแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้ใช้เวลาพูดคุยมากนัก หลังจากพวกเขาแสดงท่าทีของตนเองออกมาแล้วก็พาจิงไห่กลับไปในทันที
หลังจากจิงไห่ไปได้ไม่นาน พวกจีเหยาฮั่วสามคนก็มาถึงภาคกลางและมายังที่พักตามข้อมูลที่มู่ชิงเกอส่งให้
ทั้งสี่คนรวมตัวกันอีกครั้ง ครั้งนี้ได้พบกับมู่ชิงเกอในชุดผู้หญิงทำให้พวกเขารู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
แต่หลังจากคุ้นชินแล้ว จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อก็มีท่าทีเช่นเดิม มีแค่เหยาชิงไห่ที่ลอบมองมู่ชิงเกอแล้วเหม่อลอยไปบ้าง
“ดูแล้วช่วงนี้พวกเจ้าก็พัฒนาไปไม่น้อยเลย” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
แต่จีเหยาฮั่วกลับอารมณ์เสีย “จะพัฒนาอย่างไรก็เทียบ เจ้าไม่ได้ ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสีทองชั้นสี่และสามารถ ทะลวงขอบเขตเข้าสู่ชั้นห้าได้ทุกเวลาแต่กลับไม่สามารถมองเห็นพลังของเจ้าได้ชัดเจนเลย”
พูดแล้วเขาก็ยื่นหน้าไปที่ข้างหูของมู่ชิงเกอ ยิ้มแล้วถามว่า “ชิงเกอ เจ้าบอกข้าทีว่าตอนนี้เจ้ามีพลังระดับอะไรกันแน่”
มู่ชิงเกอยิ้มเล็กน้อย ยกจอกชาในมือขึ้นจรดที่ริมฝีปากของตนเอง แล้วพูดว่า “ระดับสีทองชั้นหกขั้นสูงสุด”
จากนั้นก็ดื่มชาลงไป
คำพูดไม่กี่คำของนางนี้กลับทำให้อีกสามคนสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าลึก มองนางอย่างตกตะลึงแล้วก็เงียบไป
หากพวกเขาจำไม่ผิดก่อนที่จะเข้าสู่แม่นํ้ารั่วนั้นมู่ชิงเกอเพิ่งจะอยู่ระดับสีทองขั้นหนึ่ง ระดับพลังไม่ต่างไปจากพวกเขามากนัก
เหตุใดเวลาเพียงแค่สี่ปี ระดับพลังของนางกลับพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้แล้วเล่า
พวกเขาไม่รู้ว่าระดับพลังในตอนนี้นั้นเป็นระดับพลังเดียวกันกับตอนที่นางออกมาจากแม่นํ้ารั่วเมื่อหนึ่งปีก่อน ในหนึ่งปีนี้สิ่งที่นางฝึกฝนก็คือประสบการณ์ในสนามรบและบีบอัดขอบเขต ไม่ได้รีบร้อนเพิ่มระดับพลัง
“ข้าเพิ่งจะอยู่ระดับสีทองชั้นสาม” เหยาชิงไห่พึมพำออกมา
“ข้าก็เช่นกัน” อิ๋งเจ๋อเอ่ย